คำว่ามีกระแส หรือจะเอาศัพท์ให้มันดูตรงตัวหน่อย ก็จะเป็นคำว่า ไฮป์ (Hype) - มีกระแส เป็นที่กล่าวขานถึงแพร่หลาย
ซึ่งยอดต่าง ๆ จากสื่อ SNS (สื่อโซเชียลมีเดีย) สามารถเป็นดัชนีชี้วัดความไฮป์ได้ดีและรวดเร็วที่สุด
เวลามีคนมาถามว่า วงนั้นวงนี้กระแสดีมั้ย คนไฮป์มั้ย เราสามารถประเมินเบื้องต้นได้จากสถิติ SNS ที่วงนั้นใช้สื่อสารเป็นหลัก
อย่างกรณีนี้ เราสามารถใช้ SNS ของวงเพื่อประเมินยอดความไฮป์ได้ด้วยเช่นกัน
โอเคว่า มันอาจไร้สาระหรือเชื่อถือไม่ได้เหมือนกับยอดทางการ เช่น ยอดขายอัลบั้ม , ยอดดิจิตอล หรือ ยอดผู้ชมคอนเสิร์ต
แต่จากที่เราสังเกตและเก็บข้อมูลเรื่องนี้มาพอสมควร เราพบว่ายอด SNS นี้สามารถใช้เป็นตัวชี้วัดผลลัพธ์ล่วงหน้า (Leading Indicator) ที่จะทำนายยอดอัลบั้ม ดิจิตอลต่าง ๆ ได้ค่อนข้างแม่นยำเลยทีเดียว .. ทำไมเราถึงพูดแบบนั้น เอ้า มาดูกัน !
# การคำนวณแบบง่าย ๆ เพื่อวัดค่าความไฮป์
ทีเร้กเล่นทวิตเตอร์ แอ็คเค้าท์หลักคือ TXT_members ปัจจุบันมียอดฟอลที่ 3.9 ล้านคน
เพื่อให้ง่ายต่อการเปรียบเทียบ เราจะแบ่งลำดับช่วงเวลาออกเป็น 3 ช่วง ดังนี้
1. ช่วงพรีเดบิ้วต์และช่วงเดบิ้วต์
2. ช่วงหลังเดบิ้วต์ จนถึงถึงก่อนคัมแบ็คแรก (ตุลาคม 2019)
3. ช่วงหลังคัมแบ็คแรกจนถึงปัจจุบัน
ทวิตเตอร์มียอดสำคัญที่สำคัญมี 3 ยอดคือ
ยอดเมนชั่น ,
ยอดรีทวิต และ
ยอดเฟบ (กดหัวใจ)
ต่อไปนี้เราขอหยิบเอา
ยอดเฟบ มาใช้ในการคำนวณ
***(ความจริงจะใช้ยอดรีก็ได้ ผลลัพธ์ก็ไม่ต่างกัน)
โดยการคำนวณนี้เราจะหาค่าเฉลี่ยยอดเฟบในช่วง 3 ระยะเวลาที่เราแบ่งไว้ด้านบน โดยสุ่มออกมา 4 ทวิต ต่อหนึ่งช่วงเวลา
(ขอแค่ 4 พอ นะ ขี้เกียจแค็ป)
1. ช่วงพรีเดบิ้วต์และช่วงเดบิ้วต์

- ค่าเฉลี่ยยอดเฟบช่วงพรี/เดบิ้วต์ = (325 + 368 + 388 + 315) / 4 = 349K หรือ
3.49 แสน
2. ช่วงหลังเดบิ้วต์จนถึงถึงก่อนคัมแบ็คแรก (เราเลือกช่วง 1 เดือนก่อนคัมแบ็ค เพราะเป็นช่วงที่ยอดไฮป์ตกต่ำมากที่สุด)

- ค่าเฉลี่ยยอดเฟบหลังเดบิ้วต์ก่อนคัมแบ็ค = (136 + 133 + 151 + 140) / 4 = 140K หรือ
1.40 แสน
3. ช่วงหลังคัมแบ็คแรกจนถึงปัจจุบัน

- ค่าเฉลี่ยยอดเฟบหลังเดบิ้วต์ก่อนคัมแบ็ค = (213 + 293 + 239 + 236) / 4 = 245K หรือ
2.45 แสน
สรุปยอดเฟบเฉลี่ยในแต่ละช่วงคือ 3.49 แสน , 1.40 แสน และ 2.45 แสน ตามลำดับ
นั่นแปลว่าช่วงที่พรี/เดบิ้วต์ เป็นช่วงที่กระแสความไฮป์ทีเร้กพุ่งขึ้นสูงสุด หรือสูงเป็น 3.49 / 1.40 =
2.5 เท่า ของช่วงเวลาที่ไฮป์ตกต่ำที่สุด
# ค่านี้บอกอะไรเราได้บ้าง ?
เราพบว่าว่าอัตราส่วนนี้มีความสัมพันธ์กับยอดวิวเอ็มวีเพลงไตเติ้ลในยูทูป
จากข้อมูลสถิติยอดวิว 24 ชม. ที่ยืนยันแล้วของเพลง Crown อยู่ที่ 15.1 ล้านวิว ขณะที่เพลง Run Away อยู่ที่ 5.06 ล้านวิว (ไม่ยืนยัน)
ซึ่งยอดวิวเพลง Crown นั้นสูงกว่าเพลง Run Away อยู่ 15.1 / 5.06 =
2.98 เท่า สอดคล้องกับอัตราส่วนความไฮป์ที่มากกว่าราว
2.5 เท่า ด้วย
ดังนั้นเราพอจะสรุปเบื้องต้นได้ว่า ยอดวิวเอ็มวีเพลง Run Away ลดลงนั้น ก็เป็นผลมาจากความไฮป์ที่ลดลงหลังเดบิ้วต์ตามเหตุที่กล่าวมาทั้งหมด
(ส่วนตัวคิดว่า นโยบายการนับยอดวิวใหม่ รวมทั้งความยาวของเอ็มวีที่ยาวถึง 6 นาทีก็มีผลด้วยส่วนหนึ่ง แต่ปัจจัยหลักที่วิวลดลงมาจากความไฮป์ที่หายไปแน่นอน)
# คัมแบ็คครั้งหน้ากระแสจะเป็นอย่างไร ?
มาแน่ ! แต่ยังไม่ถึงกับตอนเดบิ้วต์
เพราะว่า ค่าเฉลี่ยยอดเฟบปัจจุบันอยู่ที่ 2.45 แสน เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนคัมแบ็ค TDC : Magic เท่ากับ 2.45 / 1.40 =
1.75 เท่า
หากเราจะลองคาดการณ์ยอดวิวยูทูป 24 ชม. เพลงไตเติ้ลใหม่ ก็สามารถคำนวณได้ง่าย ๆ ดังนี้
> คาดการณ์ยอดวิว 24 ชม. เอ็มวีเพลงไตเติ้ลใหม่ = 5.06 * 1.75 =
8.85 ล้านวิว โดยประมาณ
นี่คือคิดจากฐานของเพลง Run Away ที่ยาว 6 นาทีนะ ถ้าเกิดเป็นเอ็มวีไม่ยาว เราว่าน่าจะสูงกว่านั้น โมอาไปเดาเองละกันเนอะ
# ชาร์ตแสดงยอดจำนวนยอดฟอลโลว์ทวิตเตอร์สะสม

ใครอ่านชาร์ตเป็นก็ไม่ยากเลย ดูเส้นสีส้มแดง (TXT) ส่วนอีก 2 เส้นนั้นเป็นวงรุ่นพี่ บบ. ซึ่งเราใส่มาเป็น Ref. ให้เห็นข้อเปรียบเทียบ
จะเห็นว่า ช่วงที่ไฮป์สุด ยอดคนฟอลพุ่งสูงสุดคือช่วง ก่อนเดบิ้วต์ + ช่วงเดบิ้วต์ กราฟชันมาก ยอดคนฟอลเพิ่มเร็ว
หลังจากนั้นก็เข้าสู่ช่วงที่ 2 (หลังเดบิ้วต์-ตามรูป) ช่วงนี้เป็นช่วงที่คนตามตั้งแต่แรก ๆ ถ้าไม่ใช่ไทป์วงที่ตัวเองชอบก็จะเลิกตาม ส่วนคนมาฟอลใหม่ก็มี พอนำมาหักล้างกันระหว่างคนเข้าและคนออก ก็จะส่งผลให้กราฟช่วงนี้ไม่ชันมาก พูดภาษาวิทย์หน่อยคือ เพิ่มขึ้นแบบไม่มีอัตราเร่ง .. จังหวะนี้แหล่ะเป็นช่วงที่ไฮป์ทีเร้กลดลง ถ้าภาษาหุ้นก็เรียกว่า ช่วงปรับฐาน หรือ หุ้นพักตัว 55+
(ภาษาหุ้นก็มา เอาสิมาร์เวล)
ถัดมาคือช่วงที่ 3 (หลังคัมแบ็ค) หลังจากเดือน Oct 19 จะเห็นว่ากราฟเริ่มจะพุ่งฉีกออกจาก
"เส้นค่าเฉลี่ยหลังเดบิ้วต์" (เส้นตรงสีดำ-ตามรูป)
ช่วงนี้แหล่ะที่ยอดความสนใจเพิ่มขึ้นอีกครั้ง มีคนฟอลเพิ่มขึ้นรวดเร็ว
ใครดูหมออธิบายการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อโควิดในแถบยุโรป/อเมริกา กราฟส่วนนี้นี่แหล่ะสถานการณ์เดียวกันเลย เพิ่มขึ้นแบบทวีคูณเกินเส้นค่าเฉลี่ย แต่แค่ถ้าเป็นการเพิ่มขึ้นของเคสโควิดน่ะไม่ดีร้อก ... ส่วนนี่มันเป็นยอดฟอลเพิ่มแบบมีอัตราเร่ง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีแน่ ๆ
# ส่งท้าย
บทสรุปของคำถามที่ว่า ทีเร้กกระแสดี หรือ กระแสตก ? คำตอบคือ มันมีทั้งช่วงที่ดีและก็ช่วงที่ตก แต่ ณ วันนี้ก็กลับมาดีขึ้นอีกครั้งหลังจากไปโชว์ตัวงานปลายปี รวมทั้งไปเดบิ้วต์ที่ญี่ปุ่น เราคิดว่าคัมแบ็คหน้าในฝั่ง เกาหลี / ญี่ปุ่น น่าจะออกมาต้อนรับอุ่นหนาฝาครั่งพอสมควร
ส่วนฝั่งตะวันตก (สหรัฐอเมริกา / ยุโรป) นอกจากลุ้นสถานการณ์โควิดแล้ว ก็ขึ้นกับแผนโปรโมตของบิ๊กฮิตด้วย เพราะถ้าไม่นับที่ส่งไปงาน KCON NY การโปรโมตที่นั่นก็จบตั้งแต่โชว์เคสเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว ผ่านมาวันนี้จะครบ 1 ปีแล้ว ถ้ากระแสทางนั้นจะตกสำรวจไปบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่ก่อนอื่นเหนือสิ่งใดก็คือ ได้ฤกษ์ยามก็ปักวันคัมได้แล้วนะพ่อ ...
모아 โมอา ! มาคุยกันก่อนคัมแบ็ค : ทีเร้ก กระแสดี หรือ กระแสตก ?
ซึ่งยอดต่าง ๆ จากสื่อ SNS (สื่อโซเชียลมีเดีย) สามารถเป็นดัชนีชี้วัดความไฮป์ได้ดีและรวดเร็วที่สุด
เวลามีคนมาถามว่า วงนั้นวงนี้กระแสดีมั้ย คนไฮป์มั้ย เราสามารถประเมินเบื้องต้นได้จากสถิติ SNS ที่วงนั้นใช้สื่อสารเป็นหลัก
อย่างกรณีนี้ เราสามารถใช้ SNS ของวงเพื่อประเมินยอดความไฮป์ได้ด้วยเช่นกัน
โอเคว่า มันอาจไร้สาระหรือเชื่อถือไม่ได้เหมือนกับยอดทางการ เช่น ยอดขายอัลบั้ม , ยอดดิจิตอล หรือ ยอดผู้ชมคอนเสิร์ต
แต่จากที่เราสังเกตและเก็บข้อมูลเรื่องนี้มาพอสมควร เราพบว่ายอด SNS นี้สามารถใช้เป็นตัวชี้วัดผลลัพธ์ล่วงหน้า (Leading Indicator) ที่จะทำนายยอดอัลบั้ม ดิจิตอลต่าง ๆ ได้ค่อนข้างแม่นยำเลยทีเดียว .. ทำไมเราถึงพูดแบบนั้น เอ้า มาดูกัน !
# การคำนวณแบบง่าย ๆ เพื่อวัดค่าความไฮป์
ทีเร้กเล่นทวิตเตอร์ แอ็คเค้าท์หลักคือ TXT_members ปัจจุบันมียอดฟอลที่ 3.9 ล้านคน
เพื่อให้ง่ายต่อการเปรียบเทียบ เราจะแบ่งลำดับช่วงเวลาออกเป็น 3 ช่วง ดังนี้
1. ช่วงพรีเดบิ้วต์และช่วงเดบิ้วต์
2. ช่วงหลังเดบิ้วต์ จนถึงถึงก่อนคัมแบ็คแรก (ตุลาคม 2019)
3. ช่วงหลังคัมแบ็คแรกจนถึงปัจจุบัน
ทวิตเตอร์มียอดสำคัญที่สำคัญมี 3 ยอดคือ ยอดเมนชั่น , ยอดรีทวิต และ ยอดเฟบ (กดหัวใจ)
ต่อไปนี้เราขอหยิบเอา ยอดเฟบ มาใช้ในการคำนวณ ***(ความจริงจะใช้ยอดรีก็ได้ ผลลัพธ์ก็ไม่ต่างกัน)
โดยการคำนวณนี้เราจะหาค่าเฉลี่ยยอดเฟบในช่วง 3 ระยะเวลาที่เราแบ่งไว้ด้านบน โดยสุ่มออกมา 4 ทวิต ต่อหนึ่งช่วงเวลา (ขอแค่ 4 พอ นะ ขี้เกียจแค็ป)
1. ช่วงพรีเดบิ้วต์และช่วงเดบิ้วต์
- ค่าเฉลี่ยยอดเฟบช่วงพรี/เดบิ้วต์ = (325 + 368 + 388 + 315) / 4 = 349K หรือ 3.49 แสน
2. ช่วงหลังเดบิ้วต์จนถึงถึงก่อนคัมแบ็คแรก (เราเลือกช่วง 1 เดือนก่อนคัมแบ็ค เพราะเป็นช่วงที่ยอดไฮป์ตกต่ำมากที่สุด)
- ค่าเฉลี่ยยอดเฟบหลังเดบิ้วต์ก่อนคัมแบ็ค = (136 + 133 + 151 + 140) / 4 = 140K หรือ 1.40 แสน
3. ช่วงหลังคัมแบ็คแรกจนถึงปัจจุบัน
- ค่าเฉลี่ยยอดเฟบหลังเดบิ้วต์ก่อนคัมแบ็ค = (213 + 293 + 239 + 236) / 4 = 245K หรือ 2.45 แสน
สรุปยอดเฟบเฉลี่ยในแต่ละช่วงคือ 3.49 แสน , 1.40 แสน และ 2.45 แสน ตามลำดับ
นั่นแปลว่าช่วงที่พรี/เดบิ้วต์ เป็นช่วงที่กระแสความไฮป์ทีเร้กพุ่งขึ้นสูงสุด หรือสูงเป็น 3.49 / 1.40 = 2.5 เท่า ของช่วงเวลาที่ไฮป์ตกต่ำที่สุด
# ค่านี้บอกอะไรเราได้บ้าง ?
เราพบว่าว่าอัตราส่วนนี้มีความสัมพันธ์กับยอดวิวเอ็มวีเพลงไตเติ้ลในยูทูป
จากข้อมูลสถิติยอดวิว 24 ชม. ที่ยืนยันแล้วของเพลง Crown อยู่ที่ 15.1 ล้านวิว ขณะที่เพลง Run Away อยู่ที่ 5.06 ล้านวิว (ไม่ยืนยัน)
ซึ่งยอดวิวเพลง Crown นั้นสูงกว่าเพลง Run Away อยู่ 15.1 / 5.06 = 2.98 เท่า สอดคล้องกับอัตราส่วนความไฮป์ที่มากกว่าราว 2.5 เท่า ด้วย
ดังนั้นเราพอจะสรุปเบื้องต้นได้ว่า ยอดวิวเอ็มวีเพลง Run Away ลดลงนั้น ก็เป็นผลมาจากความไฮป์ที่ลดลงหลังเดบิ้วต์ตามเหตุที่กล่าวมาทั้งหมด
(ส่วนตัวคิดว่า นโยบายการนับยอดวิวใหม่ รวมทั้งความยาวของเอ็มวีที่ยาวถึง 6 นาทีก็มีผลด้วยส่วนหนึ่ง แต่ปัจจัยหลักที่วิวลดลงมาจากความไฮป์ที่หายไปแน่นอน)
# คัมแบ็คครั้งหน้ากระแสจะเป็นอย่างไร ?
มาแน่ ! แต่ยังไม่ถึงกับตอนเดบิ้วต์
เพราะว่า ค่าเฉลี่ยยอดเฟบปัจจุบันอยู่ที่ 2.45 แสน เพิ่มขึ้นจากช่วงก่อนคัมแบ็ค TDC : Magic เท่ากับ 2.45 / 1.40 = 1.75 เท่า
หากเราจะลองคาดการณ์ยอดวิวยูทูป 24 ชม. เพลงไตเติ้ลใหม่ ก็สามารถคำนวณได้ง่าย ๆ ดังนี้
> คาดการณ์ยอดวิว 24 ชม. เอ็มวีเพลงไตเติ้ลใหม่ = 5.06 * 1.75 = 8.85 ล้านวิว โดยประมาณ
นี่คือคิดจากฐานของเพลง Run Away ที่ยาว 6 นาทีนะ ถ้าเกิดเป็นเอ็มวีไม่ยาว เราว่าน่าจะสูงกว่านั้น โมอาไปเดาเองละกันเนอะ
# ชาร์ตแสดงยอดจำนวนยอดฟอลโลว์ทวิตเตอร์สะสม
ใครอ่านชาร์ตเป็นก็ไม่ยากเลย ดูเส้นสีส้มแดง (TXT) ส่วนอีก 2 เส้นนั้นเป็นวงรุ่นพี่ บบ. ซึ่งเราใส่มาเป็น Ref. ให้เห็นข้อเปรียบเทียบ
จะเห็นว่า ช่วงที่ไฮป์สุด ยอดคนฟอลพุ่งสูงสุดคือช่วง ก่อนเดบิ้วต์ + ช่วงเดบิ้วต์ กราฟชันมาก ยอดคนฟอลเพิ่มเร็ว
หลังจากนั้นก็เข้าสู่ช่วงที่ 2 (หลังเดบิ้วต์-ตามรูป) ช่วงนี้เป็นช่วงที่คนตามตั้งแต่แรก ๆ ถ้าไม่ใช่ไทป์วงที่ตัวเองชอบก็จะเลิกตาม ส่วนคนมาฟอลใหม่ก็มี พอนำมาหักล้างกันระหว่างคนเข้าและคนออก ก็จะส่งผลให้กราฟช่วงนี้ไม่ชันมาก พูดภาษาวิทย์หน่อยคือ เพิ่มขึ้นแบบไม่มีอัตราเร่ง .. จังหวะนี้แหล่ะเป็นช่วงที่ไฮป์ทีเร้กลดลง ถ้าภาษาหุ้นก็เรียกว่า ช่วงปรับฐาน หรือ หุ้นพักตัว 55+ (ภาษาหุ้นก็มา เอาสิมาร์เวล)
ถัดมาคือช่วงที่ 3 (หลังคัมแบ็ค) หลังจากเดือน Oct 19 จะเห็นว่ากราฟเริ่มจะพุ่งฉีกออกจาก "เส้นค่าเฉลี่ยหลังเดบิ้วต์" (เส้นตรงสีดำ-ตามรูป)
ช่วงนี้แหล่ะที่ยอดความสนใจเพิ่มขึ้นอีกครั้ง มีคนฟอลเพิ่มขึ้นรวดเร็ว
ใครดูหมออธิบายการเพิ่มขึ้นของผู้ติดเชื้อโควิดในแถบยุโรป/อเมริกา กราฟส่วนนี้นี่แหล่ะสถานการณ์เดียวกันเลย เพิ่มขึ้นแบบทวีคูณเกินเส้นค่าเฉลี่ย แต่แค่ถ้าเป็นการเพิ่มขึ้นของเคสโควิดน่ะไม่ดีร้อก ... ส่วนนี่มันเป็นยอดฟอลเพิ่มแบบมีอัตราเร่ง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีแน่ ๆ
# ส่งท้าย
บทสรุปของคำถามที่ว่า ทีเร้กกระแสดี หรือ กระแสตก ? คำตอบคือ มันมีทั้งช่วงที่ดีและก็ช่วงที่ตก แต่ ณ วันนี้ก็กลับมาดีขึ้นอีกครั้งหลังจากไปโชว์ตัวงานปลายปี รวมทั้งไปเดบิ้วต์ที่ญี่ปุ่น เราคิดว่าคัมแบ็คหน้าในฝั่ง เกาหลี / ญี่ปุ่น น่าจะออกมาต้อนรับอุ่นหนาฝาครั่งพอสมควร
ส่วนฝั่งตะวันตก (สหรัฐอเมริกา / ยุโรป) นอกจากลุ้นสถานการณ์โควิดแล้ว ก็ขึ้นกับแผนโปรโมตของบิ๊กฮิตด้วย เพราะถ้าไม่นับที่ส่งไปงาน KCON NY การโปรโมตที่นั่นก็จบตั้งแต่โชว์เคสเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว ผ่านมาวันนี้จะครบ 1 ปีแล้ว ถ้ากระแสทางนั้นจะตกสำรวจไปบ้างก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
แต่ก่อนอื่นเหนือสิ่งใดก็คือ ได้ฤกษ์ยามก็ปักวันคัมได้แล้วนะพ่อ ...