ผมเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งย่านรัชดา ที่ชีวิตต้องมาประเชิญกับโควิด 19
เริ่มเลยผมเลือกที่จะมาฝึกงานในมหาวิทยาลัยแถวบางเขน เพราะกฎของมหาวิทยาลัยที่ห้ามนักศึกษาฝึกงานนอกเขตกรุงเทพ และปริมณฑล แต่ก็ไม่ผลกับผมอยู่แล้วยังไงผมก็เลือกที่นี้ ตามกำหนดเดิม ผมต้องเริ่มฝึกงานกันตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม ถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2563 ตามกำหนดที่เจ้าหน้าๆคำนวณ 90 วันไม่รวมวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ซึ่งผมก็คิดว่าเป็นกฎของมหาวิทยาลัยเห็นบอกว่าเปลี่ยนใหม่เหมือนกันทั้งมอ จนผมไปถามเพื่อคณะอื่นว่าฝึกกี่วัน เขาบอก 3 เดือน อ. ที่ปรึกษาก็บอกให้ไปดูในรายละเอียดวิชาจึงได้รู้ว่าในรายละเอียดวิชาให้ฝึกให้ครบแค่ 400 ชั่วโมงหรือ 50 วันเอง ผมก็ท้วงไปจนรู้ว่าทางเจ้าหน้าที่เข้าใจผิด ผมก็เลยขอให้ฝึกถึงแค่สิ้นเดือนมันาคมทาง อ. ก็ขอประชุมกันก่อน เลยได้มติที่ประชุมให้เป็นไปตามที่ผมต้องการชั่วโมงฝึกงานก็จะได้ 480 ชั่วโมง เกินที่รายละเอียดกำหนดไว้ แล้วผมก็ฝึกงานต่อไม่ทีปัญหาอะไร จนกระทั่งโควิด 19 ระบาดหนัก ซึ่งพวกเพื่อนๆผมก็มีทั้งคนที่นั่งรถส่วนตัวมาฝึกงานเหมือนกันและคนที่นั่งรถสาธารณะมาฝึกงานก็มี ผมก็เห็นเพื่อนๆหลายคณะที่ อ. เรียกตัวกลับ บางมหาวิทยาลัยก็เรียกเด็กกลับแบบให้ผ่านฝึกงานเลย แต่ไร้การติดต่อจาร อ. ว่าจะให้กลับมั้ย จนกระทั่งวันที่ 18 มีเลยมีเพื่อนทัก อ. ไปว่ากลัวติดโรคกลัวเอาโรคไปคนที่บ้านเพราะตัวเองนั่งรถสาธารณะมาฝึกงาน สิ่งที่ อ. ตอบกลับมาเรื่องนักศึกษาฝึกงานมาให้คือ ให้ทางคณะจัดการกันตามเห็นที่สมควร อ. เลยให้เลือกว่า 1. ฝึกงานต่อ 2. ยุติการฝึกแล้วรอหลังเหตุการณ์ปกติแล้วค่อยกับมาฝึกใหม่ ซึ่งเอาจริงๆมันไม่มีใครอยากกลับมาฝึกอีกครั้งหรอกครับพวกผมก็เลยเลือกฝึกต่อจากตอนนั้นคนติดก็แค่หลักสิบ เวลาฝึกงานผมก็ 53 วันหรือ 424 ชั่วโมงซึ่งมันก็เกินกว่าที่รายละเอียดกำหนดไว้แล้ว พวกผมก็ฝึกงานกันต่อ จนมาวันจันทร์ที่ 23 มีนาคม ที่ยอดคนติดเพิ่มขึ้นเป็ยหลักร้อย เพิ่มขึ้นทุกวันๆ จน้พื่อนผมมันโพสในไลน์กลุ่มว่ากลัวมากติดกลัวเอาไปติดคนที่บ้าน อ. ก็ให้ข้อเสนอเดิมครับ ฝึกต่อหรือ รอฝึกใหม่ ซึ่งมันอีกแค่ 4 วันมันก็จะจบฝึกงานแล้วผมเลย โพสไปประมาณว่า "อ. เป็นห่วงเด็กบ้างมั้ย ผมเริ่มคิดแล้วว่า ชีวิตกับใบปริญญาอันไหนสำคัญกว่ากัน ช่วงนี้สถานการณ์มันไม่ปกติกับแค่ 4 วันยกผลประโยชน์ให้เด็กไม่ได้เลยหรอครับ " สิ่งที่ อ. ตอบมาคือ "มาฝึกที่คณะก็ได้คะ" ตอนนั้นคือ อารมณ์น้อยใจมาเต็มที่ผม

จิตตกเลย อะไรวะเด็กไม่สำคัญหรอห่วงแต่กฎที่ต้องครบต้องครบ แล้วถ้าเราติดนะ แล้วถ้าครอบครัวเราติดละแล้วไงต่อ สิ่งที่อยู่ในหัวคือ " กูจะกัดฟันให้มันจบๆไปแล้วมาลุ้นเอาเป็นไม่เป็น ถ้าเป็นแล้วก็มาลุ้นต่อว่าตายหรือรอด กับเลิก

เลยไม่ต้องเอา

แล้วใบปริญญาเอาชีวิตรอดไว้ก่อน ค่อยกับมาเรียนใหม่ ค่อยหางานใหม่ เซฟชีวิตตัวเองเซฟชีวิตครอบครัว " ทั้งหมดมันคืออาการน้อยใจ คือช่วงที่โรคระบาดหนักๆนี้ไม่เคยมี อ. ทักมาเลยจนเพื่อนผมทักไป จน อ. โทรมาอธิบายว่า "ทางมหาวิทยาลัยไม่ชัดเจนว่าจะให้เด็กกลับมาไหม แล้วถ้ากลับมาแล้วจะให้ฝึกต่อ ให้ทาง อ. ทางคณะจัดการกันตามความสมควร ซึ่งถ้าทาง อ. เรียกเด็กกลับมาแล้วให้เด็กผ่านเลย อ. จะถูกข้อหาทุจริต หรือถ้าทาง อ.ตัดสินใจผิดทาง อ. ก็จะถูกตรวจสอบ "
หลังผมฟังคำอธิบายจบผมเข้าใจเลยครับว่า
1. ไม่มีใครห่วงเด็กจริง ทาง อ. ก็ห่วงแต่จะโดนเล่น
2. ทางมหาลัยไม่มีความชัดเจนว่าจะ ให้เด็กกลับมาก่อนแล้วผ่านเลยมั้ย หรือพอสถานการณ์ปกติแล้วค่อยกับมาฝึกใหม่พร้อมกัน
3. อ. ผมไม่มีอะไรสักอย่างที่ แบบ เห้ยต้องเอาเด็กกลับก่อนนะชีวิตเด็กสำคัญที่สุด แล้วค่อยไปต่อสู้กับข้างบนเอา
4. ถ้าเด็กติดมาใครช่วยบ้าง อ. หรอ มหาลัยหรอ คนที่เดือนร้อนจริงๆคือ พ่อแม่ ครอบครัวผม คนรอบข้าง มันไม่ต้องรอแค่ 2 อาทิตย์ หรือ แค่ 3 วันหรอก แค่วินาทีที่มันติด ชีวิตมันก็ไม่สนุกแล้ว ทั้งที่ อ. ก็เซฟตัวเอง มหาวิทยาลัยก็เซฟตัวเอง ปิดแล้ว แต่เด็กที่ฝึกงานก็ตามมีตามเกิด
แต่ผมเข้าใจครับว่าใครก็ต้องห่วงตัวเอง ถ้าเป็นผม ผมก็คงเลือกห่วงตัวเองแหละครับ ผม

ก็แค่ลูกคนอื่นใครก็ไม่รู้ ตายไป ติดโรคไป ก็ไม่มีผลกับคณะ หรือมหาลัย
ผมไม่ได้มารีวิวแบบบอกคุณว่า ห้ามส่งลูกมาเรียนนะ อย่างนั้นอย่างนี้ ผมก็แค่มารีวิวในการเรียนให้นะครับ
ผมรู้ดีพ่อแม่ผู้ปกครองสามารถตับสินใจที่จะส่งลูกหลานมาเรียนมหาวิทยาลัยแบบนี้หรือป่าว
ผมไม่มีปัญหาเรื่องฝึกงานอยู่แล้วผมมาฝึกที่นี้เพราะผมจะมาทำงานที่นี้อยู่แล้ว จะยังไงผมก็ต้องมาต่อ แต่ความรู้สึกที่แบบว่าความเป็นห่วงมันไม่เคยเกิดขึ้นเลย
[CR] รีวิวการเป็นนักศึกษาฝึกงานของมหาลัยดัง(มั้ง)ย่านรัชดา ในช่วงสถานการณ์โควิด 19
เริ่มเลยผมเลือกที่จะมาฝึกงานในมหาวิทยาลัยแถวบางเขน เพราะกฎของมหาวิทยาลัยที่ห้ามนักศึกษาฝึกงานนอกเขตกรุงเทพ และปริมณฑล แต่ก็ไม่ผลกับผมอยู่แล้วยังไงผมก็เลือกที่นี้ ตามกำหนดเดิม ผมต้องเริ่มฝึกงานกันตั้งแต่วันที่ 6 มกราคม ถึงวันที่ 19 พฤษภาคม 2563 ตามกำหนดที่เจ้าหน้าๆคำนวณ 90 วันไม่รวมวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ซึ่งผมก็คิดว่าเป็นกฎของมหาวิทยาลัยเห็นบอกว่าเปลี่ยนใหม่เหมือนกันทั้งมอ จนผมไปถามเพื่อคณะอื่นว่าฝึกกี่วัน เขาบอก 3 เดือน อ. ที่ปรึกษาก็บอกให้ไปดูในรายละเอียดวิชาจึงได้รู้ว่าในรายละเอียดวิชาให้ฝึกให้ครบแค่ 400 ชั่วโมงหรือ 50 วันเอง ผมก็ท้วงไปจนรู้ว่าทางเจ้าหน้าที่เข้าใจผิด ผมก็เลยขอให้ฝึกถึงแค่สิ้นเดือนมันาคมทาง อ. ก็ขอประชุมกันก่อน เลยได้มติที่ประชุมให้เป็นไปตามที่ผมต้องการชั่วโมงฝึกงานก็จะได้ 480 ชั่วโมง เกินที่รายละเอียดกำหนดไว้ แล้วผมก็ฝึกงานต่อไม่ทีปัญหาอะไร จนกระทั่งโควิด 19 ระบาดหนัก ซึ่งพวกเพื่อนๆผมก็มีทั้งคนที่นั่งรถส่วนตัวมาฝึกงานเหมือนกันและคนที่นั่งรถสาธารณะมาฝึกงานก็มี ผมก็เห็นเพื่อนๆหลายคณะที่ อ. เรียกตัวกลับ บางมหาวิทยาลัยก็เรียกเด็กกลับแบบให้ผ่านฝึกงานเลย แต่ไร้การติดต่อจาร อ. ว่าจะให้กลับมั้ย จนกระทั่งวันที่ 18 มีเลยมีเพื่อนทัก อ. ไปว่ากลัวติดโรคกลัวเอาโรคไปคนที่บ้านเพราะตัวเองนั่งรถสาธารณะมาฝึกงาน สิ่งที่ อ. ตอบกลับมาเรื่องนักศึกษาฝึกงานมาให้คือ ให้ทางคณะจัดการกันตามเห็นที่สมควร อ. เลยให้เลือกว่า 1. ฝึกงานต่อ 2. ยุติการฝึกแล้วรอหลังเหตุการณ์ปกติแล้วค่อยกับมาฝึกใหม่ ซึ่งเอาจริงๆมันไม่มีใครอยากกลับมาฝึกอีกครั้งหรอกครับพวกผมก็เลยเลือกฝึกต่อจากตอนนั้นคนติดก็แค่หลักสิบ เวลาฝึกงานผมก็ 53 วันหรือ 424 ชั่วโมงซึ่งมันก็เกินกว่าที่รายละเอียดกำหนดไว้แล้ว พวกผมก็ฝึกงานกันต่อ จนมาวันจันทร์ที่ 23 มีนาคม ที่ยอดคนติดเพิ่มขึ้นเป็ยหลักร้อย เพิ่มขึ้นทุกวันๆ จน้พื่อนผมมันโพสในไลน์กลุ่มว่ากลัวมากติดกลัวเอาไปติดคนที่บ้าน อ. ก็ให้ข้อเสนอเดิมครับ ฝึกต่อหรือ รอฝึกใหม่ ซึ่งมันอีกแค่ 4 วันมันก็จะจบฝึกงานแล้วผมเลย โพสไปประมาณว่า "อ. เป็นห่วงเด็กบ้างมั้ย ผมเริ่มคิดแล้วว่า ชีวิตกับใบปริญญาอันไหนสำคัญกว่ากัน ช่วงนี้สถานการณ์มันไม่ปกติกับแค่ 4 วันยกผลประโยชน์ให้เด็กไม่ได้เลยหรอครับ " สิ่งที่ อ. ตอบมาคือ "มาฝึกที่คณะก็ได้คะ" ตอนนั้นคือ อารมณ์น้อยใจมาเต็มที่ผม
หลังผมฟังคำอธิบายจบผมเข้าใจเลยครับว่า
1. ไม่มีใครห่วงเด็กจริง ทาง อ. ก็ห่วงแต่จะโดนเล่น
2. ทางมหาลัยไม่มีความชัดเจนว่าจะ ให้เด็กกลับมาก่อนแล้วผ่านเลยมั้ย หรือพอสถานการณ์ปกติแล้วค่อยกับมาฝึกใหม่พร้อมกัน
3. อ. ผมไม่มีอะไรสักอย่างที่ แบบ เห้ยต้องเอาเด็กกลับก่อนนะชีวิตเด็กสำคัญที่สุด แล้วค่อยไปต่อสู้กับข้างบนเอา
4. ถ้าเด็กติดมาใครช่วยบ้าง อ. หรอ มหาลัยหรอ คนที่เดือนร้อนจริงๆคือ พ่อแม่ ครอบครัวผม คนรอบข้าง มันไม่ต้องรอแค่ 2 อาทิตย์ หรือ แค่ 3 วันหรอก แค่วินาทีที่มันติด ชีวิตมันก็ไม่สนุกแล้ว ทั้งที่ อ. ก็เซฟตัวเอง มหาวิทยาลัยก็เซฟตัวเอง ปิดแล้ว แต่เด็กที่ฝึกงานก็ตามมีตามเกิด
แต่ผมเข้าใจครับว่าใครก็ต้องห่วงตัวเอง ถ้าเป็นผม ผมก็คงเลือกห่วงตัวเองแหละครับ ผม
ผมไม่ได้มารีวิวแบบบอกคุณว่า ห้ามส่งลูกมาเรียนนะ อย่างนั้นอย่างนี้ ผมก็แค่มารีวิวในการเรียนให้นะครับ
ผมรู้ดีพ่อแม่ผู้ปกครองสามารถตับสินใจที่จะส่งลูกหลานมาเรียนมหาวิทยาลัยแบบนี้หรือป่าว
ผมไม่มีปัญหาเรื่องฝึกงานอยู่แล้วผมมาฝึกที่นี้เพราะผมจะมาทำงานที่นี้อยู่แล้ว จะยังไงผมก็ต้องมาต่อ แต่ความรู้สึกที่แบบว่าความเป็นห่วงมันไม่เคยเกิดขึ้นเลย
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้