วันนี้ลองมานึกทบทวนดูย้อนกลับไปวันที่12 ม.ค. ก็ต้องรู้สึกขอบคุณที่เกิดเป็นคนไทยอยู่ที่ประเทศไทย เพราะเมื่อ2วันก่อนนั้น(10/1)ประเทศจีนเพิ่งประกาศว่ามีโรคติดเชื้อไวรัสตัวใหม่ระบาดในประเทศที่เมืองอู่ฮั่น ผ่านไปได้แค่2วันประเทศเราก็ประกาศว่าพบผู้ติดเชื้อเป็นประเทศที่2ต่อจากจีน จากนั้นก็มีประเทศที่3,4,... เราอยู่ลำดับสองได้ไม่นานหลังจากนั้นก็มีประเทศต่างๆ ขึ้นมาแทน จนเราตกอันดับลงไปเรื่อย ระหว่างนั้นแต่ละประเทศก็ออกมาตรการต่างๆ บ้างก็เริ่มจำกัดไม่รับคนที่เดินทางจากประเทศที่มียอดผู้ติดเชื้อในลำดับแรกๆ ต่อมาก็มากขึ้นจนบางประเทศประกาศ lock down, shutdown ทั้งประเทศหรือบางเมือง อิตาลีเป็นชาติแรก ต่อมาก็มีประเทศที่เริ่มทำตาม ในประเทศเราก็มีเสียงเรียกร้องตั้งแต่แรกๆ เรื่องงดรับคนที่เดินทางมาจากต่างประเทศโดยเฉพาะจีน ต่อมาก็เรียกร้องมาตรการที่เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จนถึงล่าสุดคือshutdown ที่จริงตั้งแต่แรกๆที่ทางการเราก็ดำเนินมาตรการตรวจ,คัดกรอง และรณรงค์การดูแลสุขอนามัย การป้องกันตัวเองและอันสำคัญ social distance แต่ผู้คนในสังคมก็ยังมีความวิตกกังวล หวาดกลัว ไม่ผ่อนคลาย จนดูเหมือนว่า ความเสียหายจาก covid19 ต่อด้านจิตใจของผู้คน ต่อสังคม ต่อเศรษฐกิจโดยรวม ล้ำหน้าไปไกลกว่า,มากกว่าผลต่อการเจ็บป่วย เสียชิวิตของผู้คน ถ้าเราจะมาลองดูตัวเลขที่ได้จากการรวบรวมข้อมูล ตลอด 2เดือน 20วัน ตัวเลขที่เห็น จำนวนรวมผู้ติดเชื้อ จำนวนที่เพิ่มในแต่ละวัน จำนวนผู้เสียชีวิต (ถ้าดูให้ละเอียดต้อง ดูเทียบกับสัดส่วนจำนวนประชากร) เราก็อาจจะต้องปรับทัศนะ ความรู้สึกกันใหม่ ที่สำคัญควรจะรู้สึกชื่นชมกับ คณะทำงานในด้านต่างๆ ของประเทศที่เหน็ดเหนื่อยกันมามาก อย่างน้อยก็ไม่ควรบ่น ว่า ตำหนิ และควรจะต้องรู้สึกยินดีที่ ตอนนี้เราเป็นคนไทย อยู่ในประเทศไทยที่ มีอาหารอุดมสมบูรณ์ มีภูมิอากาศที่ดี ร้อน แสงแดดมาก(เชื้อทนไม่ไหว) และมีการดูแลรักษาทางการแพทย์ที่น่าจะพอเพียงและทั่วถึง
ลองดูข้อมูลตัวเลขที่มีจนถึงขณะนี้
ขอบคุณที่เราเกิดมาเป็นคนไทย ขอบคุณคณะทำงานส่วนต่างๆที่ต่อสู้กับ Covid19
ลองดูข้อมูลตัวเลขที่มีจนถึงขณะนี้