เพื่อนครับ เผื่อเป็นประโยชน์สำหรับ เพื่อนๆ ที่ยังไม่รู้ว่า ทำไม ผู้ประกันตนมาตรา 33 ถึงลงทะเบียน เราไม่ทิ้งกัน ไม่ได้

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/873262
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
จะทำอย่างไร “เกษตรกร” และ คนในระบบ “ประกันสังคมมาตรา 33” ที่เข้าถึงช่องทางการช่วยเหลือจากภาครัฐ เหมือนผู้มีสิทธิ์ได้รับเงินเยียวยา 5,000 บาท 3 เดือน จากสถานการณ์ "โควิด-19"

หลังจาก เปิดลงทะเบียน www.เราไม่ทิ้งกัน.com มาตรการสนับสนุนเงินเยียวยาเดือนละ 5,000 บาท เป็นเวลา 3 เดือนให้กับแรงงานลูกจ้าง ลูกจ้างชั่วคราว ตลอดจนแรงงานนอกระบบที่ได้รับผลกระทบเป็นมาตรการเร่งด่วนเมื่อ 18.00 น.ของวันที่ 28 มีนาคม นั้น เกษตรกร รวมทั้ง คนที่มีรายชื่อในระบบ ประกันสังคมมาตรา 33 กลายเป็นคำถามที่ถูกถามกันมากที่สุดอีกคำถามหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องสิทธิในการลงทะเบียน หรือการรับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล รวมทั้งยังมีข้อสงสัยถึงสถานะอื่นๆ ว่าตนเองนั้นเข้าเกณฑ์ที่จะได้รับเงินเยียวยาดังกล่าวหรือไม่
จากที่ กระทรวงการคลัง ได้มีการเผยแพร่เอกสารเผยแพร่มาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจาก ไวรัสโคโรนา หรือ COVID-19 ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 2 ซึ่งในรายละเอียดของเอกสารดังกล่าวก็ระบุชัดเจนถึงเกณฑ์ผู้ที่จะได้รับเงินเยียวยา ได้แก่ กลุ่มเป้าหมายที่ได้รับผลกระทบจากการหยุดประกอบกิจการของสถานประกอบการ ที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาด ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีคนแออัด เบียดเสียด ง่ายต่อการแพร่เชื้อ เช่น สนามมวย สนามกีฬา ผับ สถานบันเทิง โรงมหรสพ นวดแผนโบราณ สปา ฟิตเนส สถานบริการอื่นๆ เป็นต้น หรือผู้ที่ได้รับผลกระทบอื่นๆ

โดยไม่รวม ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่มีคุณสมบัติครบตามเงื่อนไขการได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจากสำนักงานประกันสังคมคุ้มครองอยู่แล้ว รวมถึง ข้าราชการ และข้าราชการบำนาญ อีกทั้งยังไม่รวม เกษตรกร ด้วย เนื่องจากกลุ่มเกษตรกรนั้นจะมีมาตรการช่วยเหลืออื่น ๆ จากรัฐบาลอยู่แล้ว

คำอธิบายเพิ่มเติมสำหรับ เกษตรกร ก็คือ อันที่จริง เกษตรกรก็จัดอยู่ในกลุ่มที่สามารถลงทะเบียนรับเงินเยียวยา 5,000 ได้ แต่เมื่อเกษตรกรลงทะเบียนรับสิทธิในส่วนนี้แล้ว เกษตรกรรายนั้นจะไม่ได้รับสิทธิสำหรับมาตรการอื่นๆ ที่ภาครัฐจะออกมาเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรต่อไปในอนาคต นั่นเอง

ในกรณีของ ผู้ประกันตนของประกันสังคม มาตรา 33 ที่จะเข้าข่ายสามารถสามารถลงทะเบียนรับเงินเยียวยา เราไม่ทิ้งกัน ได้นั้น จะต้องอยู่ในข่ายที่ส่งเงินเข้าประกันสังคมไม่ครบ 6 เดือน และได้รับผลกระทบจากโควิด-19 หรือ ผู้ประกันตนของประกันสังคมในมาตรา 38 ที่ตกงาน หรือออกจากงานมามากกว่า 6 เดือนที่ได้รับผลกระทบโควิด-19
นิยามของ ผู้ประกันตน มาตรา 33 คือ ลูกจ้างผู้ทำงานให้กับนายจ้างที่อยู่ในสถานประกอบการ หรือพนักงานเอกชน สำหรับ ผู้ประกันตน มาตรา 38 คือ พนักงาน หรือลูกจ้างที่ออกจากงานแล้ว และประกันสังคมยังคุ้มครอง อีก 6 เดือน

สำหรับ ผู้ประกันตนตามมาตรา 39 และ 40 สามารถลงทะเบียนผ่าน www.เราไม่ทิ้งกัน.com เพื่อขอรับเงินช่วยเหลือของรัฐบาลได้ ซึ่ง ผู้ประกันตน มาตรา 39 คือ ผู้ประกันตนแบบสมัครใจที่ยังอยากส่งเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมหลังผันตัวออกมาประกอบธุรกิจส่วนตัว หรือมีเหตุให้ต้องหลุดออกจากงานเดิม ส่วน ผู้ประกันตน มาตรา 40 คือ เป็นผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระ หรือแรงงานนอกระบบ เป็นบุคคลที่ไม่ได้เป็นลูกจ้างในบริษัทเอกชนตามประกันสังคมมาตรา 33 และไม่เคยสมัครเป็นผู้ประกันตนในมาตรา 39
ถ้าเป็นอย่างนั้น ผู้ประกันตนใน ประกันสังคมมาตรา 33 สามารถรับสิทธิประโยชน์อะไรได้บ้าง
สำนักงานประกันสังคม ได้ออก มาตรการเพื่อเยียวยาแรงงานในระบบ โดยมีผลบังคับใช้วันที่ 1 มีนาคม – 31 สิงหาคม 2563 ดังนี้

กรณีผู้ประกันตนมีอาการป่วย มีไข้ ไอ เจ็บคอ
เข้าไปตรวจรักษาในโรงพยาบาลตามสิทธิ หากแพทย์ประเมินอาการแล้วสงสัยว่าเข้าข่ายป่วยโรคโควิด-19 แพทย์จะส่งตรวจเพาะเชื้อทางห้องแล็บ โดยผู้ประกันตนไม่ต้องจ่ายค่าตรวจหรือค่ายาใดๆ หากผู้ประกันตนรายนั้นป่วยเป็นโรคโควิด-19 จะได้รับการรักษาฟรี หากไม่สามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลตามสิทธิได้ สามารถเข้ารักษาโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้หรือของรัฐตามระบบประกันสังคม และเบิกจ่ายกรณีฉุกเฉิน ภายใน 72 ชั่วโมง
ผู้ประกันตนที่ไม่ได้ทำงาน
เนื่องจากมีเหตุสุดวิสัยที่มีความเสี่ยงจากการติดเชื้อไวรัสโควิด – 19 ซึ่งต้องกักตัวเป็นเวลา 14 วัน ที่มีนายจ้างรับรอง หรือนายจ้างไม่ให้ทำงาน ให้ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ร้อยละ 50 ของค่าจ้าง ตลอดระยะเวลาที่ผู้ประกันตนไม่ได้ทำงาน แต่ไม่เกิน 180 วัน
กรณีหน่วยงานภาครัฐมีคำสั่งให้นายจ้างหยุดประกอบกิจการชั่วคราว
ลูกจ้างซึ่งเป็นผู้ประกันตนไม่ได้รับค่าจ้าง ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ร้อยละ 50 ของค่าจ้าง แต่ไม่เกิน 60 วัน
กรณีลาออก
ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ ร้อยละ 45 เป็นระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน (จากเดิมร้อยละ 30)
กรณีเลิกจ้าง

ได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ ร้อยละ 70 ของค่าจ้าง ระยะเวลาไม่เกิน 200 วัน (เดิมร้อยละ 50 ของค่าจ้าง ระยะเวลาไม่เกิน 180 วัน) ทั้งนี้ มีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา 2 ปี หลังจากนั้นคณะกรรมการประกันสังคมจะพิจารณาอีกครั้ง

ลดอัตราเงินสมทบ
และขยายกำหนดเวลายื่นแบบอัตราเงินสมทบนายจ้าง และผู้ประกันตน “ในส่วนของนายจ้าง” ร้อยละ 4 ของค่าจ้างผู้ประกันตน (เดิมร้อยละ 5 ) และ “ผู้ประกันตน” เหลือร้อยละ 1 (เดิมร้อยละ 5 ) เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่งวดค่าจ้างเดือนมีนาคม – พฤษภาคม 2563 โดยค่าจ้างงวดเดือนมีนาคม 2563 ให้นำส่งเงินสมทบภายในวันที่ 15 กรกฎาคม 2563 ค่าจ้างงวดเดือนเมษายน 2563 ให้นำส่งเงินสมทบภายในวันที่ 15 สิงหาคม 2563 และ งวดเดือนพฤษภาคม 2563 ให้นำส่งเงินสมทบภายในวันที่ 15 กันยายน 2563
กรณีเลิกจ้างและไม่ได้รับเงินตามกฎหมาย
กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ได้เสนอของบกลางเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเพื่อเยียวยาลูกจ้าง ให้ลูกจ้างมีสิทธิ์ได้รับค่าชดเชยจากนายจ้างตามอายุการทำงาน หากนายจ้างไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง ลูกจ้างมีสิทธิยื่นคำขอรับเงินสงเคราะห์จากเงินกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างผ่านกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง จำนวน 4,720 ล้านบาท ทั้งนี้ กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน จะต้องติดตามเงินดังกล่าวจากนายจ้างเพื่อส่งคืนเงินแก่กองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างต่อไป

พัฒนาทักษะฝีมือ
ให้สอดคล้องกับตำแหน่งงานที่ทำ (Up skill) หรือเพื่อประกอบอาชีพเสริม (Re - skill) ในหลักสูตรอาทิ ภาษาอังกฤษ การประยุกต์ใช้ IOT เพื่อการทำงาน การเขียนแบบคอมพิวเตอร์ ระยะเวลาฝึก 1 เดือน/รุ่น กลุ่มเป้าหมายจำนวน 7,000 คน ( 350 รุ่น) ทั่วประเทศ งบประมาณ 35,000,000 บาท
จ้างบัณฑิตที่ว่างงานเป็นผู้ประสานงานโครงการของกระทรวงแรงงาน
ในระดับพื้นที่ เพิ่มเป็น 841 อำเภอ อำเภอละ 2 คน (เดิม 38 อำเภอ) เพื่อให้บริการของกระทรวงแรงงานเข้าถึงประชาชนในระดับฐานรากอย่างทั่วถึง เช่น การส่งเสริมให้ประชาชนสมัครเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 40 การพัฒนาทักษะให้แก่ผู้มีรายได้น้อย และการส่งเสริมการรวมกลุ่มของผู้รับงานไปทำที่บ้าน เป็นต้น

สำหรับ ภาคกสิกรรมอย่าง เกษตรกร นั้น เบื้องต้น กรมส่งเสริมการเกษตร ได้สั่งการให้ทุกสำนักงานเกษตรจังหวัดติดตามสถานการณ์ปัจจุบันในแต่ละพื้นที่ และจัดทำรายงานสถานการณ์ด้านการเกษตร เสนอกรมฯ ทราบ เพื่อดำเนินการประสานงานแก้ไขต่อไป
รวมทั้งสั่งการให้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่เข้าไปส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน หรือกลุ่มแม่บ้านเกษตรกรผลิตสินค้าที่จำเป็นต้องใช้งานในขณะนี้ เช่น หน้ากากผ้าที่มีคุณภาพตามมาตรฐานของกระทรวงสาธารณสุข พร้อมจัดทำข้อมูลผลผลิตทางการเกษตร และผลิตภัณฑ์แปรรูปขององค์กรเกษตรกร เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับพี่น้องประชาชนได้เลือกซื้อได้อย่างสะดวก โดยกรมส่งเสริมการเกษตรจะให้การสนับสนุนด้านเทคโนโลยีการผลิต และความรู้ในการด้านการทำการตลาด online ให้กับเกษตรกร ในส่วนของการลดรายจ่ายและเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรและประชาชนทั่วไป
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่