ช่วงนี้ประเทศไทยและทั่วโลกประสบปัญหาไวรัส kovid-19 ส่งผลกระทบกับการท่องเที่ยวทั่วโลกอย่างมาก ส่งผลทำให้เรา work from home ทำให้เรา ว่างๆๆๆ มาก 5555 หวนคิดถึงเรื่องราวเก่าๆ ช่วงที่ผ่านมามีโอกาศได้ไปเปิดโลกกว้างอยู่หลายทริป แต่ไม่มีโอกาศได้บอกเล่าประสบการณ์ เนื่องด้วยอะไรหลายอย่าง แต่วันนี้ เบื่อ เครียด คิดถึง อยากเที่ยว เลยอยากเล่า หรือบ่น หรือพรรณนา แล้วแต่การพิจารณาของผู้อ่านนะคะ อิอิ
ขอออกตัวก่อนว่ารูปถ่ายมีทั้งถ่ายเองบ้าง ทั้งจากพี่ๆในทริปบ้าง และมีบางรูปยืมมาจากเว็ปของโรงแรม และสถานที่ที่ไปมาจริงๆ ชัดบ้าง มืดบ้างขออภัยค่ะ แต่เราตั้งใจและอยากแชร์เรื่องราวดีๆให้เพื่อนได้ชมด้วยใจจริงค่ะ
แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในการรีวิว ผิดพลาดประการใด ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ล่วงหน้านะคะ

(ขอออกตัวก่อนว่าเราไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับทาง บ.ทัวร์นี้นะคะ ถ้าท่านไหนสนใจ สอบถามข้อมูลเราหลังไมล์ได้จ้า)
หนึ่งในทริปประทับใจสุดๆ คือ สแกนดิเนเวีย คิดถึงมากกกกก วันนี้จะมาเล่า สแกนดิเนเวียที่ประทับใจนะคะ
แต่ตอนนี้ไปเที่ยวสแกนดิเนเวียกันเร้ยยยยย
แต่ก่อนเดินทางต้องขอวีซ่าก่อนนะจ๊ะ สำหรับทริปนี้ขอวีซ่าเชงเก้นฟินแลนด์จ้า เอกสารก็เหมือนเชงเก้นทั่วไป ขั้นตอนการจองคิววีซ่าและการยื่นเอกสารก็เป็นหน้าที่ของบริษัททัวร์ เราก็แค่เตรียมเอกสารตามที่เค้าบอกก็เท่าน้านนน
เอกสารวีซ่าดังนี้
1.พาสปอร์ตตัวจริงก่อนหมดอายุ 6 เดือน ณ วันเดินทาง และมีหน้าว่างติดกันอย่างน้อย 2 หน้า และพาสปอร์ตเล่มเก่า(ถ้ามี)
2.รูปถ่ายหน้าตรง 3.5x4.5 Cm พื้นหลังสีขาว ขนาดใบหน้าวัดจากคางถึงผม 3.5 ซม. เปิดหน้า เปิดหู ท่านละ 2 รูป
3.สำเนาทะเบียนบ้าน
4.สำเนาบัตรประชาชน
5.สำเนาใบเปลี่ยนชื่อ-สกุล (ถ้ามี)
6.สำเนาทะเบียนสมรส
7.เอกสารการงาน
8.เอกสารการเงิน
**ข้อ 7.กรณีเป็นเจ้าของบริษัท : ใช้หนังสือรับรองบริษัทที่มีชื่อเป็นกรรมการ ออกไว้ก่อนยื่นวีซ่าไม่เกิน 90 วัน
กรณีพนักงาน : ขอจดหมายรับรองงาน (ภาษาอังกฤษ) ตัวจริง ระบุตำแหน่ง เงินเดือน วันเริ่มงาน ออกไว้ก่อนยื่นวีซ่าไม่เกิน 30 วัน
** ข้อ 8 เอกสารการเงิน : หลักฐานการเงินที่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในการเดินทางและการพำนักอยู่ชั่วคราวตลอดระยะเวลาในต่างประเทศ เช่น สเตทเม้นออมทรัพย์ย้อนหลัง 6 เดือน อัพเดทยอดก่อนยื่นวีซ่า 15 วัน
สำหรับการยื่นวีซ่าบริษัททัวร์ ยื่นผ่านตัวแทน หรือที่เรียกว่า VFS สถานที่อยุ่ที่ตึกเทรนดี้ สุขุมวิท 13 จ้า ก็ไปรอเจ้าหน้าที่บริษัททัวร์ ชั้นล็อบบี้ แล้วค่อยขึ้นลิฟต์ไปพร้อมกัน สำหรับการรับวีซ่าก็ให้บริษัททัวร์จัดการต่อไป
วีซ่าเรียบร้อยภายใน 15 วันก็เตรียมตัวเดินทางกันได้เลย แต่ก่อนเดินทางประมาณ 2 อาทิตย์บริษัททัวร์ก็ได้ส่งนัดหมายการเดินทางพร้อมไฟนอลโปรแกรมส่งให้อีกครั้ง คร่าวๆสำหรับการเตรียมตัว (เอาที่สำคัญเนาะ)
1.น้ำหนักกระเป๋าจ้า ถึงแม้จะนั่งบิซิเนส แต่น้ำหนักกระเป๋าก็ยังคงต้องเป็น 23 กก.ต่อใบอยู่นะ เพราะมีไฟลท์บินภายในประเทศ ที่ไม่มีบิซิเนส ดังนั้นต้องคิดถึง นน.ตรงนี้ด้วย (สรุปคือ 23 กก.ทั้งทริป)


แล้วชั้นจะทำยังไงละเนี๊ยะ หนาวก็หนาว เสื้อผ้าก็ยัดไม่ลง แบบว่ามันบวมเต็มเป๋าเลยอ่ะ
สรุปคือต้องยัดใส่ถุงสุญญากาศจ้า ค่อยแพ็คลงกระเป๋าอีกที อันนี้ก็เป็นเทคนิคของแต่ละคนเนาะ อิอิ
2.การแลกเงิน คิดอยู่นานมากอ่ะ จะแลกยังไงดี 3 ประเทศเค้าใช้เงินคนละสกุลกัน สุดท้ายแล้วก็ ยูโรนิดหน่อย ที่เหลือบัตรเครดิตคร้า

จนจบทริปวันสุดท้าย แทบล้มละลาย หือออ กลับมาปั้มเงินใช้หนี้หัวโต
3.อากาศ ใบเตรียมตัวแจ้งมา อยู่ที่ เลขตัวเดียว ถึงติดลบ 4-5 องศา .... อือ มันจะประมาณไหนหว่า เกาหลีหรอ หรือว่าญี่ปุ่น หรือว่า เยอรมัน ออสเตรีย หรือว่า ฯลฯ…. งั้นเอาเป็นว่าจัดเต็มละกัน ชั้นขี้หนาวนี่นา 555 ในที่สุดก็ 23 กก.และกระเป๋าถือขึ้นเครื่องอีก 10 กก.เอาน่า เหลือดีกว่าขาด ^^

และแล้วก็ถึงวันเดินทางซะที พบเจ้าหน้าที่บริษัททัวร์ ตอน 06.00 น. พร้อมเดินทางแระคร้า
วันแรก กรุงเทพ ฯ - เฮลซิงกิ(ฟินแลนด์) – โรวาเนียมิ เดินทางโดยสายการบินฟินแอร์ ใช้เวลา 11 ชม. เดินทางถึงฟินแลนด์ จากนั้นบินต่อไปที่โรวาเนียมิ ใช้เวลาอีก 1.20 ชม. ถึงตอนนี้ก็มืดแระคร้า (ช่วงนี้ยุโรปเข้าหน้าหนาวแล้ว ดังนั้นเวลาจะช้ากว่าไทย 5 ชม.) ในที่สุดเราก็มาถึง หนึ่งในโรงแรมที่มาฟินแลนด์ต้องมาพักที่นี่ นั่นก็คือ SANTA IGLOO ARTIC CIRCLE โรงแรมสไตล์อิกรู

ภูมิใจเสนอโรงแรม แซนตา อิกรู อากติค เซอร์เคิล SANTA IGLOO ARTIC CIRCLE มีรูปมาให้ดูด้วยจ้า ห้องน่ารักมาก นอนมองดาว ดุแสงเหนือได้ด้วย ที่นี่มี alarm แจ้งเตือนเวลามีแสงเหนือมาด้วยนะ แต่คืนนี้ท้องฟ้าไม่เปิด แสงเหนือ เลยไม่มา

สำหรับห้องพักของที่นี่น๊านน ขอบอกว่าน่าร๊ากกก เหมือนในเว็บไซด์ที่บริษัททัวร์ลงขายนะจ๊ะ
วันนี้อาหารค่ำ และ เช้าพุ่งนี้ เราทานที่ห้องอาหารของโรงแรมนะคะ สำหรับอาหารค่ำน้านนนน ขอบอกเลยว่า มื้อแรกที่ยุโรปก็พอได้อยู่นะ ย้ำพอได้อยู่น๊ะ (อาจเป็นที่เราเป็นคนทานยาก ชอบกินข้าว ไม่ชินหนมปัง ไม่กินชีส กินเนย ด้วยแหละมั้ง) แต่คนอื่นบอกอร่อยนะเออ อ่ะนะ ลิ้นใครลิ้นมัน

ตั้งใจกินเกินไป อิอิ รูปอาหารจะไม่ค่อยมีนะคะ วันนี้เดินทางทั้งวัน หิวสุดๆๆๆๆ
ไหนๆก็กล่าวถึงอิกรูแล้ว .... จะขอเล่าความเป็นมาของอิกรูให้ฟังนิดหน่อยนะคะ ท่านที่รู้แล้วก็อย่าพึ่งเบื่อน๊าา ขอให้ข้อมูลท่านที่พึ่งจะเริ่มคิดเที่ยวเส้นทางนี้เผื่อเป็นทางเลือกให้ทริปของท่านสนุกและน่าสนใจมากขึ้นค่า
*** อิกรู (Igloo) อิกลู (อังกฤษ: Igloo) คือ ที่พักอาศัยของชาวเอสกิโมซึ่งเป็นมนุษย์เผ่าหนึ่งที่อาศัยอยู่ทางแถบขั้วโลกเหนือหรือชนเผ่าบางกลุ่มที่อาศัยในเขตหนาว วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างนั้นก็คือน้ำแข็งซึ่งถูกตัดเป็นก้อนสี่เหลี่ยมให้มีขนาดที่เหมาะสมแล้วนำไปวางซ้อนกันเป็นชั้นๆเมื่อสร้างเสร็จแล้วจะมีลักษณะคล้ายโดม โดยเจาะทางเข้าไว้ที่ระดับต่ำเพื่อป้องกันลมหนาวจากภายนอกพัดเข้ามาด้านใน ภายในจะมีหนังสัตว์ขึงไว้ที่ผนังเพื่อใช้เป็นฉนวนสำหรับกักเก็บความร้อนที่เกิดจากการจุดตะเกียงหรือความร้อนจากร่างกายมนุษย์ ซึ่งหลักการสร้างเหล่านี้อาจทำให้อุณหภูมิด้านในอิกลูมีค่าระหว่าง -7 จนถึง 16 องศาเซลเซียส โดยอาศัยเพียงการปรับอุณหภูมิกายอย่างเดียว[1] ขณะที่ภายนอกอิกลูนั้นอุณหภูมิอาจต่ำถึง -45 องศาเซลเซียส
อิกลูนั้นสามารถสร้างได้หลายขนาดขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้งาน เช่น ถ้าต้องการใช้พักอาศัยชั่วคราวสำหรับวันที่ออกล่าสัตว์ก็จะสร้างเป็นอิกลูขนาดเล็กที่มีโครงสร้างง่ายๆไม่ซับซ้อนมากนัก แต่ถ้าต้องการสร้างสำหรับพักอาศัยในระยะยาวก็อาจสร้างให้มีขนาดใหญ่หรือมีจำนวนห้องเพิ่มเติม
ในปัจจุบันโรงแรมสไตล์อิกรู เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวมากๆ จึงมีโรงแรมสไตล์นี้ผุดขึ้นมาค่อนข้างเยอะ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เลือกที่เหมาะและที่ตัวเองชอบมากที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้วการเที่ยวเอง ในเส้นทางนี้ค่อนข้างยาก หรือ เพราะตัวเองขี้เกียจหาข้อมูลทำการบ้านก็ไม่รู้นะ อิอิ เลือกไปกับทัวร์ง่ายดี สะดวก สบาย ได้ตามที่ต้องการก็โอแระ โรงแรมอิกรูที่เคยเห็นบริษัททัวร์ขายกันก็มีอยู่มากมาย (แอบส่องบริษัทนี้ค่อนข้างเยอะ) เช่น
Santa Igloo Arctic Circle, Nothern light village, Seaside Glass Villas, Wildeness igloos muotka, Igloo village kakslauttanen (อันนี้เป็น Original igloo) ทริปนี้เราก็ได้พักน๊าา ที่นี่มีแบบเป็น Kelo igloo ด้วยซึ่งขนาดห้องแตกต่างจากที่เราเข้าพัก คือขนาดห้องกว้างมาก 1 หลังสามารถพักได้ 4 ท่าน ภายในห้องมีห้องรับแขก ซาวน่า 2 ห้องนอน สามารถนอนดูดาว ดูแสงเหนือได้เหมือนกันจ้า Kelo Igloo กับ Original Igloo เจ้าของบริหารคนเดียวกัน อยู่คนละฝั่ง ไกลกันนิดหน่อย ถ้าใครมาเป็นครอบครัว 4 ท่านก็สามารถอัพเกรดพักห้องแบบนี้ได้จ้า จุดประสงค์ของอิกรูคือ เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถนอนมองดาว หรือ แสงเหนือยามค่ำคืน ด้วยบรรยากาศที่โรแมนติก (หรือป่าวน๊าาา) เค้าเลยทำหลังคากระจก รูปแบบแตกต่างกันออกไป เป็นจุดขายของแต่ละที่
แสงเหนือ...คืออะไร?
‘แสงเหนือ’ หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ ‘ออโรร่า’ เป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติที่ก่อให้เกิดความสวยงามตระการตาไปทั่วท้องฟ้า มองดูคล้าย ๆ หมู่ดาวและแสงจากท้องฟ้ากำลังเต้นระบำอย่างงดงาม ถูกตั้งโดย กาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง ซึ่งเจ้าแสงเหนือเนี่ยจริงๆ แล้วมีหลายสีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสีฟ้า สีเหลือง หรือสีม่วง แต่สีที่ปรากฎบ่อยสุดก็คือ สีเขียว ค่ะ โดย ‘แสงเหนือ’ นั้นเกิดจากการชนกันระหว่างก๊าซในชั้นบรรยากาศโลก กับอนุภาคไฟฟ้าที่ถูกปล่อยออกมาจากพลังงานแสงอาทิตย์ ก่อให้เกิดการระเบิดเป็นลำแสงสีต่างๆ กันออกไป แต่คืนนี้เราไม่เจอแสงเหนือ เนื่องจากหิมะตกจ้า สำหรับคืนนี้ราตรีสวัสดิ์

Good morning !!!
เช้าวันที่ 2 ของการเดินทาง หมู่บ้านซานตาคลอส จากนั้นเดินทางไปที่เมือง เลวี
หมู่บ้านซานตาคลอส (SANTA CLAUS VILLAGE) ตั้งอยู่บนเส้นอาร์คติกเซอร์เคิล ภายในหมู่บ้านมีที่ทำการไปรษณีย์ สำหรับท่านที่ต้องการส่ง
ของขวัญไปยังคนที่ท่านรัก ร้านขายของที่ระลึก การถ่ายรูปกับคุณลุงซานตา จ่ายตังค์เพิ่มอีกทีจ้า
เส้นอาร์คติกเซอร์เคิล (ARCTIC CIRCLE) คือ เส้นแบ่งเขตแดนตามเส้นรุ้งและเส้นแวง เพื่อกำหนดขอบเขตของบริเวณซีกโลกเหนือ โดยเส้นอาร์คติกเซอร์เคิลจะอยู่ที่ 66 องศา 32 ลิปดา 44 ฟิลิปดาเหนือ เป็นตัวบ่งบอกจุดเหนือสุดที่ในเวลา 1 ปี คนที่อยู่แถบนี้จะไม่ได้พบกับพระอาทิตย์ขึ้น เลยอย่างน้อย 24 ชั่วโมง หรือพระอาทิตย์ไม่ตกเลยเป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
เส้นอาร์คติกเซอร์เคิล (ARCTIC CIRCLE) อยู่ตรงไหน ใครเคยไปช่วงที่มีหิมะไม่รู้หรอก 5555+ .... แต่เรารู้ เราเห็น มาดูเลยจ้าาาาา
มันอยู่ตรงนี้น๊าาาา

ที่นี่ของที่ระลึกน่ารักๆทั้งนั้นเลยจ้า ถุงมือ หมวก ผ้าพันคอก็มี แต่ราคาไม่ต้องพูดถึง ก็ตามแหล่งท่องเที่ยวอ่ะนะ ซื้อเลยจ้าไหนๆก็มาแล้ว ลุยยยยย
พูดถึงเรื่องการซื้อของที่ขึ้นชื่อของฟินแลนด์ ไกด์ก็บรรยายให้ฟังเยอะมาก แต่จำได้แค่ 2 อย่างคือ มูมิน กับ มารีเมกโกะ ที่มาฟินแลนด์แล้ว ต้องได้ติดไม้ติดมือกลับบ้านสักหน่อย แต่มีใครรู้ถึงเรื่องราวน่าประทับใจของ มารีเมกโกะบ้างมั้ยน๊าาาา (ไม่ได้โฆษณานะคะ แค่ประทับเรื่องราวของเธอเท่านั้น)
[CR] เที่ยวสแกนดิเนเวีย (ฟินแลนด์ สวีเดน เดนมาร์ก) เต็มที่กับ 2 อิกรู
ขอออกตัวก่อนว่ารูปถ่ายมีทั้งถ่ายเองบ้าง ทั้งจากพี่ๆในทริปบ้าง และมีบางรูปยืมมาจากเว็ปของโรงแรม และสถานที่ที่ไปมาจริงๆ ชัดบ้าง มืดบ้างขออภัยค่ะ แต่เราตั้งใจและอยากแชร์เรื่องราวดีๆให้เพื่อนได้ชมด้วยใจจริงค่ะ
แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในการรีวิว ผิดพลาดประการใด ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ล่วงหน้านะคะ
หนึ่งในทริปประทับใจสุดๆ คือ สแกนดิเนเวีย คิดถึงมากกกกก วันนี้จะมาเล่า สแกนดิเนเวียที่ประทับใจนะคะ
แต่ตอนนี้ไปเที่ยวสแกนดิเนเวียกันเร้ยยยยย
แต่ก่อนเดินทางต้องขอวีซ่าก่อนนะจ๊ะ สำหรับทริปนี้ขอวีซ่าเชงเก้นฟินแลนด์จ้า เอกสารก็เหมือนเชงเก้นทั่วไป ขั้นตอนการจองคิววีซ่าและการยื่นเอกสารก็เป็นหน้าที่ของบริษัททัวร์ เราก็แค่เตรียมเอกสารตามที่เค้าบอกก็เท่าน้านนน
เอกสารวีซ่าดังนี้
1.พาสปอร์ตตัวจริงก่อนหมดอายุ 6 เดือน ณ วันเดินทาง และมีหน้าว่างติดกันอย่างน้อย 2 หน้า และพาสปอร์ตเล่มเก่า(ถ้ามี)
2.รูปถ่ายหน้าตรง 3.5x4.5 Cm พื้นหลังสีขาว ขนาดใบหน้าวัดจากคางถึงผม 3.5 ซม. เปิดหน้า เปิดหู ท่านละ 2 รูป
3.สำเนาทะเบียนบ้าน
4.สำเนาบัตรประชาชน
5.สำเนาใบเปลี่ยนชื่อ-สกุล (ถ้ามี)
6.สำเนาทะเบียนสมรส
7.เอกสารการงาน
8.เอกสารการเงิน
**ข้อ 7.กรณีเป็นเจ้าของบริษัท : ใช้หนังสือรับรองบริษัทที่มีชื่อเป็นกรรมการ ออกไว้ก่อนยื่นวีซ่าไม่เกิน 90 วัน
กรณีพนักงาน : ขอจดหมายรับรองงาน (ภาษาอังกฤษ) ตัวจริง ระบุตำแหน่ง เงินเดือน วันเริ่มงาน ออกไว้ก่อนยื่นวีซ่าไม่เกิน 30 วัน
** ข้อ 8 เอกสารการเงิน : หลักฐานการเงินที่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในการเดินทางและการพำนักอยู่ชั่วคราวตลอดระยะเวลาในต่างประเทศ เช่น สเตทเม้นออมทรัพย์ย้อนหลัง 6 เดือน อัพเดทยอดก่อนยื่นวีซ่า 15 วัน
สำหรับการยื่นวีซ่าบริษัททัวร์ ยื่นผ่านตัวแทน หรือที่เรียกว่า VFS สถานที่อยุ่ที่ตึกเทรนดี้ สุขุมวิท 13 จ้า ก็ไปรอเจ้าหน้าที่บริษัททัวร์ ชั้นล็อบบี้ แล้วค่อยขึ้นลิฟต์ไปพร้อมกัน สำหรับการรับวีซ่าก็ให้บริษัททัวร์จัดการต่อไป
วีซ่าเรียบร้อยภายใน 15 วันก็เตรียมตัวเดินทางกันได้เลย แต่ก่อนเดินทางประมาณ 2 อาทิตย์บริษัททัวร์ก็ได้ส่งนัดหมายการเดินทางพร้อมไฟนอลโปรแกรมส่งให้อีกครั้ง คร่าวๆสำหรับการเตรียมตัว (เอาที่สำคัญเนาะ)
1.น้ำหนักกระเป๋าจ้า ถึงแม้จะนั่งบิซิเนส แต่น้ำหนักกระเป๋าก็ยังคงต้องเป็น 23 กก.ต่อใบอยู่นะ เพราะมีไฟลท์บินภายในประเทศ ที่ไม่มีบิซิเนส ดังนั้นต้องคิดถึง นน.ตรงนี้ด้วย (สรุปคือ 23 กก.ทั้งทริป)
สรุปคือต้องยัดใส่ถุงสุญญากาศจ้า ค่อยแพ็คลงกระเป๋าอีกที อันนี้ก็เป็นเทคนิคของแต่ละคนเนาะ อิอิ
2.การแลกเงิน คิดอยู่นานมากอ่ะ จะแลกยังไงดี 3 ประเทศเค้าใช้เงินคนละสกุลกัน สุดท้ายแล้วก็ ยูโรนิดหน่อย ที่เหลือบัตรเครดิตคร้า
3.อากาศ ใบเตรียมตัวแจ้งมา อยู่ที่ เลขตัวเดียว ถึงติดลบ 4-5 องศา .... อือ มันจะประมาณไหนหว่า เกาหลีหรอ หรือว่าญี่ปุ่น หรือว่า เยอรมัน ออสเตรีย หรือว่า ฯลฯ…. งั้นเอาเป็นว่าจัดเต็มละกัน ชั้นขี้หนาวนี่นา 555 ในที่สุดก็ 23 กก.และกระเป๋าถือขึ้นเครื่องอีก 10 กก.เอาน่า เหลือดีกว่าขาด ^^
วันแรก กรุงเทพ ฯ - เฮลซิงกิ(ฟินแลนด์) – โรวาเนียมิ เดินทางโดยสายการบินฟินแอร์ ใช้เวลา 11 ชม. เดินทางถึงฟินแลนด์ จากนั้นบินต่อไปที่โรวาเนียมิ ใช้เวลาอีก 1.20 ชม. ถึงตอนนี้ก็มืดแระคร้า (ช่วงนี้ยุโรปเข้าหน้าหนาวแล้ว ดังนั้นเวลาจะช้ากว่าไทย 5 ชม.) ในที่สุดเราก็มาถึง หนึ่งในโรงแรมที่มาฟินแลนด์ต้องมาพักที่นี่ นั่นก็คือ SANTA IGLOO ARTIC CIRCLE โรงแรมสไตล์อิกรู
สำหรับห้องพักของที่นี่น๊านน ขอบอกว่าน่าร๊ากกก เหมือนในเว็บไซด์ที่บริษัททัวร์ลงขายนะจ๊ะ
วันนี้อาหารค่ำ และ เช้าพุ่งนี้ เราทานที่ห้องอาหารของโรงแรมนะคะ สำหรับอาหารค่ำน้านนนน ขอบอกเลยว่า มื้อแรกที่ยุโรปก็พอได้อยู่นะ ย้ำพอได้อยู่น๊ะ (อาจเป็นที่เราเป็นคนทานยาก ชอบกินข้าว ไม่ชินหนมปัง ไม่กินชีส กินเนย ด้วยแหละมั้ง) แต่คนอื่นบอกอร่อยนะเออ อ่ะนะ ลิ้นใครลิ้นมัน
ตั้งใจกินเกินไป อิอิ รูปอาหารจะไม่ค่อยมีนะคะ วันนี้เดินทางทั้งวัน หิวสุดๆๆๆๆ
ไหนๆก็กล่าวถึงอิกรูแล้ว .... จะขอเล่าความเป็นมาของอิกรูให้ฟังนิดหน่อยนะคะ ท่านที่รู้แล้วก็อย่าพึ่งเบื่อน๊าา ขอให้ข้อมูลท่านที่พึ่งจะเริ่มคิดเที่ยวเส้นทางนี้เผื่อเป็นทางเลือกให้ทริปของท่านสนุกและน่าสนใจมากขึ้นค่า
*** อิกรู (Igloo) อิกลู (อังกฤษ: Igloo) คือ ที่พักอาศัยของชาวเอสกิโมซึ่งเป็นมนุษย์เผ่าหนึ่งที่อาศัยอยู่ทางแถบขั้วโลกเหนือหรือชนเผ่าบางกลุ่มที่อาศัยในเขตหนาว วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างนั้นก็คือน้ำแข็งซึ่งถูกตัดเป็นก้อนสี่เหลี่ยมให้มีขนาดที่เหมาะสมแล้วนำไปวางซ้อนกันเป็นชั้นๆเมื่อสร้างเสร็จแล้วจะมีลักษณะคล้ายโดม โดยเจาะทางเข้าไว้ที่ระดับต่ำเพื่อป้องกันลมหนาวจากภายนอกพัดเข้ามาด้านใน ภายในจะมีหนังสัตว์ขึงไว้ที่ผนังเพื่อใช้เป็นฉนวนสำหรับกักเก็บความร้อนที่เกิดจากการจุดตะเกียงหรือความร้อนจากร่างกายมนุษย์ ซึ่งหลักการสร้างเหล่านี้อาจทำให้อุณหภูมิด้านในอิกลูมีค่าระหว่าง -7 จนถึง 16 องศาเซลเซียส โดยอาศัยเพียงการปรับอุณหภูมิกายอย่างเดียว[1] ขณะที่ภายนอกอิกลูนั้นอุณหภูมิอาจต่ำถึง -45 องศาเซลเซียส
อิกลูนั้นสามารถสร้างได้หลายขนาดขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้งาน เช่น ถ้าต้องการใช้พักอาศัยชั่วคราวสำหรับวันที่ออกล่าสัตว์ก็จะสร้างเป็นอิกลูขนาดเล็กที่มีโครงสร้างง่ายๆไม่ซับซ้อนมากนัก แต่ถ้าต้องการสร้างสำหรับพักอาศัยในระยะยาวก็อาจสร้างให้มีขนาดใหญ่หรือมีจำนวนห้องเพิ่มเติม
ในปัจจุบันโรงแรมสไตล์อิกรู เป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวมากๆ จึงมีโรงแรมสไตล์นี้ผุดขึ้นมาค่อนข้างเยอะ เพื่อให้นักท่องเที่ยวได้เลือกที่เหมาะและที่ตัวเองชอบมากที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้วการเที่ยวเอง ในเส้นทางนี้ค่อนข้างยาก หรือ เพราะตัวเองขี้เกียจหาข้อมูลทำการบ้านก็ไม่รู้นะ อิอิ เลือกไปกับทัวร์ง่ายดี สะดวก สบาย ได้ตามที่ต้องการก็โอแระ โรงแรมอิกรูที่เคยเห็นบริษัททัวร์ขายกันก็มีอยู่มากมาย (แอบส่องบริษัทนี้ค่อนข้างเยอะ) เช่น
Santa Igloo Arctic Circle, Nothern light village, Seaside Glass Villas, Wildeness igloos muotka, Igloo village kakslauttanen (อันนี้เป็น Original igloo) ทริปนี้เราก็ได้พักน๊าา ที่นี่มีแบบเป็น Kelo igloo ด้วยซึ่งขนาดห้องแตกต่างจากที่เราเข้าพัก คือขนาดห้องกว้างมาก 1 หลังสามารถพักได้ 4 ท่าน ภายในห้องมีห้องรับแขก ซาวน่า 2 ห้องนอน สามารถนอนดูดาว ดูแสงเหนือได้เหมือนกันจ้า Kelo Igloo กับ Original Igloo เจ้าของบริหารคนเดียวกัน อยู่คนละฝั่ง ไกลกันนิดหน่อย ถ้าใครมาเป็นครอบครัว 4 ท่านก็สามารถอัพเกรดพักห้องแบบนี้ได้จ้า จุดประสงค์ของอิกรูคือ เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถนอนมองดาว หรือ แสงเหนือยามค่ำคืน ด้วยบรรยากาศที่โรแมนติก (หรือป่าวน๊าาา) เค้าเลยทำหลังคากระจก รูปแบบแตกต่างกันออกไป เป็นจุดขายของแต่ละที่
แสงเหนือ...คืออะไร?
‘แสงเหนือ’ หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ ‘ออโรร่า’ เป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติที่ก่อให้เกิดความสวยงามตระการตาไปทั่วท้องฟ้า มองดูคล้าย ๆ หมู่ดาวและแสงจากท้องฟ้ากำลังเต้นระบำอย่างงดงาม ถูกตั้งโดย กาลิเลโอ นักวิทยาศาสตร์ชื่อดัง ซึ่งเจ้าแสงเหนือเนี่ยจริงๆ แล้วมีหลายสีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสีฟ้า สีเหลือง หรือสีม่วง แต่สีที่ปรากฎบ่อยสุดก็คือ สีเขียว ค่ะ โดย ‘แสงเหนือ’ นั้นเกิดจากการชนกันระหว่างก๊าซในชั้นบรรยากาศโลก กับอนุภาคไฟฟ้าที่ถูกปล่อยออกมาจากพลังงานแสงอาทิตย์ ก่อให้เกิดการระเบิดเป็นลำแสงสีต่างๆ กันออกไป แต่คืนนี้เราไม่เจอแสงเหนือ เนื่องจากหิมะตกจ้า สำหรับคืนนี้ราตรีสวัสดิ์
เช้าวันที่ 2 ของการเดินทาง หมู่บ้านซานตาคลอส จากนั้นเดินทางไปที่เมือง เลวี
หมู่บ้านซานตาคลอส (SANTA CLAUS VILLAGE) ตั้งอยู่บนเส้นอาร์คติกเซอร์เคิล ภายในหมู่บ้านมีที่ทำการไปรษณีย์ สำหรับท่านที่ต้องการส่ง
ของขวัญไปยังคนที่ท่านรัก ร้านขายของที่ระลึก การถ่ายรูปกับคุณลุงซานตา จ่ายตังค์เพิ่มอีกทีจ้า
เส้นอาร์คติกเซอร์เคิล (ARCTIC CIRCLE) คือ เส้นแบ่งเขตแดนตามเส้นรุ้งและเส้นแวง เพื่อกำหนดขอบเขตของบริเวณซีกโลกเหนือ โดยเส้นอาร์คติกเซอร์เคิลจะอยู่ที่ 66 องศา 32 ลิปดา 44 ฟิลิปดาเหนือ เป็นตัวบ่งบอกจุดเหนือสุดที่ในเวลา 1 ปี คนที่อยู่แถบนี้จะไม่ได้พบกับพระอาทิตย์ขึ้น เลยอย่างน้อย 24 ชั่วโมง หรือพระอาทิตย์ไม่ตกเลยเป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง
เส้นอาร์คติกเซอร์เคิล (ARCTIC CIRCLE) อยู่ตรงไหน ใครเคยไปช่วงที่มีหิมะไม่รู้หรอก 5555+ .... แต่เรารู้ เราเห็น มาดูเลยจ้าาาาา
มันอยู่ตรงนี้น๊าาาา
ที่นี่ของที่ระลึกน่ารักๆทั้งนั้นเลยจ้า ถุงมือ หมวก ผ้าพันคอก็มี แต่ราคาไม่ต้องพูดถึง ก็ตามแหล่งท่องเที่ยวอ่ะนะ ซื้อเลยจ้าไหนๆก็มาแล้ว ลุยยยยย
พูดถึงเรื่องการซื้อของที่ขึ้นชื่อของฟินแลนด์ ไกด์ก็บรรยายให้ฟังเยอะมาก แต่จำได้แค่ 2 อย่างคือ มูมิน กับ มารีเมกโกะ ที่มาฟินแลนด์แล้ว ต้องได้ติดไม้ติดมือกลับบ้านสักหน่อย แต่มีใครรู้ถึงเรื่องราวน่าประทับใจของ มารีเมกโกะบ้างมั้ยน๊าาาา (ไม่ได้โฆษณานะคะ แค่ประทับเรื่องราวของเธอเท่านั้น)
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้