การวิวัฒนาการแบบเบนเข้า (Convergent evolution) ซึ่งหมายถึงลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่าง หน้าที่หรือพฤติกรรมที่เหมือนกัน แต่ไม่ได้มีความใกล้ชิดทางพันธุกรรมหรือมีสายวิวัฒนาการจากบรรพบุรุษเดียวกัน
ลิ่น pangolin
ลิ่นเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมรูปร่างประหลาด คล้ายกับสัตว์เลื้อยคลาน แต่หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูมากกว่า มีลำตัวยาวและเรียว หางยาว ด้านบนมีเกล็ดปกคลุมร่างกาย ระหว่างเกล็ดมีขน ส่วนบริเวณด้านล่างไม่มีเกล็ดมีแต่ขนปกคลุม ไม่มีฟัน ปากของมันมีลักษณะเป็นรูเล็กๆ ขาค่อนข้างสั้น แต่ละตีนมีนิ้วเท้า 5 นิ้ว ปลายนิ้วเป็นเล็บที่คมและแข็งแรง โดยเล็บตีนคู่หน้ามีขนาดยาวกว่าคู่หลัง เวลาเดิน..เล็บของมันจะงอเข้าไปในอุ้งนิ้ว สามารถว่ายน้ำและปีนต้นไม้ได้
หางยาวของลิ่นใช้ทำหน้าที่เป็นอวัยวะยึดเกี่ยวได้ ปากของลิ่นไม่มีขากรรไกร หากินโดยการใช้ลิ้นที่ยาวถึง 25 เซนติเมตร แลบตวัดจับมดและปลวกเข้าปาก แต่ละมื้อลิ่นอาจกินปลวกมากถึง 200,000 ตัว ขามีอุ้งเล็บใหญ่ยาวและแข็งแรงมาก ใช้ตะกุยและทลายจอมปลวก ลิ่นมีหูเล็กมาก หนังหนา จึงป้องกันการโจมตีกลับของมดปลวกได้ดี
เกล็ดแข็งและคมช่วยป้องกันอันตรายจากศัตรูนักล่าได้ดี เมื่อถูกคุกคาม ลิ่นจะม้วนตัวเป็นก้อนกลม เก็บส่วนท้องและหัวที่เป็นจุดอ่อนไว้ด้านใน นอกจากนี้ยังสามารถกางเกล็ดออกเพื่อใช้เป็นอาวุธได้ด้วย ขอบเกล็ดของลิ่นจะคมมาก และจะวิ่งได้รวดเร็ว โดยเชิดขาหน้าขึ้นแล้ววิ่งด้วยสองขาหลังเท่านั้น
ลิ่นหากินตอนกลางคืน ปีนป่ายได้ดี และเคลื่อนไหวบนพื้นดินได้แคล่วคล่อง ตอนกลางวันจะพักผ่อนตามง่ามไม้ ในโพรง หรือในจอมปลวก อาศัยได้ในภูมิประเทศหลายชนิด ทั้งป่าทึบ ป่าชั้นสอง ทุ่งหญ้า หรือแม้แต่พื้นที่เกษตรกรรม พบในพม่า ไทย ลาวและเวียดนามตอนกลางและล่าง กัมพูชา คาบสมุทรมาเลเซีย เกาะสุมาตรา เกาะชวา และเกาะบอร์เนียว
ศัตรูตัวสำคัญของลิ่นก็คือคน เพราะลิ่นเป็นที่ต้องการของตลาดยาจีนและยาดอง นอกจากนี้ก็ยังเป็นอาหารประจำของเสือดาวและงูเหลือมอีกด้วย
ชือภาษาอังกฤษของนิ่มเป็นคำเพี้ยนมาจากคำภาษามาเลย์ว่า peng-goling ซึ่งแปลว่า “ไอ้ตัวขด”
ในประเทศไทยพบ 2 ชนิด คือ ลิ่นซุนดา หรือ ลิ่นชวา พบได้ทั่วไปทุกภาค กับลิ่นจีน ซึ่งมีรายงานการพบเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น บริเวณอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ เมื่อปี พ.ศ. 2483 ซึ่งมีขนาดลำตัวที่เล็กกว่า หางสั้นกว่า และมีสีที่คล้ำกว่า
ที่มา วิกิพีเดีย bit.ly/KmJ4ge
โดย วิมุติ วสะหลาย (wimut@hotmail.com)
อาร์มาดิลโล armadillo
อาร์มาดิลโล หรือ ที่คนไทยรู้จักดีว่า ''ตัวนิ่ม'' จัดอยู่ในวงศ์ ''Dasypodidae'' มีลักษณะเด่น คือ มีส่วนหน้าและจมูกที่ยาว มีปากขนาดเล็ก มีลักษณะเป็นรูเล็ก ๆ มีกรงเล็บที่แหลมคมทั้งตีนหน้าและตีนหลัง ใช้สำหรับขุดทำโพรงอยู่อาศัยและขุดหาอาหารกิน กินอาหารโดยการใช้ลิ้นที่ยื่นยาวและน้ำลายที่เหนียวตวัดกินแมลงจำพวกมด ปลวก และหนอนตามพื้นดิน และมีเกราะหุ้มอยู่ตามตัวเป็นแผ่น ๆ มีข้อต่อเชื่อมต่อกัน เหมือนชุดเกราะ โดยเฉพาะที่หัวไหล่และด้านท้ายลำตัว
อาร์มาดิลโลมีบรรพบุรุษคือ "คลิปโตดอน"ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว คลิปโตดอนมีขนาดตัวใหญ่เท่ากับรถยนต์คันเล็ก ๆ คันหนึ่ง อาศัยอยู่ในทวีปอเมริกาใต้ มีเกราะที่หุ้มตัวเป็นชิ้น ๆรูปหกเหลี่ยม ไม่เหมือนกับอาร์มาดิลโลในปัจจุบัน เมื่ออาร์มาดิลโลถูกคุกคามแล้วจะขดตัวเป็นวงกลมคล้ายลูกบอล โดยเก็บส่วนหน้าและขาทั้ง 4 ข้างไว้ เหมือนกับลิ่น
อาร์มาดิลโลกระจายพันธุ์อยู่เฉพาะทวีปอเมริกาทั้งอเมริกาเหนือ อเมริกากลาง จนถึงอเมริกาใต้ แบ่งออกได้ทั้งหมด 10 สกุล 20 ชนิด โดยชนิดที่ใหญ่ที่สุด คือ อาร์มาดิลโลยักษ์ ที่มีขนาดยาวได้ถึง 150 เซนติเมตร (59 นิ้ว) และน้ำหนักมากกว่า 59 กิโลกรัม (130 ปอนด์) และชนิดที่มีขนาดเล็กที่สุด คือ พิงก์แฟรีอาร์มาดิลโล ที่ยาวเพียงไม่เกิน 6 นิ้ว เท่านั้น
อาร์มาดิลโลสามารถว่ายน้ำและดำน้ำได้ ด้วยการเดินอยู่ใต้น้ำนานได้ถึง 6 นาที ด้วยการกลืนอากาศลงไปคำใหญ่และขยายกระเพาะให้พองออกเหมือนเสื้อชูชีพ เกราะของอาร์มาดิลโลนั้นมีน้ำหนักเบา จึงทำให้เคลื่อนตัวได้อย่างสะดวก เรียกว่า "สกูต" ซึ่งเป็นเกล็ดอย่างหนึ่งที่สัตว์ใช้สำหรับป้องกันตัว
คลิปโตดอนเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในอเมริกาใต้เมื่อประมาณ 1 ล้านปีก่อน ยาวประมาณ 3.3 เมตร ซากของมันถูกขุดพบในประเทศชิลีและปานามา
ที่มา
https://th.wikipedia.org/wiki และ รูปภาพจาก google
กิ้งก่าอาร์มาดิลโล่
“กิ้งก่าตัวนิ่มแอฟริกา” หรือ “กิ้งก่ามังกร” Armadillo Girdled Lizard ชื่อวิทยาศาสตร์: Cordylus cataphractus มีถิ่นกำเนิดทางซีกตะวันตกของแอฟริกาใต้ มีรูปร่างคล้ายมังกร อาศัยอยู่ในที่แห้งแล้ง ออกหากินตอนกลางวัน โดยการรวมกันเป็นฝูง บางฝูงอาจมีจำนวนมากกว่า30ตัว โดยมีเพศผู้เพียงตัวเดียวควบคุมบริเวณที่หากิน ลักษณะที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์คือการกัดหางของตัวเองจนร่างกายของมันม้วนเป็นลูกกลมๆ เมื่อรู้ว่ามีภัย ซึ่งเป็นพฤติกรรมคล้ายกับตัวนิ่ม ทำให้เป็นที่มาของชื่อ Armadillo lizard
ในธรรมชาติความยาวรวมปกติมักจะอยู่ในช่วง 7.5-9 cm มากที่สุดเท่าที่เคยพบคือ10.5 cm เมื่อนำมาเลี้ยงในสถานที่เลี้ยงโดยกรจัดสภาพแวดล้อมอย่างถูกต้อง พบว่ากิ้งก่าชนิดนี้มีอายุยืนยาวได้ถึง25ปี เป็นกิ้งก่าที่ไม่วางไข่เพศเมียออกลูกเป็นตัวครั้งละ1-2ตัว
มีลำตัวเป็นเกล็ดแข็งสีน้ำตาลอ่อนและสีน้ำตาลเข้ม บริเวณปากและขากรรไกรมีความแข็งแรงมาก อาหารหลักคือ แมลง, สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังชนิดต่างๆเท่าที่มันจะหาได้ตามที่อยู่อาศัย
ที่มา
Thailand Exotic Pet keepers Association
en.wikipedia.org/wiki/Armadillo_girdled_lizard
กิ้งกือกระสุน GLOMERIDA
กื้งกือกระสุนมีลักษณะอ้วนป้อม เมื่อตกใจขดตัวจะเป็นก้อนกลมเหมือนกระสุน จึงได้ชื่อว่า "กิ้งกือกระสุน" และยังมีชื่อภาษาถิ่นอื่นอีกเช่น "แมงมดชิด" ชอบอาศัยตามที่ชื้นแฉะ หรือป่าดิบชื้น กินเศษพืชที่เน่าเปื่อยเป็นอาหาร
กิ้งกือกระสุนแต่ละชนิดมีสีเปลือกที่แตกต่างกัน เพื่อใช้ในการหลบซ่อน หรือพรางตัวจากศัตรูและผู้ล่า สิ่งแวดล้อมหรือถิ่นที่อยู่อาศัยที่ต่างกัน มีผลทำให้มีสีเปลือกที่แตกต่างกันไป ซึ่งสีของเปลือกของกิ้งกือกระสุนมีความแตกต่างกัน เช่น ในแถบภาคเหนือมักพบกิ้งกือกระสุนดำ ส่วนกิ้งกือกระสุนสีน้ำตาลมักพบอย่างกว้างขวางทั่วไป
กิ้งกือกระสุนมีลำตัวที่สั้นมากเมื่อเทียบกับกิ้งกือประเภทอื่นๆ ด้วย 11–13 ปล้องลำตัวเท่านั้น และมีความสามารถในการม้วนตัวเป็นลูกกลมๆ เมื่อถูกรบกวน ซึ่งเป็นการป้องกันตัวจากผู้ล่า กิ้งกือกระสุนยังสามารถปล่อยของเหลวที่มีพิษออกมาได้ ซึ่งกัดกร่อนและเป็นพิษต่อตัวผู้ล่า มีความเชื่อว่าการรับประทานตัวม้วนชิดสามารถบำบัดอาการหอบหืดได้ ซึ่งก็มีคนยืนยันว่าแก้ได้แต่ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์
ที่มา
กิ้งกือ (Millipede)
กิ้งกือ เป็นชื่อสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง มีหลายวงศ์ มีเปลือกตัวแข็ง ลําตัวยาวแบ่งเป็นปล้อง ไม่แบ่งอกหรือท้องให้เห็น ปล้องตามลําตัวจับกันเป็นคู่ตามยาวยืดหดเข้าหากันได้ ทําให้สามารถขดตัวเป็นวงกลมได้เมื่อถูกรบกวน
กิ้งกือ หรือสัตว์พันขา (millipedes) จัดอยู่ในไฟลัมอาร์โทรโปดา (Phylum Arthropoda) ชั้นดิพโพลโปดา (Class Diplopoda)
ที่มีมากถึง 10,000 สปีชีส์ทั่วโลก โดยมีประวัติยาวนานกว่า 400 ล้านปี กิ้งกือทุกชนิดมีประโยชน์ต่อระบบนิเวศ ต้นไม้ในป่าเขตร้อนอาจไม่สามารถยืนต้นได้หากไม่มีกิ้งกือ ที่ทำหน้าที่ย่อยสลายเศษซากพืช ใบไม้ ลูกไม้ ให้กลายเป็นแร่ธาตุอาหารกลับคืนสู่ธรรมชาติ
กิ้งกือทำหน้าที่นี้มายาวนานหลายล้านปี ซากพืชที่กินเข้าไป จะถูกถ่ายออกมาเป็นมูลก้อนเล็กๆ คล้ายยาลูกกอน ที่มีทั้งจุลินทรีย์และสารอินทรีย์ที่ช่วยเพิ่มธาตุอาหารในดิน ขณะเดียวกันก็ปล่อยสารเคมีกลุ่ม "ไซยาไนต์" หรือสาร "เบนโซควิโนน" ลักษณะสีเหลือง เมื่อถูกอากาศจะเปลี่ยนเป็นสีแดงและเข้มในที่สุด มีกลิ่นเหม็นคล้ายน้ำยาทำความสะอาดห้องน้ำตามโรงพยาบาล
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
สิ่งมีชีวิตที่มีวิวัฒนาการแบบเบนเข้า (Convergent evolution)