นี่ไม่ใช่กระทู้ที่นึกจะเขียนก็เขียน แต่คิดมานานแล้วว่าถ้าไม่เล่ามันออกมาก็คงจะรบกวนจิตใจไปตลอด
กว่าจะเยียวยาตัวเองและเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้ ผมรอวันที่ตัวเองพร้อมเขียนมาเป็นปี ๆ
เรื่องนี้เป็นประสบการณ์แย่ ๆ ของผมเอง มันแย่มากจนทุกวันนี้ไม่กล้าเริ่มใหม่กับใครอีก
เนื้อหาอาจยาวเพราะอยากจะเล่าให้ละเอียด ให้ทุกสิ่งที่เจอมาถูกบันทึกไว้ ไม่ใช่แค่เจ็บแล้วก็ผ่านไป

ย้อนกลับไปช่วงที่ผมเรียนใกล้จะจบ (พ.ศ. 2560) เหลือเวลาอยู่ในกทม.อีกไม่กี่เดือนจะกลับไปอยู่บ้านแล้ว
คิดว่าถ้าอยากมีแฟนก็ต้องหาตอนนี้แหละ เพราะโดยส่วนตัวไม่ใช่คนเข้าสังคม อยู่ติดบ้านคงยากที่จะได้พบใคร
และเมื่อลองใช้แอปต่าง ๆ แล้วยังไม่เวิร์ก ก็เลยตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา
https://pantip.com/topic/36279957
หลังจากกระทู้นี้ออกไป แม้จะมีคนติดต่อเข้ามาเยอะแต่ก็ยังไม่เจอคนที่ชอบอยู่ดี จนเริ่มหมดหวังแล้วว่าคงไม่เจอแน่
ทันใดนั้นเองเขาคนนี้ก็เพิ่มเพื่อนมาบนเฟซบุ๊ก เห็นว่าเรียนอยู่ม.เดียวกันก็ลองกดเข้าไปดู อาจจะฟังดูใหญ่โตแต่นาทีนั้นมีความรู้สึกพิเศษหลายอย่างตั้งแต่แรกเห็น บุคลิกหน้าตา ชื่อนามสกุล สาขาที่เรียน วันเดือนปีเกิด มันถูกชะตาไปหมดเลย ยิ่งพอได้รู้จักกัน ได้เห็นชีวิตประจำวัน ด้านดี ๆ ที่เขาแสดงออกมา ความชอบความสนใจ ฯลฯ ทุกอย่างทำให้ผมเชื่อว่านี่แหละใช่ เขาคือคนในอุดมคติของผมเลย
เราเริ่มทักทายกันในวันที่ 1 เม.ย. (อันเป็นฤกษ์ดี..) แล้วก็คุยกันมาระยะหนึ่ง โดยในหนึ่งสัปดาห์จะได้เจอกันสองสามวัน วันละไม่เกินหนึ่งชั่วโมงหลังเลิกเรียนหรือบางครั้งก็แวะมาเจอกันในช่วงสั้น ๆ ตอนพัก เขาบอกว่าเขาไม่ค่อยมีเวลาให้และยังไม่พร้อมที่จะคบเป็นแฟนเพราะช่วงนี้งานเยอะ ทำแล็บเสร็จก็มืดแล้ว ไหนจะสอบอีก ต้องเตรียมตัวไปฝึกสอนอีก ผมก็โอเค มีหน้าที่ก็ทำเถอะ เพิ่งรู้จักกันใช่ว่าจะรีบคบตอนนี้ซะหน่อย
การมีเวลาร่วมกันน้อยยิ่งทำให้ทุกครั้งที่ได้เจอมีความหมายมาก ตั้งแต่การพบกันครั้งแรกที่ผมตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ ผ่านมาหนึ่งเดือนกับการดูแลกันเล็ก ๆ น้อย ๆ ซื้อขนมให้กันก่อนเข้าเรียน เป็นช่วงเวลาที่พิเศษและมีความสุขมากจริง ๆ จำได้ว่าการเจอกันแต่ละครั้งกว่าจะได้เริ่มคุยคือเสียเวลานั่งเขิน อ้ำอึ้งไปครึ่งชั่วโมงแล้ว ผมชอบเขามากขึ้นเรื่อย ๆ เพ้อลงโซเชียลไม่เว้นวัน ในขณะที่เขาเองก็บอกว่ารู้สึกดีมาก เพิ่งจะเคยมีแฟนรุ่นเดียวกัน และด้วยนิสัยที่ต่างกันกันแต่เขาบอกว่ารับได้ ยิ่งทำให้ผมดีใจสุด ๆ
ในวันที่ 8 พ.ค. จู่ ๆ เขาก็มาหาในท่าทางที่ดูรีบ เปิดบทสนทนาด้วยสัญญาผูกมัด ถามผมว่าจะคบกันเลยไหม บอกว่ากลัวจะเสียผมไป(?) ตอนนั้นผมก็งงเพราะมันกะทันหัน แต่ไม่ได้ติดขัดอะไรก็เลยตกลงที่จะคบกัน ซึ่งในระหว่างที่คุยเขาก็เปรยขึ้นมาอย่างหนึ่งว่า “เรื่องนอกใจเราต้องเชื่อใจกันนะ ถ้าระแวงหรือสงสัยใครให้มาถามอย่าเก็บไปคิดเอง” ซึ่งที่จริงเรื่องพวกนี้ก็ไม่เคยอยู่ในหัวผมเลย(ความโลกสวย เชื่อว่าถ้าเราดีใครจะทิ้งเราไป) และผมก็เชื่อใจเขาง่าย ๆ เพราะเหตุผลอีกสองข้อ 1. เห็นว่าเขาเรียนครู คงเป็นคนดีมีคุณธรรมในระดับหนึ่งแหละมั้ง 2. เห็นว่าเขาเป็นเพื่อนของเพื่อนในเอกเดียวกับผม อยู่โรงเรียนเดียวกันห้องเดียวกันมาตลอด เลยแอบไปถามจากเพื่อนก่อนและเพื่อนก็บอกว่านิสัยดี อันนี้ไม่โทษเพื่อนเพราะเพื่อนก็บอกเท่าที่เพื่อนรู้แหละ
ผ่านช่วงมรสุม เคลียร์งานเคลียร์สอบไปแล้ว ในวันธรรมดาเราก็เริ่มมีเวลาให้กันมากขึ้น วันเสาร์อาทิตย์มีมาค้างด้วยกันที่หอบ้าง มีไปเดินห้างฯ ซื้อของมาทำกับข้าว ฯลฯ ระหว่างที่อยู่ด้วยกันเขาเอาใจใส่ดูแลผมเป็นอย่างดี ดีทุกฝีก้าว ดีจนใจหาย ถ้าไปกินข้าวด้วยกันหรือมีค่าใช้จ่ายอะไรเขาจะออกให้หมดจนผมเกรงใจ มีอะไรขาดหรือต้องใช้ก็จะหามาให้ตลอด อย่างไรก็ตามผมมีเวลาเหลืออยู่ในกทม. ถึงวันที่ 26 พ.ค. เท่านั้น เราจึงสัญญากันว่าจะใช้เวลาเท่าที่มีอยู่ร่วมกันให้มากที่สุดและจะยังติดต่อกันแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ใกล้กันแล้ว เป็นโมเมนต์ที่ชวนเศร้ามาก ผมเชื่อใจเขานะ แต่เวลาคิดเรื่องนี้ก็น้ำตาคลออยู่ดี มีความรู้สึกว่าอุตส่าห์ได้เจอกันแล้ว แต่ไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้จะเป็นยังไงต่อ ก็บอกตัวเองว่าไม่เป็นไร เพราะความสัมพันธ์ยังไปได้สวย
แน่นอนว่าบนโลกนี้ไม่มีใครเข้ากันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ ผมกับเขาก็เผชิญปัญหากันเล็กน้อย คือผมเกิดความรู้สึกแย่กับตัวเองเพราะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับเขา การที่เขาสมบูรณ์แบบมากในสายตาเรา มันทำให้ผมรู้สึกด้อยไปหมดทุกอย่าง บวกกับนิสัยของเขาที่ขี้อวดมาก(ตั้งใจจะใช้คำว่า"ค่อนข้างขี้อวด" แต่ไม่ได้ เพราะขี้อวดมากจริง ๆ ไว้เล่าทีหลัง) ยิ่งตอกย้ำให้ผมรู้สึกแย่ เรื่องนี้จะว่าเป็นปัญหาเล็กน้อยก็ไม่เชิง เพราะมันหนักสำหรับผมจนอาการซึมเศร้าที่ห่างหายไปนานกลับขึ้นมาเป็นอีก อาจจะอธิบายให้เข้าใจได้ยากหน่อย เอาเป็นว่าบางครั้งภาวะอารมณ์ของผมก็มืดมน จนเขาอาจจะรู้สึกว่าความสัมพันธ์มันไม่สดใส
ที่จริงเขาไม่เคยบอกหรอกครับว่าเขารู้สึกยังไง และตั้งแต่คบกันมาก็ยังคงคอนเซ็ปต์ “ดูแลดีทุกฝีก้าว” เหมือนเดิม แต่ผมรู้สึกได้จากอะไรหลายอย่างว่าสิ่งที่เขาทำช่วงหลัง ๆ มันไม่ได้มาจากใจ แค่เป็นไปตามบทบาทแฟนเท่านั้น ทั้งบทสนทนาในแชทที่เริ่มเปลี่ยนไป ทั้งพฤติกรรมที่ดูร้อนรนเวลาอยู่กับผม บางทีนัดเจอกันแล้วอยู่ดี ๆ ก็เร่งให้ผมกลับ และหลายครั้งที่ผมแซวเล่นแต่เขาตอบสนองแปลก ๆ ดูยังไงก็มีพิรุธ ยิ่งช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนผมกลับบ้านยิ่งเอาใจผิดปกติ เหมือนพยายามทำดีเพื่อชดเชยอะไรสักอย่าง ซึ่งดูยังไงก็ไม่เนียน
วันที่ 26 พ.ค. เป็นวันที่ผมต้องย้ายของออกจากหอ วันนี้ตอนกลางวันเขาไปดูงานที่โรงเรียนแล้วตอนเย็นจึงแวะมาช่วยเก็บของ ส่วนพ่อแม่ของผมจะมารับตอนค่ำ ๆ เหตุการณ์คือช่วงที่เขาเข้ามาช่วยเก็บของ มาถึงก็รีบเก็บของอย่างเร็ว ท่าทางเหมือนจะรีบไปไหนต่อ ตอนนั้นผมคิดไปเองว่าเขาอาจจะยังไม่พร้อมเจอพ่อแม่เรามั้ง(พ่อแม่ก็ยังไม่รู้ว่าผมมีแฟน) แต่ด้วยสถานการณ์บังคับสุดท้ายเขาก็อยู่จนพ่อแม่ผมมารับ ซึ่งก็อยู่ไม่นาน พ่อแม่ยังไม่ทันได้พูดคุยอะไรด้วยเขาก็รีบลาแล้วเผ่นออกไปเลย
พอกลับมาอยู่บ้าน เวลาที่ผมรู้สึกเคว้งก็จะเพ้อลงโซเชียลประปราย สิ่งที่สังเกตได้ในตอนนี้คือเขาไม่มีการมา like หรือ comment กันเลย นาน ๆ ทีถึงจะทักมา และจากการคุยของเขาผมก็รู้สึกได้ว่าเขาไม่ได้อยากคุยอะไร แค่ทักพอเป็นพิธีเท่านั้น
วันที่ 4 มิ.ย. ผมไปหาเขาที่กทม.และค้างหนึ่งคืน เพราะในวันรุ่งขึ้นจะไปหาหมอที่ศูนย์การแพทย์มศว องครักษ์ ซึ่งการหาหมอครั้งนี้นอกจากจะไปเพื่อติดตามอาการซึมเศร้าแล้ว ผมตั้งใจจะไปเพื่อปรึกษานักจิตวิทยาเรื่องปัญหาต่าง ๆ ที่มันส่งผลกระทบกับความสัมพันธ์(ผมเชื่อว่าปัญหาเกิดจากตัวผมที่จัดการกับความรู้สึกแย่ ๆ ได้ไม่ดีเอง) การพบนักจิตวิทยาทำให้รู้สึกโอเคในระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็เข้าใจตนเองและจัดการกับความรู้สึกได้ดีขึ้น ถึงจะยังมีปมบางอย่างที่ยังไม่คลาย แต่ผมดีใจและโล่งใจมากที่เขาจะได้ไม่ต้องหนักใจเพราะผมอีก ผมรีบเดินทางกลับเพื่อไปเล่าให้เขาฟัง หวังว่าอะไรคงดีกว่าเดิม..
เมื่อมาถึงที่นัดหมายในช่วงเย็น เห็นเขานั่งรออยู่ก็เข้าไปหาและเริ่มบทสนทนา เริ่มเล่าปัญหาต่าง ๆ ให้เขาฟังเพื่อหาทางออกร่วมกัน ในช่วงแรกเขาก็แสดงท่าทีเหมือนรับรู้ แต่คุยไปคุยมากลายเป็นว่าปัญหานี้หาทางออกไม่ได้ ทั้งที่เราก็แก้มันได้เห็น ๆ และตัวของปัญหาเองก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น ผมพยายามพูดอธิบายซ้ำแล้วซ้ำอีกแต่พูดเท่าไหร่เขาก็ไม่ยอมให้ผมหาทางลง เหมือนหนักแน่นในความคิดบางอย่าง และในที่สุดก็ได้รู้ว่าเขาคิดอะไร..
“เรากลับมาเป็นคนคุยกันก่อนไหม เราไม่แน่ใจว่าก็อตคือคนที่ใช่จริง ๆ หรือเปล่า ถ้าเราใช่สำหรับกันและกันจริง ๆ เราค่อยมาคบกันใหม่ก็ได้ ก็อตยังมาหาเราที่หอได้เหมือนเดิมนะ” นี่มันไม่ต่างอะไรกับการบอกเลิก.. คืนนั้นผมใจสลาย สภาพแย่มากจนตัดสินใจไม่กลับบ้าน ยอมนอนที่มหาวิทยาลัยคนเดียว โดนยุงกัดจนลายไปทั้งตัว
เวลาผ่านมาหลายวันแต่ผมยังคงสับสน กินไม่ได้นอนไม่หลับ ทุกสิ่งทุกอย่างคลุมเครือมาก ทำไมอยู่ ๆ เขาถึงเลือกแบบนั้น ในเมื่ออาทิตย์ก่อนเขายังบอกว่ารักมาก มีความสุขมาก ยังบอกคิดถึงกันอยู่เลย ยิ่งก่อนหน้านั้นเคยบอกว่า “คงเสียใจถ้าก็อตต้องกลับไปอยู่บ้าน” แล้วภายในเวลาไม่กี่วัน ผมมันแย่ขนาดที่เขาต้องเปลี่ยนใจเลยเหรอ..
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา เนื่องจากผมยังมีนัดหมออยู่ ผมจึงไปค้างที่หอเขาคืนหนึ่งเพื่อที่จะเดินทางได้สะดวก ในคืนนั้นจู่ ๆ เขาก็บอกกับผมว่า “เราเป็นเพื่อนกันอะดีแล้ว เรารักก็อตแบบเพื่อนนะ” ผมนึกในใจว่ามันใช่เหรอ นี่เพิ่งผ่านมาอาทิตย์เดียว ตัดสินใจง่ายเกินไปไหม แล้วอะไรคือรักแบบเพื่อน ผมพยายามคุยกับเขาด้วยเหตุผล ซึ่งเขาก็บ่ายเบี่ยงไปเรื่อยและไม่มีท่าทีจะเปลี่ยนใจ ด้วยความที่เครียดมากและสับสนกับทุกสิ่งทุกอย่าง พยายามถามแล้วแต่ไม่ได้อะไรเลย คืนนั้นผมตัดสินใจเด็ดขาด! แอบเปิดโทรศัพท์ เปิด chat ของเขาดู และสิ่งที่พบคือ..
1. chat กับพี่คนหนึ่ง ดูจากการคุยก็รู้เลยว่าคือ"แฟนเก่า" เรื่องที่พูดคุยมีทั้งการเอาปัญหาของผมไประบาย พูดถึงผมเสีย ๆ หาย ๆ (ทั้งที่ตอนอยู่กับผมพูดดีมาก เวลาถามถึงปัญหามักจะบอกว่าไม่เป็นไร) มีทั้งการให้คำมั่นสัญญา "ไม่ว่าเขาจะคบกับใคร พี่ก็จะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน" ซาบซึ้งเหลือเกิน.. ที่ร้ายที่สุดคือการแอบนัดกัน เขาเคยไปเที่ยวภูเก็ตครั้งหนึ่งโดยบอกผมว่าไปกับพี่ สรุปไม่ใช่พี่น้องที่บ้านแต่เป็นพี่ที่เป็นแฟนเก่า! และตลอดเวลาที่ผ่านมา เหตุผลที่เขาดูรีบร้อนเพราะเขามีนัดกับพี่คนนี้!
2. ครูอีกคนที่ฝึกสอนโรงเรียนเดียวกัน หยอดกันหวานฉ่ำทั้งที่ครูคนนี้ก็มีแฟนแล้ว มีการทักไปหาเขาว่า "ว่างยัง แฟนไปยัง" และที่ยิ่งร้ายคือตลอดเวลาที่เขากลับจากโรงเรียนช้าก็ไม่ใช่เพราะงาน แต่เพราะอยู่กับครูคนนี้! (เคยออกปากว่าตัวเองงานเยอะ จะเอาเวลาที่ไหนไปนอกใจ)
3. น้องคนหนึ่ง คุยแบบคนจีบกันอีกนั่นแหละ แต่น้องไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่อะไร
4. แฟนเก่าอีกคนนึง อันนี้คุยกันประสาคนรักเก่า ไม่มีอะไรพิเศษแต่ก็ทำให้ได้รู้ "จำนวนแฟนเก่า" เพิ่มขึ้นอีกคน จำได้ว่าเขาเคยพูดถึงแฟนเก่าที่เป็นหมอ พอมาดูแล้วก็ไม่ใช่พี่คนนี้ และไม่ใช่คนในข้อ 1. ด้วย สรุปคือ
นับแฟนเก่าได้อย่างน้อยสามคนแล้ว นี่ยังไม่รวมผมนะ
5. chat กับกลุ่มเพื่อน มีพูดถึงผมด้วย ซึ่งจากบริบทแล้วไม่ได้ present เราในฐานะแฟนเลย ผมอ่านแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอาหารจานหนึ่ง แล้วยังมีพูดถึงนักเรียนที่ไปสอนอีกนิดหน่อย นักเรียนชายกรุบ ๆ จ้า
นี่คือเท่าที่มีเวลาขุดคุ้ย ไม่รู้ว่ายังมีใน chat หรือนอก chat อีกไหม แต่ที่แน่ ๆ ดูจากเวลาและวันที่ ความสัมพันธ์เหล่านี้ไม่ใช่เพิ่งเริ่ม
หลังจากได้เห็นข้อความพวกนี้คือผมช็อกไปเลย เรียบเรียงเรื่องราวไม่ถูกว่ามันเกิดอะไรขึ้น คนพวกนี้คือใครจากไหน แล้วจริง ๆ เขาเห็นเราเป็นอะไร ผมข่มตาไม่ลงจนถึงเช้าและไปหาหมอในสภาพที่ไม่ได้นอน หมอซักถามอะไรก็ตอบไม่ได้เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองกำลังเจออะไรอยู่ กลับบ้านมาก็ต้องทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และพยายามพูดคุยกับเขาให้เป็นปกติ เป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายมาก ทุกอย่างที่ผมทำมีแค่การยื้อเขาไว้ โทษตัวเอง ไม่มีการโกรธเกลียดใครเลย ทั้งตัวเขาและคนเหล่านั้น
อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ผมยังต้องไปหาหมออีกครั้ง เพราะเมื่อคราวก่อนเอกสารที่จะเบิกค่ายายังไม่อนุมัติจึงต้องกลับไปรับ ผมก็เลยมาค้างกับเขาอีกคืน ตอนนั้นผมเชื่อว่าเป็นเพราะเราไม่ดีเองเขาถึงไปคุยกับคนอื่น ถึงได้กล่าวถึงผมแย่ ๆ ถ้าแก้ไขได้ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น ผมจึงพยายามเล่น พยายามคุย ทำตัวให้ดีกว่าเดิม แต่คราวนี้เขายิ่งมีปฏิสัมพันธ์น้อยลงจนน่าอึดอัด
จะทยอยมาต่อครับ
ผมพบกับแฟนคนแรกในวัน April Fool's Day
กว่าจะเยียวยาตัวเองและเริ่มปะติดปะต่อเรื่องราวได้ ผมรอวันที่ตัวเองพร้อมเขียนมาเป็นปี ๆ
เรื่องนี้เป็นประสบการณ์แย่ ๆ ของผมเอง มันแย่มากจนทุกวันนี้ไม่กล้าเริ่มใหม่กับใครอีก
เนื้อหาอาจยาวเพราะอยากจะเล่าให้ละเอียด ให้ทุกสิ่งที่เจอมาถูกบันทึกไว้ ไม่ใช่แค่เจ็บแล้วก็ผ่านไป
ย้อนกลับไปช่วงที่ผมเรียนใกล้จะจบ (พ.ศ. 2560) เหลือเวลาอยู่ในกทม.อีกไม่กี่เดือนจะกลับไปอยู่บ้านแล้ว
คิดว่าถ้าอยากมีแฟนก็ต้องหาตอนนี้แหละ เพราะโดยส่วนตัวไม่ใช่คนเข้าสังคม อยู่ติดบ้านคงยากที่จะได้พบใคร
และเมื่อลองใช้แอปต่าง ๆ แล้วยังไม่เวิร์ก ก็เลยตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา https://pantip.com/topic/36279957
หลังจากกระทู้นี้ออกไป แม้จะมีคนติดต่อเข้ามาเยอะแต่ก็ยังไม่เจอคนที่ชอบอยู่ดี จนเริ่มหมดหวังแล้วว่าคงไม่เจอแน่
ทันใดนั้นเองเขาคนนี้ก็เพิ่มเพื่อนมาบนเฟซบุ๊ก เห็นว่าเรียนอยู่ม.เดียวกันก็ลองกดเข้าไปดู อาจจะฟังดูใหญ่โตแต่นาทีนั้นมีความรู้สึกพิเศษหลายอย่างตั้งแต่แรกเห็น บุคลิกหน้าตา ชื่อนามสกุล สาขาที่เรียน วันเดือนปีเกิด มันถูกชะตาไปหมดเลย ยิ่งพอได้รู้จักกัน ได้เห็นชีวิตประจำวัน ด้านดี ๆ ที่เขาแสดงออกมา ความชอบความสนใจ ฯลฯ ทุกอย่างทำให้ผมเชื่อว่านี่แหละใช่ เขาคือคนในอุดมคติของผมเลย
เราเริ่มทักทายกันในวันที่ 1 เม.ย. (อันเป็นฤกษ์ดี..) แล้วก็คุยกันมาระยะหนึ่ง โดยในหนึ่งสัปดาห์จะได้เจอกันสองสามวัน วันละไม่เกินหนึ่งชั่วโมงหลังเลิกเรียนหรือบางครั้งก็แวะมาเจอกันในช่วงสั้น ๆ ตอนพัก เขาบอกว่าเขาไม่ค่อยมีเวลาให้และยังไม่พร้อมที่จะคบเป็นแฟนเพราะช่วงนี้งานเยอะ ทำแล็บเสร็จก็มืดแล้ว ไหนจะสอบอีก ต้องเตรียมตัวไปฝึกสอนอีก ผมก็โอเค มีหน้าที่ก็ทำเถอะ เพิ่งรู้จักกันใช่ว่าจะรีบคบตอนนี้ซะหน่อย
การมีเวลาร่วมกันน้อยยิ่งทำให้ทุกครั้งที่ได้เจอมีความหมายมาก ตั้งแต่การพบกันครั้งแรกที่ผมตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ ผ่านมาหนึ่งเดือนกับการดูแลกันเล็ก ๆ น้อย ๆ ซื้อขนมให้กันก่อนเข้าเรียน เป็นช่วงเวลาที่พิเศษและมีความสุขมากจริง ๆ จำได้ว่าการเจอกันแต่ละครั้งกว่าจะได้เริ่มคุยคือเสียเวลานั่งเขิน อ้ำอึ้งไปครึ่งชั่วโมงแล้ว ผมชอบเขามากขึ้นเรื่อย ๆ เพ้อลงโซเชียลไม่เว้นวัน ในขณะที่เขาเองก็บอกว่ารู้สึกดีมาก เพิ่งจะเคยมีแฟนรุ่นเดียวกัน และด้วยนิสัยที่ต่างกันกันแต่เขาบอกว่ารับได้ ยิ่งทำให้ผมดีใจสุด ๆ
ในวันที่ 8 พ.ค. จู่ ๆ เขาก็มาหาในท่าทางที่ดูรีบ เปิดบทสนทนาด้วยสัญญาผูกมัด ถามผมว่าจะคบกันเลยไหม บอกว่ากลัวจะเสียผมไป(?) ตอนนั้นผมก็งงเพราะมันกะทันหัน แต่ไม่ได้ติดขัดอะไรก็เลยตกลงที่จะคบกัน ซึ่งในระหว่างที่คุยเขาก็เปรยขึ้นมาอย่างหนึ่งว่า “เรื่องนอกใจเราต้องเชื่อใจกันนะ ถ้าระแวงหรือสงสัยใครให้มาถามอย่าเก็บไปคิดเอง” ซึ่งที่จริงเรื่องพวกนี้ก็ไม่เคยอยู่ในหัวผมเลย(ความโลกสวย เชื่อว่าถ้าเราดีใครจะทิ้งเราไป) และผมก็เชื่อใจเขาง่าย ๆ เพราะเหตุผลอีกสองข้อ 1. เห็นว่าเขาเรียนครู คงเป็นคนดีมีคุณธรรมในระดับหนึ่งแหละมั้ง 2. เห็นว่าเขาเป็นเพื่อนของเพื่อนในเอกเดียวกับผม อยู่โรงเรียนเดียวกันห้องเดียวกันมาตลอด เลยแอบไปถามจากเพื่อนก่อนและเพื่อนก็บอกว่านิสัยดี อันนี้ไม่โทษเพื่อนเพราะเพื่อนก็บอกเท่าที่เพื่อนรู้แหละ
ผ่านช่วงมรสุม เคลียร์งานเคลียร์สอบไปแล้ว ในวันธรรมดาเราก็เริ่มมีเวลาให้กันมากขึ้น วันเสาร์อาทิตย์มีมาค้างด้วยกันที่หอบ้าง มีไปเดินห้างฯ ซื้อของมาทำกับข้าว ฯลฯ ระหว่างที่อยู่ด้วยกันเขาเอาใจใส่ดูแลผมเป็นอย่างดี ดีทุกฝีก้าว ดีจนใจหาย ถ้าไปกินข้าวด้วยกันหรือมีค่าใช้จ่ายอะไรเขาจะออกให้หมดจนผมเกรงใจ มีอะไรขาดหรือต้องใช้ก็จะหามาให้ตลอด อย่างไรก็ตามผมมีเวลาเหลืออยู่ในกทม. ถึงวันที่ 26 พ.ค. เท่านั้น เราจึงสัญญากันว่าจะใช้เวลาเท่าที่มีอยู่ร่วมกันให้มากที่สุดและจะยังติดต่อกันแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ใกล้กันแล้ว เป็นโมเมนต์ที่ชวนเศร้ามาก ผมเชื่อใจเขานะ แต่เวลาคิดเรื่องนี้ก็น้ำตาคลออยู่ดี มีความรู้สึกว่าอุตส่าห์ได้เจอกันแล้ว แต่ไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้จะเป็นยังไงต่อ ก็บอกตัวเองว่าไม่เป็นไร เพราะความสัมพันธ์ยังไปได้สวย
แน่นอนว่าบนโลกนี้ไม่มีใครเข้ากันได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ในช่วงเวลาสั้น ๆ นี้ ผมกับเขาก็เผชิญปัญหากันเล็กน้อย คือผมเกิดความรู้สึกแย่กับตัวเองเพราะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับเขา การที่เขาสมบูรณ์แบบมากในสายตาเรา มันทำให้ผมรู้สึกด้อยไปหมดทุกอย่าง บวกกับนิสัยของเขาที่ขี้อวดมาก(ตั้งใจจะใช้คำว่า"ค่อนข้างขี้อวด" แต่ไม่ได้ เพราะขี้อวดมากจริง ๆ ไว้เล่าทีหลัง) ยิ่งตอกย้ำให้ผมรู้สึกแย่ เรื่องนี้จะว่าเป็นปัญหาเล็กน้อยก็ไม่เชิง เพราะมันหนักสำหรับผมจนอาการซึมเศร้าที่ห่างหายไปนานกลับขึ้นมาเป็นอีก อาจจะอธิบายให้เข้าใจได้ยากหน่อย เอาเป็นว่าบางครั้งภาวะอารมณ์ของผมก็มืดมน จนเขาอาจจะรู้สึกว่าความสัมพันธ์มันไม่สดใส
ที่จริงเขาไม่เคยบอกหรอกครับว่าเขารู้สึกยังไง และตั้งแต่คบกันมาก็ยังคงคอนเซ็ปต์ “ดูแลดีทุกฝีก้าว” เหมือนเดิม แต่ผมรู้สึกได้จากอะไรหลายอย่างว่าสิ่งที่เขาทำช่วงหลัง ๆ มันไม่ได้มาจากใจ แค่เป็นไปตามบทบาทแฟนเท่านั้น ทั้งบทสนทนาในแชทที่เริ่มเปลี่ยนไป ทั้งพฤติกรรมที่ดูร้อนรนเวลาอยู่กับผม บางทีนัดเจอกันแล้วอยู่ดี ๆ ก็เร่งให้ผมกลับ และหลายครั้งที่ผมแซวเล่นแต่เขาตอบสนองแปลก ๆ ดูยังไงก็มีพิรุธ ยิ่งช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนผมกลับบ้านยิ่งเอาใจผิดปกติ เหมือนพยายามทำดีเพื่อชดเชยอะไรสักอย่าง ซึ่งดูยังไงก็ไม่เนียน
วันที่ 26 พ.ค. เป็นวันที่ผมต้องย้ายของออกจากหอ วันนี้ตอนกลางวันเขาไปดูงานที่โรงเรียนแล้วตอนเย็นจึงแวะมาช่วยเก็บของ ส่วนพ่อแม่ของผมจะมารับตอนค่ำ ๆ เหตุการณ์คือช่วงที่เขาเข้ามาช่วยเก็บของ มาถึงก็รีบเก็บของอย่างเร็ว ท่าทางเหมือนจะรีบไปไหนต่อ ตอนนั้นผมคิดไปเองว่าเขาอาจจะยังไม่พร้อมเจอพ่อแม่เรามั้ง(พ่อแม่ก็ยังไม่รู้ว่าผมมีแฟน) แต่ด้วยสถานการณ์บังคับสุดท้ายเขาก็อยู่จนพ่อแม่ผมมารับ ซึ่งก็อยู่ไม่นาน พ่อแม่ยังไม่ทันได้พูดคุยอะไรด้วยเขาก็รีบลาแล้วเผ่นออกไปเลย
พอกลับมาอยู่บ้าน เวลาที่ผมรู้สึกเคว้งก็จะเพ้อลงโซเชียลประปราย สิ่งที่สังเกตได้ในตอนนี้คือเขาไม่มีการมา like หรือ comment กันเลย นาน ๆ ทีถึงจะทักมา และจากการคุยของเขาผมก็รู้สึกได้ว่าเขาไม่ได้อยากคุยอะไร แค่ทักพอเป็นพิธีเท่านั้น
วันที่ 4 มิ.ย. ผมไปหาเขาที่กทม.และค้างหนึ่งคืน เพราะในวันรุ่งขึ้นจะไปหาหมอที่ศูนย์การแพทย์มศว องครักษ์ ซึ่งการหาหมอครั้งนี้นอกจากจะไปเพื่อติดตามอาการซึมเศร้าแล้ว ผมตั้งใจจะไปเพื่อปรึกษานักจิตวิทยาเรื่องปัญหาต่าง ๆ ที่มันส่งผลกระทบกับความสัมพันธ์(ผมเชื่อว่าปัญหาเกิดจากตัวผมที่จัดการกับความรู้สึกแย่ ๆ ได้ไม่ดีเอง) การพบนักจิตวิทยาทำให้รู้สึกโอเคในระดับหนึ่ง อย่างน้อยก็เข้าใจตนเองและจัดการกับความรู้สึกได้ดีขึ้น ถึงจะยังมีปมบางอย่างที่ยังไม่คลาย แต่ผมดีใจและโล่งใจมากที่เขาจะได้ไม่ต้องหนักใจเพราะผมอีก ผมรีบเดินทางกลับเพื่อไปเล่าให้เขาฟัง หวังว่าอะไรคงดีกว่าเดิม..
เมื่อมาถึงที่นัดหมายในช่วงเย็น เห็นเขานั่งรออยู่ก็เข้าไปหาและเริ่มบทสนทนา เริ่มเล่าปัญหาต่าง ๆ ให้เขาฟังเพื่อหาทางออกร่วมกัน ในช่วงแรกเขาก็แสดงท่าทีเหมือนรับรู้ แต่คุยไปคุยมากลายเป็นว่าปัญหานี้หาทางออกไม่ได้ ทั้งที่เราก็แก้มันได้เห็น ๆ และตัวของปัญหาเองก็ไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น ผมพยายามพูดอธิบายซ้ำแล้วซ้ำอีกแต่พูดเท่าไหร่เขาก็ไม่ยอมให้ผมหาทางลง เหมือนหนักแน่นในความคิดบางอย่าง และในที่สุดก็ได้รู้ว่าเขาคิดอะไร..
“เรากลับมาเป็นคนคุยกันก่อนไหม เราไม่แน่ใจว่าก็อตคือคนที่ใช่จริง ๆ หรือเปล่า ถ้าเราใช่สำหรับกันและกันจริง ๆ เราค่อยมาคบกันใหม่ก็ได้ ก็อตยังมาหาเราที่หอได้เหมือนเดิมนะ” นี่มันไม่ต่างอะไรกับการบอกเลิก.. คืนนั้นผมใจสลาย สภาพแย่มากจนตัดสินใจไม่กลับบ้าน ยอมนอนที่มหาวิทยาลัยคนเดียว โดนยุงกัดจนลายไปทั้งตัว
เวลาผ่านมาหลายวันแต่ผมยังคงสับสน กินไม่ได้นอนไม่หลับ ทุกสิ่งทุกอย่างคลุมเครือมาก ทำไมอยู่ ๆ เขาถึงเลือกแบบนั้น ในเมื่ออาทิตย์ก่อนเขายังบอกว่ารักมาก มีความสุขมาก ยังบอกคิดถึงกันอยู่เลย ยิ่งก่อนหน้านั้นเคยบอกว่า “คงเสียใจถ้าก็อตต้องกลับไปอยู่บ้าน” แล้วภายในเวลาไม่กี่วัน ผมมันแย่ขนาดที่เขาต้องเปลี่ยนใจเลยเหรอ..
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา เนื่องจากผมยังมีนัดหมออยู่ ผมจึงไปค้างที่หอเขาคืนหนึ่งเพื่อที่จะเดินทางได้สะดวก ในคืนนั้นจู่ ๆ เขาก็บอกกับผมว่า “เราเป็นเพื่อนกันอะดีแล้ว เรารักก็อตแบบเพื่อนนะ” ผมนึกในใจว่ามันใช่เหรอ นี่เพิ่งผ่านมาอาทิตย์เดียว ตัดสินใจง่ายเกินไปไหม แล้วอะไรคือรักแบบเพื่อน ผมพยายามคุยกับเขาด้วยเหตุผล ซึ่งเขาก็บ่ายเบี่ยงไปเรื่อยและไม่มีท่าทีจะเปลี่ยนใจ ด้วยความที่เครียดมากและสับสนกับทุกสิ่งทุกอย่าง พยายามถามแล้วแต่ไม่ได้อะไรเลย คืนนั้นผมตัดสินใจเด็ดขาด! แอบเปิดโทรศัพท์ เปิด chat ของเขาดู และสิ่งที่พบคือ..
1. chat กับพี่คนหนึ่ง ดูจากการคุยก็รู้เลยว่าคือ"แฟนเก่า" เรื่องที่พูดคุยมีทั้งการเอาปัญหาของผมไประบาย พูดถึงผมเสีย ๆ หาย ๆ (ทั้งที่ตอนอยู่กับผมพูดดีมาก เวลาถามถึงปัญหามักจะบอกว่าไม่เป็นไร) มีทั้งการให้คำมั่นสัญญา "ไม่ว่าเขาจะคบกับใคร พี่ก็จะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน" ซาบซึ้งเหลือเกิน.. ที่ร้ายที่สุดคือการแอบนัดกัน เขาเคยไปเที่ยวภูเก็ตครั้งหนึ่งโดยบอกผมว่าไปกับพี่ สรุปไม่ใช่พี่น้องที่บ้านแต่เป็นพี่ที่เป็นแฟนเก่า! และตลอดเวลาที่ผ่านมา เหตุผลที่เขาดูรีบร้อนเพราะเขามีนัดกับพี่คนนี้!
2. ครูอีกคนที่ฝึกสอนโรงเรียนเดียวกัน หยอดกันหวานฉ่ำทั้งที่ครูคนนี้ก็มีแฟนแล้ว มีการทักไปหาเขาว่า "ว่างยัง แฟนไปยัง" และที่ยิ่งร้ายคือตลอดเวลาที่เขากลับจากโรงเรียนช้าก็ไม่ใช่เพราะงาน แต่เพราะอยู่กับครูคนนี้! (เคยออกปากว่าตัวเองงานเยอะ จะเอาเวลาที่ไหนไปนอกใจ)
3. น้องคนหนึ่ง คุยแบบคนจีบกันอีกนั่นแหละ แต่น้องไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่อะไร
4. แฟนเก่าอีกคนนึง อันนี้คุยกันประสาคนรักเก่า ไม่มีอะไรพิเศษแต่ก็ทำให้ได้รู้ "จำนวนแฟนเก่า" เพิ่มขึ้นอีกคน จำได้ว่าเขาเคยพูดถึงแฟนเก่าที่เป็นหมอ พอมาดูแล้วก็ไม่ใช่พี่คนนี้ และไม่ใช่คนในข้อ 1. ด้วย สรุปคือนับแฟนเก่าได้อย่างน้อยสามคนแล้ว นี่ยังไม่รวมผมนะ
5. chat กับกลุ่มเพื่อน มีพูดถึงผมด้วย ซึ่งจากบริบทแล้วไม่ได้ present เราในฐานะแฟนเลย ผมอ่านแล้วรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นอาหารจานหนึ่ง แล้วยังมีพูดถึงนักเรียนที่ไปสอนอีกนิดหน่อย นักเรียนชายกรุบ ๆ จ้า
นี่คือเท่าที่มีเวลาขุดคุ้ย ไม่รู้ว่ายังมีใน chat หรือนอก chat อีกไหม แต่ที่แน่ ๆ ดูจากเวลาและวันที่ ความสัมพันธ์เหล่านี้ไม่ใช่เพิ่งเริ่ม
หลังจากได้เห็นข้อความพวกนี้คือผมช็อกไปเลย เรียบเรียงเรื่องราวไม่ถูกว่ามันเกิดอะไรขึ้น คนพวกนี้คือใครจากไหน แล้วจริง ๆ เขาเห็นเราเป็นอะไร ผมข่มตาไม่ลงจนถึงเช้าและไปหาหมอในสภาพที่ไม่ได้นอน หมอซักถามอะไรก็ตอบไม่ได้เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองกำลังเจออะไรอยู่ กลับบ้านมาก็ต้องทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และพยายามพูดคุยกับเขาให้เป็นปกติ เป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายมาก ทุกอย่างที่ผมทำมีแค่การยื้อเขาไว้ โทษตัวเอง ไม่มีการโกรธเกลียดใครเลย ทั้งตัวเขาและคนเหล่านั้น
อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมา ผมยังต้องไปหาหมออีกครั้ง เพราะเมื่อคราวก่อนเอกสารที่จะเบิกค่ายายังไม่อนุมัติจึงต้องกลับไปรับ ผมก็เลยมาค้างกับเขาอีกคืน ตอนนั้นผมเชื่อว่าเป็นเพราะเราไม่ดีเองเขาถึงไปคุยกับคนอื่น ถึงได้กล่าวถึงผมแย่ ๆ ถ้าแก้ไขได้ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น ผมจึงพยายามเล่น พยายามคุย ทำตัวให้ดีกว่าเดิม แต่คราวนี้เขายิ่งมีปฏิสัมพันธ์น้อยลงจนน่าอึดอัด
จะทยอยมาต่อครับ