คิดว่าช่วงนี้เป็นช่วงที่แย่สำหรับใครหลายๆคนเลยค่ะ
จริงๆก็มาระบายเป็นส่วนใหญ่เพราะไม่รู้จะพูดกับใครดี ระบายกับใครก็ไม่ได้ กลัวเขาสมน้ำหน้าใส่ หรือเอาเรื่องเราไปพูด
เป็นแม่ค้าขายอาหารญี่ปุ่นโฮมเมดค่ะ แฟนเป็นคนญี่ปุ่น เก่งเรื่องทำอาหารโฮมเมด แกงกระหรี่ ข้าวหน้าหมูทอด แล้วอืนๆอีกที่เป็นอาหารที่ครอบครัวชอบทำทานกัน ส่วนเราเก่งเรื่องทำขนมค่ะ โดยเฉพาะพุดดิ้งขายดีมากๆเลยค่ะ จริงๆเราทำร้านอาหารกันมาเเล้ว 2 ปีแล้วร้านไปได้ดีมากๆเลยค่ะดีมากขึ้นเรื่อยๆ เเต่ว่ามีปัญหากับเจ้าของตึกเก่า เลยจำใจต้องย้ายที่มาใหม่เป็นย่านมหาลัยห่างจากที่เดิมมากๆเลย แต่เคราะห์ร้ายด้วยสถานการณ์โควิดแบบนี้ เปิดร้านวันแรกมหาลัยถูกสั่งปิดเลยค่ะ เส้า จนตอนนี้เปิดร้านมาได้ 2 อาทิตย์แล้วก็แย่มากค่ะ มหาลัยปิด คนอยู่บ้านกัน ค่าเช่าเท่าเดิมกลุ้มใจมากค่ะ พยายามคิดว่าเออมันคือร้านเปิดใหม่เลยไม่มีลูกค้าเเต่ก็รู้สึกแย่ที่ตัวเองทำอะไรได้ไม่มีประสิทธิภาพมากพอ ลูกค้าก็มีมาบ้างนะคะอาทิตย์แรกๆ มาเเล้วก็มาซ้ำอีกค่ะ เเต่อาทิตย์นี้ไม่มีใครเลย 0 คนทั้งอาทิตย์ เท่าที่ทราบว่าลูกค้าที่เคยมาทานก็กลับบ้านกันหมดเเล้ว จริงๆก็มั่นใจในคุณภาพ รสชาติอาหาร ปริมาณ และราคาสมเหตุสมผลนะคะ เลยแอบคิดว่า ร้านอาหารญี่ปุ่นของเราอาจจะไม่ตอบโจทย์คนในพื้นที่นี้กันนะ (ร้านเก่าอยู่มหาลัยเอกชนค่ะ ร้านใหม่นี่อยู่มหาลัยรัฐ) ทั้งเรื่องของราคาจะแพงไปหรือเปล่านะ หรือรสชาติไม่ถูกปาก มันคิดเยอะไปหมดเลยค่ะ เเค่ให้คิดล่วงหน้าว่าจะเอาไงต่อถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ ยังคิดไม่ออกเลยค่ะ อยากร้องไห้ ไม่เห็นอนาคตเลยค่ะ มันมืดมนไปหมด มันตันไปหมดเลยด้วยค่ะ น่าเศร้าใจ มันไม่มีความมั่นใจเหมือนตอนที่เปิดร้านครั้งแรกเลยค่ะ มันเหมือนมีความรู้สึกผิดพลาดอยู่เต็มไปหมด เหมือนโทษตัวเองว่าเท่าที่ผ่านมาไม่ทำให้เราพัฒนาอะไรเลยหรอ ใช้เวลาตั้งหลายเดือนกว่าจะหาร้านได้ คิดเเล้วคิดอีก คิดว่าทำเลดี สุดท้ายพอเซ็นสัญญาเรียบร้อยมาตกม้าตายที่คู่เเข่งที่มองข้าม คือ ตลาดนัดที่อยู่ข้างๆ แถวนี้ไม่มีร้านอาหารญี่ปุ่นก็จริง แต่คู่แข่งเราคือโรงอาหารขนาดใหญ่ อาหารหลากหลาย และราคาถูกกว่ามากๆ จะดึงลูกค้าจากตรงนี้มายังไง นี่โจทย์หินสุดมากๆเเล้วค่ะ คิดไม่ตก คิดทุกวัน วิเคราะห์ลูกค้าที่เดินไปมาทุกวัน ขนาดมีโรคระบาด ตลาดนัดที่นี่คนยังเดินเต็มเดินเบียดทุกวัน เพราะฉะนั้นที่ไม่มีลูกค้าที่ร้านไม่สามารถโทษเศรศฐกิจหรือโรคระบาดได้เต็มปาก มันเป็นเพราะเราเองล้วนๆเลยค่ะ ทำไงให้ดึงดูดลูกค้าจากตรงนี้ รู้สึกผิดพลาดอย่างแรงมากๆเลยค่ะ ต่อให้มีอาหารญี่ปุ่น 10ร้าน เรียงต่อข้างๆกันตรงนี้ยังไม่รู้สึกกังวลเท่า ตลาดนัด ตรงนี้เลยค่ะ
เดลิเวอรี่
- เปอร์เซ็นที่เขาหักเยอะมากๆเลยค่ะ 42เปอร์เซ็นเท่ากับเราไม่ได้อะไรเลยค่ะ ร้านอาหารเรากำไรเดิมก็แทบไม่มีอยู่แล้ว เพราะขายถูกมาก 59/69/79/89 ประมาณนี้ค่ะ เลยไม่ยอมที่จะมี แต่มันคงเป็นทางที่ดีที่สุดช่วงนี้จริงๆนั่นแหละค่ะ เเต่ต้องแลกกับการที่กำไรหดกว่าเดิมหรือสิ่งที่เราได้มาอาจจะเท่าหรือขาดทุนไปเลย ทางแก้ก็มีค่ะ เช่นหาเมนูใหม่สำหรับเดลิเวอรี่อย่างเดียวไปเลย แต่คิดมากค่ะ ช่วงนี้ลูกค้าไม่อยากใช้เงินเยอะ อาหารราคาแพงไม่น่าจะตอบโจทย์ลูกค้า อีกอย่างสั่งอาหารตามสั่งมาน่าจะยังดีซะกว่าอีก เลยตีกันที่หัวอยู่ตลอดว่าจะเอาไงดี
มีประสบการณ์มากมายมา 2 ปีเเล้วเเต่ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่พัฒนาจากแต่ก่อนเท่าไหร่ ยังไม่กล้าที่คิดลองอะไรใหม่ๆสักอย่าง โกรธที่ตัวเองเป็นแบบนี้ค่ะ รู้สึกแย่อะค่ะ มันคิดลบตลอดเวลา ถ้าคนเก่งคงได้มีไอเดียใหม่ๆเพื่อจะสู้กับวิกฤตแบบนี้ แต่ตอนนี้จขกท.มึนตึ้บ คิดไม่ออก ลน ไม่รู้จะทำยังไง อยากเป็นคนเก่งมากกว่านี้จริงๆค่ะ
ขอบคุณที่ให้ระบายนะคะ จริงๆมันมีกว่านี้มากกว่าใส่ตู้มเดียว ทุกคนอาจจะรู้สึกไม่สนุกที่อ่านเรื่องเเบบนี้เลย เงินเก็บพอมีอยู่นะคะ เเต่เป็นเงินเก็บสำหรับเเต่งงาน แต่คาดว่าคงต้องเลื่อนไปอีก 2-3 ปี เพราะต้องเอามาใช้สำรองจ่ายค่าเช่าตรงนี้แล้วล่ะค่ะ เนี่ยคิดเเล้วก็เศร้า ที่ทำร้านอาหารไม่ได้หวังจะรวยล้นฟ้ามีลูกน้องหรอกค่ะ ไม่ว่าจะรวยยังไงก็ยังอยากที่จะทำกันสองคน เป็นร้านเล็กๆอยู่ดี เพราะใจรักการทำอาหารจริงๆถึงรู้สึกสนุกกับการได้คุยกับลูกค้าหรือคิดเมนูใหม่ๆทุกวัน
มันเป็นหัวข้อที่เป็นคำถามสินะคะ คงต้องถามใช่มั้ยคะ
งั้นสำหรับผู้บริโภคเเล้วอะไรที่ทำให้ตัดสินใจเข้าไปในร้านเปิดใหม่ครั้งแรกคะ
1.ปากต่อปากเพื่อนบอกมาว่าร้านนี้อร่อย
2.หน้าร้านสะดุดตามาก
3.ลูกค้าเต็มร้านเเสดงว่าร้านนี้อร่อยแน่ๆ
4.อยากกินพอดี
5.ชอบลองของใหม่
6.ราคาไม่แพงน่าลอง
7.ร้านติดแอร์
8.ไม่มีอะไรกินงั้นเอาร้านนี้ล่ะกัน
ฝากด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ อยากอ่านความเห็นและข้อเสนอเยอะๆ อยากเรียนร็มากกว่านี้อีกมากๆเลยค่ะ
ร้านอาหารขอพื้นที่ระบายกับคำถามที่ว่าอะไรคือสิ่งที่คุณตัดสินใจเข้าร้านอาหารที่เปิดใหม่ครั้งแรก
เป็นแม่ค้าขายอาหารญี่ปุ่นโฮมเมดค่ะ แฟนเป็นคนญี่ปุ่น เก่งเรื่องทำอาหารโฮมเมด แกงกระหรี่ ข้าวหน้าหมูทอด แล้วอืนๆอีกที่เป็นอาหารที่ครอบครัวชอบทำทานกัน ส่วนเราเก่งเรื่องทำขนมค่ะ โดยเฉพาะพุดดิ้งขายดีมากๆเลยค่ะ จริงๆเราทำร้านอาหารกันมาเเล้ว 2 ปีแล้วร้านไปได้ดีมากๆเลยค่ะดีมากขึ้นเรื่อยๆ เเต่ว่ามีปัญหากับเจ้าของตึกเก่า เลยจำใจต้องย้ายที่มาใหม่เป็นย่านมหาลัยห่างจากที่เดิมมากๆเลย แต่เคราะห์ร้ายด้วยสถานการณ์โควิดแบบนี้ เปิดร้านวันแรกมหาลัยถูกสั่งปิดเลยค่ะ เส้า จนตอนนี้เปิดร้านมาได้ 2 อาทิตย์แล้วก็แย่มากค่ะ มหาลัยปิด คนอยู่บ้านกัน ค่าเช่าเท่าเดิมกลุ้มใจมากค่ะ พยายามคิดว่าเออมันคือร้านเปิดใหม่เลยไม่มีลูกค้าเเต่ก็รู้สึกแย่ที่ตัวเองทำอะไรได้ไม่มีประสิทธิภาพมากพอ ลูกค้าก็มีมาบ้างนะคะอาทิตย์แรกๆ มาเเล้วก็มาซ้ำอีกค่ะ เเต่อาทิตย์นี้ไม่มีใครเลย 0 คนทั้งอาทิตย์ เท่าที่ทราบว่าลูกค้าที่เคยมาทานก็กลับบ้านกันหมดเเล้ว จริงๆก็มั่นใจในคุณภาพ รสชาติอาหาร ปริมาณ และราคาสมเหตุสมผลนะคะ เลยแอบคิดว่า ร้านอาหารญี่ปุ่นของเราอาจจะไม่ตอบโจทย์คนในพื้นที่นี้กันนะ (ร้านเก่าอยู่มหาลัยเอกชนค่ะ ร้านใหม่นี่อยู่มหาลัยรัฐ) ทั้งเรื่องของราคาจะแพงไปหรือเปล่านะ หรือรสชาติไม่ถูกปาก มันคิดเยอะไปหมดเลยค่ะ เเค่ให้คิดล่วงหน้าว่าจะเอาไงต่อถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ ยังคิดไม่ออกเลยค่ะ อยากร้องไห้ ไม่เห็นอนาคตเลยค่ะ มันมืดมนไปหมด มันตันไปหมดเลยด้วยค่ะ น่าเศร้าใจ มันไม่มีความมั่นใจเหมือนตอนที่เปิดร้านครั้งแรกเลยค่ะ มันเหมือนมีความรู้สึกผิดพลาดอยู่เต็มไปหมด เหมือนโทษตัวเองว่าเท่าที่ผ่านมาไม่ทำให้เราพัฒนาอะไรเลยหรอ ใช้เวลาตั้งหลายเดือนกว่าจะหาร้านได้ คิดเเล้วคิดอีก คิดว่าทำเลดี สุดท้ายพอเซ็นสัญญาเรียบร้อยมาตกม้าตายที่คู่เเข่งที่มองข้าม คือ ตลาดนัดที่อยู่ข้างๆ แถวนี้ไม่มีร้านอาหารญี่ปุ่นก็จริง แต่คู่แข่งเราคือโรงอาหารขนาดใหญ่ อาหารหลากหลาย และราคาถูกกว่ามากๆ จะดึงลูกค้าจากตรงนี้มายังไง นี่โจทย์หินสุดมากๆเเล้วค่ะ คิดไม่ตก คิดทุกวัน วิเคราะห์ลูกค้าที่เดินไปมาทุกวัน ขนาดมีโรคระบาด ตลาดนัดที่นี่คนยังเดินเต็มเดินเบียดทุกวัน เพราะฉะนั้นที่ไม่มีลูกค้าที่ร้านไม่สามารถโทษเศรศฐกิจหรือโรคระบาดได้เต็มปาก มันเป็นเพราะเราเองล้วนๆเลยค่ะ ทำไงให้ดึงดูดลูกค้าจากตรงนี้ รู้สึกผิดพลาดอย่างแรงมากๆเลยค่ะ ต่อให้มีอาหารญี่ปุ่น 10ร้าน เรียงต่อข้างๆกันตรงนี้ยังไม่รู้สึกกังวลเท่า ตลาดนัด ตรงนี้เลยค่ะ
เดลิเวอรี่
- เปอร์เซ็นที่เขาหักเยอะมากๆเลยค่ะ 42เปอร์เซ็นเท่ากับเราไม่ได้อะไรเลยค่ะ ร้านอาหารเรากำไรเดิมก็แทบไม่มีอยู่แล้ว เพราะขายถูกมาก 59/69/79/89 ประมาณนี้ค่ะ เลยไม่ยอมที่จะมี แต่มันคงเป็นทางที่ดีที่สุดช่วงนี้จริงๆนั่นแหละค่ะ เเต่ต้องแลกกับการที่กำไรหดกว่าเดิมหรือสิ่งที่เราได้มาอาจจะเท่าหรือขาดทุนไปเลย ทางแก้ก็มีค่ะ เช่นหาเมนูใหม่สำหรับเดลิเวอรี่อย่างเดียวไปเลย แต่คิดมากค่ะ ช่วงนี้ลูกค้าไม่อยากใช้เงินเยอะ อาหารราคาแพงไม่น่าจะตอบโจทย์ลูกค้า อีกอย่างสั่งอาหารตามสั่งมาน่าจะยังดีซะกว่าอีก เลยตีกันที่หัวอยู่ตลอดว่าจะเอาไงดี
มีประสบการณ์มากมายมา 2 ปีเเล้วเเต่ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่พัฒนาจากแต่ก่อนเท่าไหร่ ยังไม่กล้าที่คิดลองอะไรใหม่ๆสักอย่าง โกรธที่ตัวเองเป็นแบบนี้ค่ะ รู้สึกแย่อะค่ะ มันคิดลบตลอดเวลา ถ้าคนเก่งคงได้มีไอเดียใหม่ๆเพื่อจะสู้กับวิกฤตแบบนี้ แต่ตอนนี้จขกท.มึนตึ้บ คิดไม่ออก ลน ไม่รู้จะทำยังไง อยากเป็นคนเก่งมากกว่านี้จริงๆค่ะ
ขอบคุณที่ให้ระบายนะคะ จริงๆมันมีกว่านี้มากกว่าใส่ตู้มเดียว ทุกคนอาจจะรู้สึกไม่สนุกที่อ่านเรื่องเเบบนี้เลย เงินเก็บพอมีอยู่นะคะ เเต่เป็นเงินเก็บสำหรับเเต่งงาน แต่คาดว่าคงต้องเลื่อนไปอีก 2-3 ปี เพราะต้องเอามาใช้สำรองจ่ายค่าเช่าตรงนี้แล้วล่ะค่ะ เนี่ยคิดเเล้วก็เศร้า ที่ทำร้านอาหารไม่ได้หวังจะรวยล้นฟ้ามีลูกน้องหรอกค่ะ ไม่ว่าจะรวยยังไงก็ยังอยากที่จะทำกันสองคน เป็นร้านเล็กๆอยู่ดี เพราะใจรักการทำอาหารจริงๆถึงรู้สึกสนุกกับการได้คุยกับลูกค้าหรือคิดเมนูใหม่ๆทุกวัน
มันเป็นหัวข้อที่เป็นคำถามสินะคะ คงต้องถามใช่มั้ยคะ งั้นสำหรับผู้บริโภคเเล้วอะไรที่ทำให้ตัดสินใจเข้าไปในร้านเปิดใหม่ครั้งแรกคะ
1.ปากต่อปากเพื่อนบอกมาว่าร้านนี้อร่อย
2.หน้าร้านสะดุดตามาก
3.ลูกค้าเต็มร้านเเสดงว่าร้านนี้อร่อยแน่ๆ
4.อยากกินพอดี
5.ชอบลองของใหม่
6.ราคาไม่แพงน่าลอง
7.ร้านติดแอร์
8.ไม่มีอะไรกินงั้นเอาร้านนี้ล่ะกัน
ฝากด้วยนะคะ ขอบคุณค่ะ อยากอ่านความเห็นและข้อเสนอเยอะๆ อยากเรียนร็มากกว่านี้อีกมากๆเลยค่ะ