JJNY : จาตุรนต์โพสต์แจงม.จ.จุลเจิม/ดวงฤทธิ์ทวีตบทสนทนาความต่างคนรวยกับคนจน/โซเชียลเดือดหนัก#หมากปริญ/ฝุ่นเหนือแย่ลงอีก

‘จาตุรนต์’ โพสต์แจง ‘ม.จ.จุลเจิม’ วิจารณ์แก้ปัญหาโควิด-19
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2123850

 
เมื่อวันที่ 5 เมษายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวว่า 

ตามที่ปรากฏเป็นข่าว มจ.จุลเจิม ยุคล วิจารณ์ผม ผมขอชี้แจงถึงท่านทางเพจนี้เพื่อให้ผู้สนใจได้ทราบทั่วกันครับ
  
เรียน ม.จ.จุลเจิม ยุคล ที่เคารพ
  
ผมได้อ่านข้อความที่ท่านได้กรุณาวิพากษ์วิจารณ์ผมจากข่าวสดออนไลน์วันที่ 4 เม.ย.แล้ว ขอน้อมรับคำวิจารณ์นั้นด้วยความเคารพ ผมถือหลักว่าเมื่อใครก็ตามวิจารณ์ผม ผมก็ต้องรับฟัง  เมื่อมีผู้อาวุโสวิจารณ์ ผมจึงยิ่งต้องรับฟังครับ
  
ผมมีเรื่องที่จะขอเรียนชี้แจงอยู่บ้าง 3-4 ประเด็นดังนี้
  
1. ผมเห็นด้วยกับท่านว่าประเทศไทยกำลังเผชิญโรคร้ายอันตรายที่หนักที่สุดในรอบ 100 ปี ตั้งแต่เริ่มมีการติดเชื้อในไทยและมีผู้รับผิดชอบระดับสูงกล่าวว่า “ก็แค่ไข้หวัดธรรมดา” ผมก็ได้แสดงความเห็นไว้ว่าเมื่อเจอกับวิกฤต เราควรจะคิดถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้ก่อน จะได้ไม่ประมาท หลังจากนั้นก็ได้พยายามเสนอความเห็นให้นึกถึง Worst case scenario อยู่เสมอ
  
2.ผมเห็นด้วยอีกเช่นกันที่ท่านกล่าวว่า “หมอ พยาบาล จนท.สาธารณสุขทำงานกันอย่างหนักหน่วง น่าเห็นใจและควรให้กำลังใจเขาเหล่านั้น”
  
2.1 ผมได้รับทราบความเหนื่อยยากและความเสี่ยงที่หมอ พยาบาลและเจ้าหน้าที่ประสบอยู่มาตลอดทั้งการได้ข้อมูลโดยตรงจากเพื่อนและลูกเพื่อนที่เป็นหมอและพยาบาลและจากข่าวทั่วไปและได้พยายามให้กำลังใจพวกเขาอยู่เสมอ
  
2.2 ผมได้เสนอแต่ต้นว่าจะต้องเตรียมสถานที่อุปกรณ์ เครื่องไม้เครื่องมือที่จำเป็นโดยเฉพาะอุปกรณ์ป้องกันการติดเชื้อให้เพียงพอ โดยเฉพาะได้เห็นบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขจำนวนมากในหลายประเทศต้องเจ็บป่วยและเสียชีวิต
 
2.3 ล่าสุดก็ยังเสนอให้รัฐบาลจัดสรรงบประมาณสัก 3,000 ล้านบาทให้โรงพยาบาลต่างๆทั่วประเทศซึ่งจากประสบการณ์ในการทำงานของผมและศึกษาข้อมูลปัจจุบันแล้ว ผมเห็นว่าสามารถทำได้ทันที
  
2.4 ผมได้เสนอความเห็นไว้ว่าระบบสาธารณสุขของไทยมีมาตรฐานสูงก็จริง แต่ไม่ควรปล่อยให้มีผู้ติดเชื้อมากขึ้นๆจนเกินกำลังของหมอพยาบาลและเจ้าหน้าที่ ข้อนี้เกี่ยวข้องไปยังหัวข้อต่อไป
  
3. การจำกัดการเดินทางจากประเทศเสี่ยงเข้ามาในประเทศไทยและการกักตัว
  
3.1 ตั้งเริ่มเกิดการระบาดใหญ่ในจีน ผมได้เสนอให้ยกเลิก Visa on arrival และงดให้วีซ่านักท่องเที่ยวจากประเทศเสี่ยง อนุญาตเฉพาะผู้ที่มีความจำเป็นยิ่งยวดเท่านั้น
  
3.2 ต่อมาผมก็ได้เสนอให้กำหนดประเทศเสี่ยงให้ทันสถานการณ์และเสนอให้ห้ามชาวต่างประเทศที่เดินทางมาจากประเทศเสี่ยงเข้าประเทศยกเว้นกรณีจำเป็นยิ่งยวด และให้ใช้มาตรการกักตัวที่เข้มงวดกับทั้งชาวต่างประเทศและคนไทย ซึ่งก็คือมาตรการที่รัฐบาลประกาศในเวลาประมาณ 2 เดือนต่อมา
  
4. คนไทยต้องมีสิทธิ์กลับประเทศ
  
4.1 เมื่อเกิดกรณีแรงงานจากเกาหลีใต้และนักศึกษาบางกลุ่มกลับมาจากประเทศเสี่ยง มีการเสนอความเห็นกันว่าไม่ควรให้คนเหล่านี้กลับประเทศไทย ผมจึงได้เสนอความเห็นว่า “คนไทยทุกคนต้องมีสิทธิ์กลับประเทศ” เพราะเป็นสิทธิที่ได้รับการคุ้มครองตามรัฐธรรมนูญ
  
4.2 เมื่อมีการออกระเบียบว่าคนไทยจะขึ้นเครื่องกลับประเทศไทยได้ต้องมีใบรับรองแพทย์ Fit to fly และใบรับรองจากสถานทูต ผมทราบว่าเรื่องนี้เป็นอุปสรรคขัดขวางการเดินทางกลับประเทศของคนไทยและไม่มีประเทศไหนเขาทำกัน ประเทศต่างๆมีแต่รีบช่วยให้คนไทยกลับประเทศ ผมจึงยืนยันว่าคนไทยมีต้องสิทธิ์กลับประเทศและรัฐบาลควรรีบช่วยให้คนไทยกลับตั้งแต่เนิ่นๆ ปล่อยนานไปจะยิ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อและเขาก็ได้กลับอยู่ดี
  
4.3 เมื่อรัฐบาลประกาศชะลอการกลับประเทศของคนไทยออกไป 14 วัน ผมเห็นว่าการชะลอก็คือการห้ามชั่วคราวซึ่งไม่ถูกต้อง การห้ามชั่วคราวนี้ทำให้คนไทยหลายคนตกค้างอยู่กับความเสี่ยงและลำบากอยู่ในต่างประเทศ ตกเครื่องก็มี ติดอยู่ตามชายแดนก็มี
  
ในข้อ 4.1-4.3 นี้แหละครับเป็นที่มาของการที่ผมทวีตข้อความยืนยันว่าคนไทยต้องมีสิทธิ์กลับประเทศอีกครั้งซึ่งเป็นข้อความที่ท่าน(มจ.จุลเจิม ยุคล)ใช้มาวิจารณ์ผม
  
ผมทวีตข้อความนี้แลกเปลี่ยนกับผู้ที่กำลังวิจารณ์ระเบียบเรื่อง Fit to fly การชะลอคนไทยเข้าประเทศและการหยุดรับเครื่องบินเข้าไทยระหว่างวันที่ 4-6 เม.ย. ไม่ได้หมายถึงกรณีกลุ่มคนไทยจากต่างประเทศกลับเข้ามาสุวรรณภูมิแล้วถูกปล่อยกลับบ้านไปดังที่เป็นข่าวอยู่ คนกลุ่มนี้เขากลับเข้าประเทศมาได้แล้ว จึงไม่มีประเด็นที่ผมจะต้องไปยืนยันสิทธิในการเข้าประเทศให้อีก
  
สำหรับกรณีกลุ่มคนไทยที่ถูกปล่อยไปและต่อมาก็เข้าสู่ระบบกักตัวของทางราชการนั้น ผมไม่ใช่ไม่เห็นด้วยที่จะกักตัวอย่างข้มงวด ผมเองก็เสนอให้กักตัวอย่างเข้มงวดมาตลอด ผมได้แสดงความเห็นเรื่องนี้ไว้ในเพจนี้และในทวิตเตอร์ในแง่มุมต่างๆแล้ว ทุกครั้งก็ยืนยันเสมอว่าเขาควรได้รับการกักตัวตามระเบียบใหม่
  
ท่านจุลเจิมที่คารพ
  
เรื่องทั้งหมดก็เป็นดังที่กราบเรียนข้างต้น ที่ท่านวิจารณ์ผมก็ด้วยหลักเหตุผลและความปรารถนาดีต่อบ้านเมืองที่ต้องการให้ประเทศพ้นจากอันตรายของโรคร้าย ไม่ต้องการให้มีการแพร่เชื้อมากๆและต้องการให้กำลังใจหมอพยาบาลและเจ้าหน้าที่
  
ผมเข้าใจความปรารถนาดีของท่านและผมก็มีความปรารถนาเช่นเดียวกัน เพียงแต่ที่ท่านวิจารณ์ผมครั้งนี้อาจเกิดจากความเข้าใจคลาดเคลื่อนเนื่องจากไม่ทราบที่มาที่ไปของข้อความที่ท่านหยิบมาวิจารณ์ ผมจึงจำเป็นต้องชี้แจง โดยไม่มีความโกรธเคืองหรือน้อยใจใดๆ
  
ที่ท่านกล่าวว่า “ผมก็เป็นเจ้าของประเทศเหมือนกันและเป็นคนไทยคนหนึ่ง ที่อาจจะรักประเทศไทยมากกว่าคุณ…” นั้น ผมก็ไม่โกรธครับ ผมจะโกรธได้อย่างไร ท่านก็ไม่ถึงกับว่าผมไม่รักประเทศ ผมทราบว่าท่านรักประเทศมาก ถ้าผมจะรักประเทศน้อยกว่าท่านไปสักนิด ก็อาจจะยังรักชาติมากอยู่เหมือนกัน
  
เพียงแต่ในยามนี้เวลานึกถึงคำว่า “ชาติ” ผมก็จะนึกถึงประชาชนทั้งประเทศที่กำลังเผชิญปัญหาอยู่ด้วยกัน นึกถึงหมอพยาบาลเละเจ้าหน้าที่ท่ีต้องลำบาก นึกถึงผู้ป่วยและเสียชีวิต นึกถึงคนที่จะต้องอดอยากยากจนกันอีกมาก และก็นึกถึงคนไทยที่ต้องติดค้างอยู่ในต่างประเทศไกลๆและตามชายแดนอย่างเอน็จอนาถด้วย เชื่อว่าท่านก็คงนึกถึงคนทั้งหลายเหล่านี้เช่นกัน
  
วกมาถึงคนติดค้างอยู่ต่างประเทศอีกจนได้ ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมเห็นว่าเข้ามาแล้วควรกักตัวอย่างเข้มงวด เข้มงวดกว่าที่ผ่านๆมา ซึ่งผมเสนอเรื่องนี้มาเป็นเดือนๆแล้วครับ
  
ด้วยความเคารพ
  
จาตุรนต์ ฉายแสง
  
5 เมษายน 2563
  
https://www.facebook.com/Chaturon.FanPage/posts/10158275692992359
  

 
‘ดวงฤทธิ์’ ทวีตบทสนทนาที่แตกต่างระหว่าง ‘คนรวย’ กับ ‘คนจน’ ในวันที่ถูกกักตัว
https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_2123892
 
‘ดวงฤทธิ์’ ทวีต บทสนทนาที่แตกต่างระหว่าง ‘คนรวย’ กับ ‘คนจน’ ในวันที่ถูกกักตัว
 
เมื่อวันที่ 5 เมษายน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายดวงฤทธิ์ บุนนาค สถาปนิกชื่อดัง ทวีตข้อความระบุถึงความแตกต่างระหว่างบทสนทนาของคนรวยและคนจนในช่วงเวลากักตัว ความว่า 
 
“ในขณะที่คนรวยกักตัวอยู่บ้าน คุยกันว่าจะดูซีรีส์เรื่องอะไรต่อดี คนจนเริ่มคุยกันแล้วว่า พรุ่งนี้จะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าเช่าบ้าน งานการก็ไม่ทำกันละ”
 
นอกจากนี้ นายดวงฤทธิ์ ยังแชร์โพสต์ของบุคคลหนึ่งผ่านเฟซบุ๊ก ซึ่งมีเนื้อหาระบุถึงความเสียหายในวงการท่องเที่ยวไทย โดยนายดวงฤทธิ์ ระบุข้อความตอนหนึ่งว่า
 
‘ความตายที่โดดเดี่ยว และไม่มีใครเหลียวแล
เวลาสร้างรายได้ให้ ก็โดนรัฐตักตวง
เวลาลำบาก รัฐก็ไม่เคยเหลียวแล ช่วยเหลือ…’
 
พร้อมติดแฮชแท็ก #สงสารประเทศไทย
 
https://twitter.com/DuangritBunnag/status/1246448036613484544
https://www.facebook.com/duangrit.bunnag/posts/10216368976645471
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่