“ถนนสายต้นสนโบราณ”
เกาะนามิถูกตั้งขึ้นตามชื่อของนายพลนามิ ทีรับราชกาชตั้งแต่อายุ 17 ปี และถูกประหารเพราะมีความก้าวหน้าในหน้าที่การทำงานมากเกินไป ซึ่งเป็นนายทหารที่มีชื่อเสียงมากในสมัยราชวงศ์โชซอน
เป็นเกาะเล็กๆ อยู่ห่างจากกรุงโซลไปเพียง 63 กม. มีชื่อเสียงในด้านทัศนียภาพที่สวยงามทางธรรมชาติและมีบรรยากาศที่โรแมนติก แต่ที่ทำให้ได้รับความนิยมมากๆ คงเป็นเพราะกระแสความโด่งดังจากซีรี่ย์เกาหลีเมื่อหลายปีก่อนอย่าง Winter Sonata (เพลงรักในสายลมหนาว)
บนเกาะมีถนนสายต้นสนโบราณ (Metasequoia Lane) เป็นทิวสนที่เรียงตัวเป็นแนวยาวสง่างามสวยทุกฤดูถือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเกาะนามิ ต้นไม้ชนิดนี้เป็นไม้ผลัดใบในตระกูลต้นสนโบราณที่ยังไม่สูญพันธุ์ จึงถูกขนามนามว่าเป็นฟอสซิลที่ยังมีชีวิตอยู่
Cr.
http://fanggies.blogspot.com/2017/06/nami-island-namiseom-naminara-republic.html
อุโมงค์ต้นสนแดง
เส้นทางเมตาเซโคเอีย Metasequoia-lined Road (담양 메타세쿼이아길) หรือแนวต้นสนแดงที่ปลูกยาวตลอดแนวถนนปลูกตั้งแต่ปี 1970 จนถึงปัจจุบันต้นเมตาเซโคเอียมีขนาดใหญ่ และพอฤดูใบไม้ผลิใบจะเปลี่ยนเป็นสีส้ม เป็นอุโมงค์ต้นไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามมาก ซึ่งในปี 2002 ได้รับรางวัลจาก Korea Forest Service ยกให้เป็นเส้นทางที่สวยงามที่สุดของเกาหลี มีความยาวประมาณ 4 กิโลเมตร
นอกจากเส้นทางเดินชมอุโมงค์ต้นไม้แล้ว ยังมีเส้นทางขับรถชมวิวซึ่งเป็นเส้นทางยอดนิยมของเกาหลีโดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีและฤดูร้อน ซึ่งในระหว่างขับรถผ่านเส้นทางนี้สามารถจอดรถที่ไหล่ทางและลงไปเดินชมความงามของอุโมงค์ต้นเมตาเซโคเอียได้ หรือถ้าใครชอบปั่นจักรยานก็เป็นอีกเส้นทางที่แนะนำ จะได้ชมธรรมชาติสองข้างทางพร้อมวิวสวยๆ
Cr.
https://www.chilloutkorea.com/metasequoia-lined-road/ By lemonlinn
Rua Goncalo de Carvalho ถนนที่มีต้นไม้เป็นหลังคา
Rua Gonçalo de Carvalho ถนนที่มีหลังคาเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่สายนี้ตั้งอยู่ที่เมืองโปร์ตูอาเลกรี เมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐรีโอกรันดีโดซูล ประเทศบราซิล ถนนสายนี้มีความยาว 500 เมตร ตลอดสองข้างทางปกคลุมไปด้วยต้น Rosewood กว่า 100 ต้น ซึ่งต้นไม้นี้เป็นตระกูลเดียวกับไม้พยุงชิงชัน และไม้ประดู่ในบ้านเรา
ต้น Rosewood ที่ Rua Goncalo de Carvalho แห่งนี้ ถูกปลูกโดยคนงานโรงเบียร์ชาวเยอรมันในปี 1930 และถนนเส้นนี้ยังได้ถูกประกาศให้เป็นมรดกทางสภาพแวดล้อมของลาตินอเมริกาอีกด้วย
ในปี 2005 นักธุรกิจมีแนวคิดที่จะโค่นต้นไม้เหล่านี้เพื่อสร้างเป็นแหล่งชอปปิ้ง แต่ก็ได้รับการต่อต้านจนต้องยกเลิกไป ตอนนี้ถูกจัดให้เป็นถนนที่สวยอันดับต้นๆ ของโลก ถนนสายต้นไม้นี้ ถือเป็นหน้าเป็นตาให้เมือง Porto Alegre ทั้งยังสะท้อนการสร้างภูมิทัศน์ในการจัดพื้นที่สาธารณะให้สวยงามด้วยธรรมชาติได้เป็นอย่างดี
โปร์ตูอาเลกรี ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1769 โดยมานูเอล เซปุลเวดา เมืองมีประชากร 1,509,939 คน (ค.ศ. 2010) เป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับ 10 ของประเทศ เป็นเมืองหลวงของรัฐที่อยู่ใต้สุดของประเทศ เป็นหนึ่งในศูนย์กลางวัฒนธรรม การเมือง และเศรษฐกิจของบราซิล
ที่มา: amusingplanet.com
Cr.
http://www.nextsteptv.com/rua-goncalo-de-carvalho-%E0%B8%96%E0%B8%99%E0%B8%99/
Cr.
https://www.iurban.in.th/greenery/rua-de-carvalho-goncal/
ถนนตัดผ่านต้นไม้สุดมหัศจรรย์แห่งป่าเรดวู้ด
ทางตอนเหนือของแคลิฟอร์เนีย เต็มไปด้วยพืชตระกูลสนที่มีชื่อว่าเรดวู้ดมากมาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอายุนับพันปี และมีขนาดใหญ่มาก ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงคืออุทยานแห่งชาติป่าเรดวู้ดแคลิฟอร์เนีย (Redwood National and State Parks) และอุทยานแห่งชาติโยเซมิตี (Yosemite National Park) ที่นั่นมีจุดเด่นตรงที่มีต้นไม้ขนาดใหญ่และเก่าแก่มากมาย ซึ่งเป็นพันธุ์เรดวู้ดและซีคัวญ่า โดยต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ตั้งอยู่ในแคลิฟอร์เนีย
ต้นเรดวู้ดขนาดใหญ่ยักษ์มีความกว้างและหนามาก หลายๆต้นใหญ่จนต้องใช้สิบคนโอบ ในอุทยานบางแห่งมีต้นเรดวู้ดขนาดยักษ์ที่หมดอายุขัยแต่ยังยืนต้นเหลือแต่ตอ ทำให้ฝ่ายดูแลหัวใสต้องการปรับปรุงต้นไม้ใหม่ ด้วยการเจาะกลางเนื้อไม้ให้เป็นโพรงคล้ายอุโมงค์ ทำให้คนสามารถเดินผ่านได้
ต้นเรดวูดบางต้นอาจจะมีขนาดใหญ่มากและขวางทานเดิน พวกเขาก็จะเจาะต้นไม้ให้เป็นโพรงกว้างถึงขนาดที่ว่าให้รถยนต์ขับผ่านได้ ทำให้นักท่องเที่ยวตื่นเต้นมากและต้องการที่จะมาสัมผัสประสบการณ์ลอดใต้อุโมงค์ดังกล่าว ผู้ดูแลจึงได้เก็บค่าธรรมเนียมไปด้วย แต่ช่วงหลังที่มนุษย์เริ่มต้นการท่องเที่ยวแบบอนุรักษ์ก็เลิกที่จะเจาะโพรงไม้ เพราะการเจาะโพรงไม้จะทำให้ต้นไม้ล้มในเวลาต่อมา
ที่มา amusingplanet.com
ภาพ www.shorpy.com
Cr.
https://travel.thaiza.com/foreign/343949/
ถนนต้นสน Suginami ในนิกโกะ
ถนนที่มีต้นไม้ยืนเรียงรายทั้งสองฝั่งถนนที่ยาวที่สุดในโลกอยู่ในเมืองนิกโกะ ต้นสนญี่ปุ่นที่ในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า ซุกิ ยืนสูงถึง 35 เมตร รายล้อมถนนมีความยาว 35 กิโลเมตร ต้นสนเหล่านี้ปลูกเมื่อสี่ร้อยปีมาแล้ว เพื่อเพิ่มความสวยงามให้แก่เส้นทางที่ทอดยาวไปยังศาลเจ้าโทะโชะกุแห่งเมืองนิกโกะ
ในปี 1616 ศาลเจ้าโทะโชะกุแห่งเมืองนิกโกะได้ถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่ Tokugawa Ieyasu หลังจากที่ท่านเสียชีวิตลง หนึ่งในขุนนางของท่านได้เริ่มปลูกต้นสนบนถนนสายหลักสามสายของนิกโกะ ถนน Reiheishi-Kaido ถนน Nikkō-Kaido และถนน Aizu-Nishi-Kaido ทั้งสามสายมาบรรจบกันเป็นสายเดียวที่เมืองโพสทาวน์ อิไมชิ (Imaichi)
แต่เดิมนั้นโครงการปลูกต้นสนที่เริ่มขึ้นในประมาณปี 1625 มีประมาณ 200,000 ต้น และโครงการได้ขยายไปถึง 20 ปี ต้นสนต่างๆ ได้รับจากการบริจาคให้แก่ศาลเจ้าโทะโชะกุ เนื่องในโอกาสครบรอบ 33 ปีหลังจากการตายของท่าน Tokugawa Ieyasu ตลอดสมัยเอโดะ รัฐบาลโชกุนของตระกูล Tokugawa ได้จัดให้มีขบวนแห่อันยิ่งใหญ่ผ่านไปบนถนน Nikkō-Kaido
ในสมัยเอโดะต้นสนเหล่านี้ได้รับความคุ้มครองอย่างเคร่งครัด และถ้าหากต้องถอนหรือตัด เนื่องจากได้รับความเสียหายก็ต้องเฉพาะที่ได้รับการอนุญาติพิเศษจากฝ่ายปกครองเท่านั้น เมื่อตัดต้นสนไปแล้วก็จะปลูกต้นใหม่แทนที่เสมอ ผู้คนในหมู่บ้านที่อยู่ติดถนนจะเป็นผู้ดูแลถอนหญ้าและรดน้ำ แต่น่าเสียดาย เมื่อกาลเวลาผ่านไปจนถึงสมัยเมจิทุกสิ่งทุกอย่างได้เปลี่ยนแปลงไป ต้นไม้โบราณมากมายถูกโค่นทิ้งเพื่อสร้างถนน และยังมีแผนการที่จะโค่นเหล่าต้นสนใน Suginamiki เพื่อหารายได้มาฟื้นฟูประเทศ แต่โชคยังเข้าข้าง ที่แผนการนั้นได้ถูกยกเลิกไป และของขวัญของท่าน Matsudaira Masatsuna สำหรับอนาคตยังคงอยู่
ทุกวันนี้ต้นสนเหล่านี้ยังได้รับความคุ้มครองดูแลจากศาลเจ้าโทะโชะกุ ต้นสนแต่ละต้นได้รับการจดทะเบียนพร้อมตัวเลขกำกับ โดยเริ่มจากสถานีนิกโกะไปทางซ้ายและขวา
ต้นสนบางต้นมีเรื่องราวบอกเล่า เช่น ระหว่างอิชิริซุกะ (Ichirizuka) และนิกโกะ มีต้นสนที่อยู่ต้นหนึ่งที่มีลูกกระสุนปืนของสงคราม Boshin
อีกต้นหนึ่งมีชื่อเล่นว่าโรงแรมนะมิคิ เพราะใต้ต้นมีช่องโหว่ที่ใหญ่พอสำหรับจุผู้ใหญ่ได้ถึงสามคน
ยังมีเรื่องราวของต้นสนแปลกๆ ที่มีชื่อว่า ซากุระ สุกิ เป็นต้นสนที่ออกดอกเบ่งบาน แต่ไม่สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ บางทีอาจจะเป็นเพียงเรื่องเล่าในตำนานก็เป็นได้
Cr.
https://th.japantravel.com/โทชิงิ/ถนนต้นสน-suginami-ในนิกโกะ/32458 / by Suwannee Payne @suwannee.payne
ถนนสายต้นยางสารภี
ต้นยางสูงใหญ่ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์หนึ่งเดียวของชาวเชียงใหม่และอำเภอสารภี ยังคงทำให้ที่ในการให้ร่มเงามาตั้งแต่ครั้งโบราณเมื่อกว่าร้อยปี ซึ่งถือได้ว่าถนนสายนี้เป็นถนนสายอารยธรรมล้านนาที่มีชีวิตเป็นมรดกเก่าแก่ที่ทรงคุณค่าแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของคนเมืองเชียงใหม่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
จะมีใครสักกี่คนทราบถึงประวัติความเป็นมาของต้นยางที่ปลูกเรียงรายสองฟากถนนจากเชียงใหม่มุ่งหน้าสู่สารภีถนนสายประวัติศาสตร์ที่ว่ากันว่าเป็นถนนสายเดียวที่มีการปลูกต้นยางมากที่สุดในประเทศ ด้วยระยะทางประมาณ 10 กว่ากิโลเมตรจากเชียงใหม่ถึงอำเภอสารภีมีต้นยางขึ้นเรียงรายกว่าหนึ่งพันต้น ซึ่งต้นยางเหล่านี้ล้วนผ่านวันเวลาและเหตุการณ์ต่างๆ มามากมาย กระทั่งต้นยางได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของถนนสายนี้ไปแล้ว
ประวัติของการปลูกต้นยางบนถนนสายประวัติศาสตร์เชียงใหม่ – สารภีนั้นเริ่มต้นเมื่อปี พ.ศ.2442ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5ซึ่งสยามประเทศได้มีการจัดการปกครองส่วนภูมิภาคจากเมืองประเทศราชมาเป็นรูปแบบการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล มีข้าหลวงจากรัฐบาลกรุงเทพมาปกครองเชียงใหม่ในเวลานั้นอยู่ในช่วงปลายสมัยเจ้าอินทวโรรส เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 8 รัฐบาลส่วนกลางก็ยกเลิกอำนาจการปกครองของเจ้าหลวงให้ข้าหลวงประจำเมืองทำหน้าที่แทน แต่ยังคงดำรงตำแหน่ง “เจ้าหลวง”เอาไว้เป็นประมุขของเชียงใหม่
โดยสมัยนั้นเมืองเชียงใหม่อยู่ในความดูแลของ ข้าหลวงสิทธิ์ขาดมณฑลพายัพซึ่งผู้ที่ดำรงตำแหน่งนี้เป็นคนแรกคือ เจ้าพระยาสุรสีห์วิสิษฐ์ศักดิ์ (เชยกัลยาณมิตร) ท่านได้นำนโยบายที่เรียกว่า “น้ำต้อง กองต๋ำ”อันหมายถึงนโยบายในการพัฒนาคูคลองร่องน้ำการตัดถนนหนทางและการปรับปรุงถนนหลวงเพื่อให้ความร่มรื่นแก่ชาวบ้านที่สัญจร ไปมาจึงได้มีการกำหนดให้ทางหลวงแต่ละสายปลูกต้นไม้ไม่ซ้ำกันคือ ถนนในตัวเมืองเชียงใหม่ ให้ปลูกต้นไม้เมืองหนาว ถนนรอบคูเมือง ให้ปลูกต้นสักและต้นสนถนนสายเชียงใหม่ – ดอยสะเก็ด ให้ปลูกต้นประดู่ ถนนสายเชียงใหม่ – หางดงให้ปลูกต้นขี้เหล็ก ถนนสายเชียงใหม่ – สารภี ให้ปลูกต้นยางและเมื่อเข้าเขตลำพูนให้ปลูกต้นขี้เหล็ก
การปลูกต้นยางสารภีนั้น เริ่มต้นปลูกอย่างจริงจังเมื่อปี พ.ศ.2465 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ซึ่งจากการสอบถาม จ.ส.อ.พรรณศักดิ์ คำมงคลข้าราชการบำนาญผู้ซึ่งได้ยินเรื่องราวของการปลูกต้นยางมาจากกำนันมานิต คำมงคลซึ่งท่านเป็นกำนันตำบลปากกองและมีศักดิ์เป็นลุง
ท่านได้เล่าว่าในการปลูกต้นยางสมัยนั้นจะเกณฑ์ชาวบ้านที่ยากจนไม่มีเงินเสียภาษีให้รัฐกับชาวบ้านที่ไม่อยากจะเป็นทหาร ให้มาปลูกต้นยางตั้งแต่บ้านหนองหอยจนมาถึงแดนเมืองโดยจะให้ชาวบ้านรับผิดชอบดูแลรดน้ำต้นยางคนละประมาณ 4 – 5ต้น ถ้าหากพบว่าต้นยางที่ตนรับผิดชอบตายก็จะต้องนำต้นยางมาปลูกใหม่ ต้นยางที่ปลูกบนถนนสายเชียงใหม่ – สารภีนั้น คือ “ต้นยางนา” ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่เป็นไม้สงวนประเภท ข ซึ่งต้นไม้เหล่านี้เหตุการณ์ต่าง ๆ มามากมาย ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 จึงมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และเป็นเอกลักษณ์อันทรงคุณค่าประจำอำเภอสารภี
(อ่านเพิ่มเติม) Cr.
https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/853579
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
ถนนสายต้นไม้โบราณ
เกาะนามิถูกตั้งขึ้นตามชื่อของนายพลนามิ ทีรับราชกาชตั้งแต่อายุ 17 ปี และถูกประหารเพราะมีความก้าวหน้าในหน้าที่การทำงานมากเกินไป ซึ่งเป็นนายทหารที่มีชื่อเสียงมากในสมัยราชวงศ์โชซอน
เป็นเกาะเล็กๆ อยู่ห่างจากกรุงโซลไปเพียง 63 กม. มีชื่อเสียงในด้านทัศนียภาพที่สวยงามทางธรรมชาติและมีบรรยากาศที่โรแมนติก แต่ที่ทำให้ได้รับความนิยมมากๆ คงเป็นเพราะกระแสความโด่งดังจากซีรี่ย์เกาหลีเมื่อหลายปีก่อนอย่าง Winter Sonata (เพลงรักในสายลมหนาว)
บนเกาะมีถนนสายต้นสนโบราณ (Metasequoia Lane) เป็นทิวสนที่เรียงตัวเป็นแนวยาวสง่างามสวยทุกฤดูถือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเกาะนามิ ต้นไม้ชนิดนี้เป็นไม้ผลัดใบในตระกูลต้นสนโบราณที่ยังไม่สูญพันธุ์ จึงถูกขนามนามว่าเป็นฟอสซิลที่ยังมีชีวิตอยู่
Cr.http://fanggies.blogspot.com/2017/06/nami-island-namiseom-naminara-republic.html
อุโมงค์ต้นสนแดง
เส้นทางเมตาเซโคเอีย Metasequoia-lined Road (담양 메타세쿼이아길) หรือแนวต้นสนแดงที่ปลูกยาวตลอดแนวถนนปลูกตั้งแต่ปี 1970 จนถึงปัจจุบันต้นเมตาเซโคเอียมีขนาดใหญ่ และพอฤดูใบไม้ผลิใบจะเปลี่ยนเป็นสีส้ม เป็นอุโมงค์ต้นไม้เปลี่ยนสีที่สวยงามมาก ซึ่งในปี 2002 ได้รับรางวัลจาก Korea Forest Service ยกให้เป็นเส้นทางที่สวยงามที่สุดของเกาหลี มีความยาวประมาณ 4 กิโลเมตร
นอกจากเส้นทางเดินชมอุโมงค์ต้นไม้แล้ว ยังมีเส้นทางขับรถชมวิวซึ่งเป็นเส้นทางยอดนิยมของเกาหลีโดยเฉพาะในช่วงฤดูใบไม้เปลี่ยนสีและฤดูร้อน ซึ่งในระหว่างขับรถผ่านเส้นทางนี้สามารถจอดรถที่ไหล่ทางและลงไปเดินชมความงามของอุโมงค์ต้นเมตาเซโคเอียได้ หรือถ้าใครชอบปั่นจักรยานก็เป็นอีกเส้นทางที่แนะนำ จะได้ชมธรรมชาติสองข้างทางพร้อมวิวสวยๆ
Cr.https://www.chilloutkorea.com/metasequoia-lined-road/ By lemonlinn
Rua Goncalo de Carvalho ถนนที่มีต้นไม้เป็นหลังคา
Rua Gonçalo de Carvalho ถนนที่มีหลังคาเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่สายนี้ตั้งอยู่ที่เมืองโปร์ตูอาเลกรี เมืองที่ใหญ่ที่สุดของรัฐรีโอกรันดีโดซูล ประเทศบราซิล ถนนสายนี้มีความยาว 500 เมตร ตลอดสองข้างทางปกคลุมไปด้วยต้น Rosewood กว่า 100 ต้น ซึ่งต้นไม้นี้เป็นตระกูลเดียวกับไม้พยุงชิงชัน และไม้ประดู่ในบ้านเรา
ต้น Rosewood ที่ Rua Goncalo de Carvalho แห่งนี้ ถูกปลูกโดยคนงานโรงเบียร์ชาวเยอรมันในปี 1930 และถนนเส้นนี้ยังได้ถูกประกาศให้เป็นมรดกทางสภาพแวดล้อมของลาตินอเมริกาอีกด้วย
ในปี 2005 นักธุรกิจมีแนวคิดที่จะโค่นต้นไม้เหล่านี้เพื่อสร้างเป็นแหล่งชอปปิ้ง แต่ก็ได้รับการต่อต้านจนต้องยกเลิกไป ตอนนี้ถูกจัดให้เป็นถนนที่สวยอันดับต้นๆ ของโลก ถนนสายต้นไม้นี้ ถือเป็นหน้าเป็นตาให้เมือง Porto Alegre ทั้งยังสะท้อนการสร้างภูมิทัศน์ในการจัดพื้นที่สาธารณะให้สวยงามด้วยธรรมชาติได้เป็นอย่างดี
โปร์ตูอาเลกรี ก่อตั้งในปี ค.ศ. 1769 โดยมานูเอล เซปุลเวดา เมืองมีประชากร 1,509,939 คน (ค.ศ. 2010) เป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับ 10 ของประเทศ เป็นเมืองหลวงของรัฐที่อยู่ใต้สุดของประเทศ เป็นหนึ่งในศูนย์กลางวัฒนธรรม การเมือง และเศรษฐกิจของบราซิล
ที่มา: amusingplanet.com
Cr.http://www.nextsteptv.com/rua-goncalo-de-carvalho-%E0%B8%96%E0%B8%99%E0%B8%99/
Cr.https://www.iurban.in.th/greenery/rua-de-carvalho-goncal/
ถนนตัดผ่านต้นไม้สุดมหัศจรรย์แห่งป่าเรดวู้ด
ทางตอนเหนือของแคลิฟอร์เนีย เต็มไปด้วยพืชตระกูลสนที่มีชื่อว่าเรดวู้ดมากมาย เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีอายุนับพันปี และมีขนาดใหญ่มาก ส่วนสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงคืออุทยานแห่งชาติป่าเรดวู้ดแคลิฟอร์เนีย (Redwood National and State Parks) และอุทยานแห่งชาติโยเซมิตี (Yosemite National Park) ที่นั่นมีจุดเด่นตรงที่มีต้นไม้ขนาดใหญ่และเก่าแก่มากมาย ซึ่งเป็นพันธุ์เรดวู้ดและซีคัวญ่า โดยต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ตั้งอยู่ในแคลิฟอร์เนีย
ต้นเรดวู้ดขนาดใหญ่ยักษ์มีความกว้างและหนามาก หลายๆต้นใหญ่จนต้องใช้สิบคนโอบ ในอุทยานบางแห่งมีต้นเรดวู้ดขนาดยักษ์ที่หมดอายุขัยแต่ยังยืนต้นเหลือแต่ตอ ทำให้ฝ่ายดูแลหัวใสต้องการปรับปรุงต้นไม้ใหม่ ด้วยการเจาะกลางเนื้อไม้ให้เป็นโพรงคล้ายอุโมงค์ ทำให้คนสามารถเดินผ่านได้
ต้นเรดวูดบางต้นอาจจะมีขนาดใหญ่มากและขวางทานเดิน พวกเขาก็จะเจาะต้นไม้ให้เป็นโพรงกว้างถึงขนาดที่ว่าให้รถยนต์ขับผ่านได้ ทำให้นักท่องเที่ยวตื่นเต้นมากและต้องการที่จะมาสัมผัสประสบการณ์ลอดใต้อุโมงค์ดังกล่าว ผู้ดูแลจึงได้เก็บค่าธรรมเนียมไปด้วย แต่ช่วงหลังที่มนุษย์เริ่มต้นการท่องเที่ยวแบบอนุรักษ์ก็เลิกที่จะเจาะโพรงไม้ เพราะการเจาะโพรงไม้จะทำให้ต้นไม้ล้มในเวลาต่อมา
ที่มา amusingplanet.com
ภาพ www.shorpy.com
Cr.https://travel.thaiza.com/foreign/343949/
ถนนต้นสน Suginami ในนิกโกะ
ถนนที่มีต้นไม้ยืนเรียงรายทั้งสองฝั่งถนนที่ยาวที่สุดในโลกอยู่ในเมืองนิกโกะ ต้นสนญี่ปุ่นที่ในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า ซุกิ ยืนสูงถึง 35 เมตร รายล้อมถนนมีความยาว 35 กิโลเมตร ต้นสนเหล่านี้ปลูกเมื่อสี่ร้อยปีมาแล้ว เพื่อเพิ่มความสวยงามให้แก่เส้นทางที่ทอดยาวไปยังศาลเจ้าโทะโชะกุแห่งเมืองนิกโกะ
ในปี 1616 ศาลเจ้าโทะโชะกุแห่งเมืองนิกโกะได้ถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศแด่ Tokugawa Ieyasu หลังจากที่ท่านเสียชีวิตลง หนึ่งในขุนนางของท่านได้เริ่มปลูกต้นสนบนถนนสายหลักสามสายของนิกโกะ ถนน Reiheishi-Kaido ถนน Nikkō-Kaido และถนน Aizu-Nishi-Kaido ทั้งสามสายมาบรรจบกันเป็นสายเดียวที่เมืองโพสทาวน์ อิไมชิ (Imaichi)
แต่เดิมนั้นโครงการปลูกต้นสนที่เริ่มขึ้นในประมาณปี 1625 มีประมาณ 200,000 ต้น และโครงการได้ขยายไปถึง 20 ปี ต้นสนต่างๆ ได้รับจากการบริจาคให้แก่ศาลเจ้าโทะโชะกุ เนื่องในโอกาสครบรอบ 33 ปีหลังจากการตายของท่าน Tokugawa Ieyasu ตลอดสมัยเอโดะ รัฐบาลโชกุนของตระกูล Tokugawa ได้จัดให้มีขบวนแห่อันยิ่งใหญ่ผ่านไปบนถนน Nikkō-Kaido
ในสมัยเอโดะต้นสนเหล่านี้ได้รับความคุ้มครองอย่างเคร่งครัด และถ้าหากต้องถอนหรือตัด เนื่องจากได้รับความเสียหายก็ต้องเฉพาะที่ได้รับการอนุญาติพิเศษจากฝ่ายปกครองเท่านั้น เมื่อตัดต้นสนไปแล้วก็จะปลูกต้นใหม่แทนที่เสมอ ผู้คนในหมู่บ้านที่อยู่ติดถนนจะเป็นผู้ดูแลถอนหญ้าและรดน้ำ แต่น่าเสียดาย เมื่อกาลเวลาผ่านไปจนถึงสมัยเมจิทุกสิ่งทุกอย่างได้เปลี่ยนแปลงไป ต้นไม้โบราณมากมายถูกโค่นทิ้งเพื่อสร้างถนน และยังมีแผนการที่จะโค่นเหล่าต้นสนใน Suginamiki เพื่อหารายได้มาฟื้นฟูประเทศ แต่โชคยังเข้าข้าง ที่แผนการนั้นได้ถูกยกเลิกไป และของขวัญของท่าน Matsudaira Masatsuna สำหรับอนาคตยังคงอยู่
ทุกวันนี้ต้นสนเหล่านี้ยังได้รับความคุ้มครองดูแลจากศาลเจ้าโทะโชะกุ ต้นสนแต่ละต้นได้รับการจดทะเบียนพร้อมตัวเลขกำกับ โดยเริ่มจากสถานีนิกโกะไปทางซ้ายและขวา
ต้นสนบางต้นมีเรื่องราวบอกเล่า เช่น ระหว่างอิชิริซุกะ (Ichirizuka) และนิกโกะ มีต้นสนที่อยู่ต้นหนึ่งที่มีลูกกระสุนปืนของสงคราม Boshin
อีกต้นหนึ่งมีชื่อเล่นว่าโรงแรมนะมิคิ เพราะใต้ต้นมีช่องโหว่ที่ใหญ่พอสำหรับจุผู้ใหญ่ได้ถึงสามคน
ยังมีเรื่องราวของต้นสนแปลกๆ ที่มีชื่อว่า ซากุระ สุกิ เป็นต้นสนที่ออกดอกเบ่งบาน แต่ไม่สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ บางทีอาจจะเป็นเพียงเรื่องเล่าในตำนานก็เป็นได้
Cr.https://th.japantravel.com/โทชิงิ/ถนนต้นสน-suginami-ในนิกโกะ/32458 / by Suwannee Payne @suwannee.payne
ถนนสายต้นยางสารภี
ต้นยางสูงใหญ่ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์หนึ่งเดียวของชาวเชียงใหม่และอำเภอสารภี ยังคงทำให้ที่ในการให้ร่มเงามาตั้งแต่ครั้งโบราณเมื่อกว่าร้อยปี ซึ่งถือได้ว่าถนนสายนี้เป็นถนนสายอารยธรรมล้านนาที่มีชีวิตเป็นมรดกเก่าแก่ที่ทรงคุณค่าแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของคนเมืองเชียงใหม่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
จะมีใครสักกี่คนทราบถึงประวัติความเป็นมาของต้นยางที่ปลูกเรียงรายสองฟากถนนจากเชียงใหม่มุ่งหน้าสู่สารภีถนนสายประวัติศาสตร์ที่ว่ากันว่าเป็นถนนสายเดียวที่มีการปลูกต้นยางมากที่สุดในประเทศ ด้วยระยะทางประมาณ 10 กว่ากิโลเมตรจากเชียงใหม่ถึงอำเภอสารภีมีต้นยางขึ้นเรียงรายกว่าหนึ่งพันต้น ซึ่งต้นยางเหล่านี้ล้วนผ่านวันเวลาและเหตุการณ์ต่างๆ มามากมาย กระทั่งต้นยางได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของถนนสายนี้ไปแล้ว
ประวัติของการปลูกต้นยางบนถนนสายประวัติศาสตร์เชียงใหม่ – สารภีนั้นเริ่มต้นเมื่อปี พ.ศ.2442ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5ซึ่งสยามประเทศได้มีการจัดการปกครองส่วนภูมิภาคจากเมืองประเทศราชมาเป็นรูปแบบการปกครองแบบมณฑลเทศาภิบาล มีข้าหลวงจากรัฐบาลกรุงเทพมาปกครองเชียงใหม่ในเวลานั้นอยู่ในช่วงปลายสมัยเจ้าอินทวโรรส เจ้าผู้ครองนครเชียงใหม่องค์ที่ 8 รัฐบาลส่วนกลางก็ยกเลิกอำนาจการปกครองของเจ้าหลวงให้ข้าหลวงประจำเมืองทำหน้าที่แทน แต่ยังคงดำรงตำแหน่ง “เจ้าหลวง”เอาไว้เป็นประมุขของเชียงใหม่
โดยสมัยนั้นเมืองเชียงใหม่อยู่ในความดูแลของ ข้าหลวงสิทธิ์ขาดมณฑลพายัพซึ่งผู้ที่ดำรงตำแหน่งนี้เป็นคนแรกคือ เจ้าพระยาสุรสีห์วิสิษฐ์ศักดิ์ (เชยกัลยาณมิตร) ท่านได้นำนโยบายที่เรียกว่า “น้ำต้อง กองต๋ำ”อันหมายถึงนโยบายในการพัฒนาคูคลองร่องน้ำการตัดถนนหนทางและการปรับปรุงถนนหลวงเพื่อให้ความร่มรื่นแก่ชาวบ้านที่สัญจร ไปมาจึงได้มีการกำหนดให้ทางหลวงแต่ละสายปลูกต้นไม้ไม่ซ้ำกันคือ ถนนในตัวเมืองเชียงใหม่ ให้ปลูกต้นไม้เมืองหนาว ถนนรอบคูเมือง ให้ปลูกต้นสักและต้นสนถนนสายเชียงใหม่ – ดอยสะเก็ด ให้ปลูกต้นประดู่ ถนนสายเชียงใหม่ – หางดงให้ปลูกต้นขี้เหล็ก ถนนสายเชียงใหม่ – สารภี ให้ปลูกต้นยางและเมื่อเข้าเขตลำพูนให้ปลูกต้นขี้เหล็ก
การปลูกต้นยางสารภีนั้น เริ่มต้นปลูกอย่างจริงจังเมื่อปี พ.ศ.2465 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ซึ่งจากการสอบถาม จ.ส.อ.พรรณศักดิ์ คำมงคลข้าราชการบำนาญผู้ซึ่งได้ยินเรื่องราวของการปลูกต้นยางมาจากกำนันมานิต คำมงคลซึ่งท่านเป็นกำนันตำบลปากกองและมีศักดิ์เป็นลุง
ท่านได้เล่าว่าในการปลูกต้นยางสมัยนั้นจะเกณฑ์ชาวบ้านที่ยากจนไม่มีเงินเสียภาษีให้รัฐกับชาวบ้านที่ไม่อยากจะเป็นทหาร ให้มาปลูกต้นยางตั้งแต่บ้านหนองหอยจนมาถึงแดนเมืองโดยจะให้ชาวบ้านรับผิดชอบดูแลรดน้ำต้นยางคนละประมาณ 4 – 5ต้น ถ้าหากพบว่าต้นยางที่ตนรับผิดชอบตายก็จะต้องนำต้นยางมาปลูกใหม่ ต้นยางที่ปลูกบนถนนสายเชียงใหม่ – สารภีนั้น คือ “ต้นยางนา” ซึ่งเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่เป็นไม้สงวนประเภท ข ซึ่งต้นไม้เหล่านี้เหตุการณ์ต่าง ๆ มามากมาย ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 จึงมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และเป็นเอกลักษณ์อันทรงคุณค่าประจำอำเภอสารภี
(อ่านเพิ่มเติม) Cr.https://www.chiangmainews.co.th/page/archives/853579
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)