บันทึก บริจาคโลหิต ในวันที่ฉันกลัวโควิดขึ้นสมอง



.     เมื่อเวลาเวียนมาบรรจบทุกๆ 3 เดือน การแจ้งเตือนใน Google Calendar  มักบอกผมว่าถึงเวลาไปบริจาคเลือดแล้ว แต่ไม่ใช่กับรอบนี้ 6 มีนาคม 2563 ในวันที่ไวรัสโควิด-19 กำลังออกอาระวาดอยู่ทั่วโลก ผู้คนต่างหวาดหวั่นขวัญหาย ไม่กล้าแม้แต่เดินออกจากบ้าน รวมถึงฉันที่ลองนั่งคิดกับตัวเองดูแล้ว ก็ไม่อยากเอาชีวิตตัวเองออกไปเสี่ยงบริจาค คิดเพียงแค่ว่าหลังไวรัสหายค่อยออกไปก็ได้

"     ฉันยังคงใช้ชีวิตด้วยความหวาดระแวงไม่ต่างอะไรกับคุณ ที่นั่งอ่านบทความนี้อยู่ในห้องเหงาๆ เลื่อนดูข่าวสารที่กระพือ ลงใหม่แทบทุกเสี้ยววินาที บางข่าวยิ่งดูยิ่งเครียด บางข่าวยิ่งดูยิ่งเศร้า ดูเหมือนว่าข่าวในช่วงนี้จะมีอยู่สองสามอย่าง คือ ไวรัส รัฐบาล วนไปอยู่ซ้ำๆเดิมๆ



.     จนกระทั่งข่าวสารจากสภากาชาดไทย เริ่มออกมาว่าตอนนี้เลือดขาดแคลน เห็นแรกๆยังไม่ได้สนใจเท่าไหร่ พอนานวันไป เริ่มมีหลาย Page แชร์ข่าวนี้เราก็เริ่มตระหนักแล้วว่า คงมีอีกหลายชีวิตที่เดือดร้อนหากขาดแคลนเลือด

.     ถึงกระนั่น ความรักตัวกลัวตาย ก็ยังมีมากกว่า เพราะเราคิดว่าการบริจาคเลือดมันจะทำให้เราอ่อนแอลงในช่วงแรก (ซึ่งที่จริงไม่เกี่ยว) สำหรับผมตอนนี้คงแค่อยากเอาชีวิตรอดจากช่วงเวลารอยต่อของประวัติศาสตร์ แต่มันจะมีประโยชน์อะไรกันนะ หากเราคือผู้รอดชีวิตที่ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรเลย ในขณะที่มีอีกหลายฝ่าย หลายคนเขาเหนื่อยอยู่

.      จนกระทั่งฟางเชือกสุดท้ายของความเห็นแก่ตัวเองของผมขาดออก เมื่อได้ฟังคลิปคุณหมอออกมารณรงค์ให้ประชาชนทำตามคำแนะนำ จนคุณหมอร้องไห้ออกมา วินาทีนั้นเรารู้ดีเลยว่า บุคลากรทางการแพทย์ทุกคนตอนนี้คงเหนื่อยหนักกันอย่างมาก แล้วเราละ ยังสุขภาพแข็งแรงดี มีอาหารกินสามมื้อแถมช่วงนี้กินดีอยู่ดีซะด้วย ได้ทำงานอยู่บ้านสบายใจเฉิ่ม นั่งคิดๆดูแล้ว ก็ดูตัวเองกำลังเอาเปรียบคนอีกหลายคนที่เขากำลังเหนื่อยกันอยู่รึเปล่านะ จนรู้สึกว่าอยากจะออกมาทำอะไรบ้าง ที่มันจะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมไม่มากก็น้อย......บริจาคเลือดนี่ละ สิ่งง่ายๆที่เราเริ่มทำได้
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

.      ผมเลือกไปบริจาคเลือดวันศุกร์ในช่วงเย็น ขอลาจากที่ทำงานมาช่วงสี่โมงเย็น ขับมอเตอร์ไซต์มาทางสีลม ที่แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยว่านี่คือเย็นวันศุกร์    ไม่รู้เป็นเพราะความรู้สึกใด กลัว ตื่นเต้น ดีใจ หรืออะไรก็ตามแต่ ใจผมเต้น ตุ๊บ ตุ๊บ ตลอดการเดินทางมาบริจาคเลือดในครั้งนี้ มันคงตื่นเต้นที่ได้ไป ปนๆกับความกลัวไวรัสละมั้งผมว่า แต่ที่รอบนี้ไม่เหมือนครั้งก่อนแน่ๆคือ ผมเตรียมตัวมาค่อนข้างดีมาก นอนพักผ่อนอย่างเพียงพอมาทั้งอาทิตย์ กินผักผลไม้มาโดยตลอด ออกกำลังกายช่วงนี้ก็เรียกว่าความฟิตกำลังดี.....ช่วงเวลานี้คงเหมาะกับการบริจาคเลือดที่สุด



.    ผมมาถึงสภากาชาดไทยช่วงเวลา สี่โมงกว่า บรรยากาศภายนอกดูโล่ง ท้องฟ้าที่ดูเหมือนจะแจ่มใสมาโดยตลอดตั้งแต่ไวรัสนี้เข้ามา ดูเหมือนโลกที่เคยหมุนเป็นลูกข่าง ติ้วๆๆๆๆๆ จะหยุดชะงักลง เพราะเจ้าปีศาจตัวนี้ 

.      ผมเดินเข้าไปภายในอาคารที่มีการตรวจวัดไข้ปกติ แต่แม่เจ้า วัดอุณหภูมิได้ 37.8 ผมมั่นใจแน่ๆว่าเครื่องพวกนี้ไม่ค่อยเสถียรเพราะเมื่อเช้าผมวัดที่บริษัทได้ 34.8  ฮ่าๆบางทีสภาพแวดล้อมก่อนการวัดไข้ก็มีผลสำคัญ



.      ผมผ่านการวัดไข้มาได้ บรรยากาศภายในไม่ต่างจากภายนอก เงียบเหงา คนบางตา เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นสถานที่แห่งนี้คนน้อยที่สุด นับตั้งแต่การมาเยือนนับสิบครั้ง ผมกรอกเอกสารคัดกรอง วัดความดัน ยื่นเอกสารให้เจ้าหน้าที่ ทั้งหมดนี้ใช้เวลา 10 นาที จากนั้นก็ไปเจาะเลือด ที่ปลายนิ้ว พร้อมให้แพทย์ซักประวัติสักครู่ ก็ไปนั่งรอบริจาคเลือดได้แล้ว



.     ผมรู้สึกชื่นชมคนที่มาบริจาคเลือดในช่วงนี้นะ โดยเฉพาะผู้หญิงที่ดูมีสัดส่วนมากกว่าผู้ชายทั้งแท่งอย่างผม เพราะการบริจาคเลือดไม่ได้มีใครบังคับ แถมสถานการณ์ในปัจจุบัน อย่าว่าแต่บริจาคเลือดเลย แค่ก้าวขาออกจากบ้าน บางคนยังกลัวระแวงไปหมด แต่คุณก็ยังเสี่ยงเดินทางออกมาบริจาคกัน



.     อ๋อผมลืมบอกไป ผมเคยสอบถามทางสภากาชาดไทยมาแล้ว ว่าการบริจาคเลือดทำให้ภูมิคุ้มกันต่อไวรัสเราลดลงไหม คำตอบคือไม่ เพราะการบริจาคเลือดนำเลือดแค่ 10 กว่าเปอร์เซ็นออกไป และร่างกายเราก็จะสร้างเลือดที่เสียไปขึ้นไปใหม่ ดังนั้นสบายใจได้เรย แต่ถ้าให้ดีคุณก็ควรดูแลตัวเองให้พร้อมก่อนมาบริจาคก็จะดีที่สุด


.     นั่งรอสิบกว่านาทีก็ถึงคิวเข้าห้องบริจาคเลือด ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ใช้เวลาเพียงไม่ถึงยี่สิบนาทีก็เสร็จแล้ว สำหรับคนที่ไม่เคยบริจาคก็ไม่ต้องกลัวผมว่ามันไม่เจ็บเท่าไหร่นะ 5555 ก็ขนาดสาวๆ  บอบบางๆ เขายังมาบริจาคกันเลย ดังนั้นไม่ต้องกลัวเจ็บหรอก แต่ผมก็ไม่กล้ามองแขนตัวเองนะเวลาโดนเข็มเจาะ



.     ผมเดินออกมาจากห้องบริจาคเลือด เพื่อมารับของกินเพิ่มพลัง มานั่งคิดๆดูว่าระหว่างขั้นตอนการบริจาคเลือดนี้มีความเสี่ยงติดเชื้อไวรัสตรงไหนบ้าง.........ทุกคนที่อยู่ในนี้จะใส่หน้ากากกันหมด และเราก็ไม่ได้คุยกัน หรือเห็นใครจามออกมา......แถมก็ไม่ได้ไปเอามือหยิบจับอะไรนัก ดูแล้วก็ไม่ได้เสี่ยงอะไร จะเสี่ยงที่สุดก็ตรงอาหารที่สภากาชาดให้มา คือข้าวเหนียวไก่ทอด ที่ต้องใช้มือกินนี่ละ แต่ก็อย่าลืมล้างมือกันก่อนด้วยละ   

.     ผมเดินออกมาจากสภากาชาดไทยตอนเวลา 17.15 น. เป็นเวลาเกือบๆ 1 ชั่วโมง ที่รู้สึกว่าตัวเองได้ทำประโยชน์เล็กๆในยามที่ส่วนรวมเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่อย่างนี้ ไม่รู้สิมันคงเป็นค่านิยมของใครของมันนะ แต่สำหรับผม ที่แทบไม่ได้รับความเดือดร้อนอะไรมากมายจากวิกฤตครั้งนี้ แถมตัวเองก็มีร่างกายที่แข็งแรงอยู่ การไม่ได้ออกมาทำอะไรเลย คงรู้สึกแย่กับตัวเองลึกๆเหมือนกัน เพราะเมื่อวิกฤตมันผ่านพ้นไป หากมองย้อนกลับมา เราก็คงรู้สึกภูมิใจเล็กๆ ที่อย่างน้อยเราก็ได้ออกมาทำอะไรเพื่อสังคม ที่มากกว่าการนั่งแชร์ข่าวไปวันๆผ่าน Facebook 



.     ผมขับมอเตอร์ไซต์กลับบ้านผ่านถนนสีลม บางรัก ที่แทบจะหลับไหล เพราะการจราจรที่บางตา น่าตลกเหมือนกันนะที่ไวรัสตัวจ๊อยๆ จะทำให้ให้โลกของเราเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้  แต่สำหรับผมเจ้าไวรัสนี้มันก็ยังมีข้อดีให้ผมอยู่บ้าง เพราะมันทำให้เราหันกลับมารักตัวเองมากยิ่งขึ้น ดูตัวแลตัวเองให้ดีมากขึ้น ผมรู้สึกแข็งแรงขึ้นหลังจากการมาของมัน หน้าผมใสขึ้นหลังจากที่หวาดระแวงไม่กล้าเอามือมาจับหน้าตัวเองอยู่หลายอาทิตย์ มีเวลาพักผ่อนมากขึ้น เพราะไม่สามารถไปตะลอนไหนได้หลังเลิกงาน 



.     สุดท้ายเราไม่รู้เลยเนอะว่าเหตุการณ์นี้จะจบลงเมื่อใด มันจะยืดยาวไปอีกแค่ไหน แต่อย่างน้อยๆเราทุกคนก็สามารถออกมาทำอะไรเล็กๆน้อยๆในแบบที่ตัวเองถนัด หรือมีความสามรถ.......หรืออย่างน้อยๆแค่เราไม่สร้างภาระให้ส่วนรวมก็ยังดี

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่