ผู้ป่วยหมายเลขศูนย์ในประวัติศาสตร์

 
ไทฟอยด์แมรี่
ชื่อจริงคือ แมรี่ มัลลอว์ แมรี่อายุเพียง 15 ปีเมื่อเธอย้ายจากไอร์แลนด์มายังสหรัฐอเมริกาในปี 1884 และมาทำงานเป็นแม่บ้าน   ในปี 1906 แมรี่ได้มาทำงานเป็นแม่ครัวให้กับครอบครัววอร์เรนที่ร่ำรวย   และมีคนที่ทานอาหารเกิดป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ ซึ่งต่อมาถูกระบุว่าเป็นโรคไทฟอยด์

(โรคไทฟอยด์เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า ซัลโมเมนลลา ไทฟี่ (Salmonella typhi) ติดต่อจากคนสู่คน ผ่านการกินน้ำและอาหารที่มีเชื้อเข้าไป พอเชื้อเข้าไปในร่างกายแล้วจะยังไม่มีอาการ เพราะเชื้อมีระยะเวลาฟักตัวหลายวัน อาจจะ 1-2 สัปดาห์ หรือพูดง่ายๆว่า ผ่านไปครึ่งเดือนถึงเดือนนึงแล้วจึงจะเริ่มมีอาการ  ช่วงนี้เชื้อจะค่อยๆแบ่งตัวเพิ่มจำนวนในทางเดินอาหาร จากนั้นก็จะเข้าสู่ท่อน้ำเหลือง ก่อนจะไปถึงเลือดในที่สุด)

แมรี่ยังคงทำงานเป็นแม่ครัวให้กับอีก 8 ครอบครัว รวมทั้งครอบครัวนายธนาคารผู้ร่ำรวยชื่อ ชาร์ลส์ วอร์เรน   และเริ่มมีคนป่วยเป็นโรคไทฟอยด์เพิ่มมากขึ้น อย่างไม่ทราบสาเหตุ  จากการสืบสวนแมรี่ถูกพบว่าเป็นพาหะของไข้ไทฟอยด์ แต่เธอเองไม่ได้ป่วยเธอจึงไม่ยอมถูกกักตัว

ในปี 1907 นิวยอร์กกลายเป็นศูนย์กลางของการแพร่ระบาดของไทฟอยด์ที่ส่งผลกระทบต่อคนประมาณ 3,000 คนและผู้คนคิดว่าแมรี่เป็นศูนย์กลางการแพร่ระบาดของโรคนี้

หลังจากสองปีที่แมรีถูกบังคับให้คุมขังที่โรงพยาบาล Riverside บนเกาะ North Brother island   ในที่สุดแมรี่ก็ได้รับการปล่อยตัวและกลับไปทำงาน (ภายใต้ชื่อเท็จ) เป็นแม่ครัวในโรงพยาบาลที่นิวยอร์กอีกครั้ง และเกิดมีการระบาดของโรคไทฟอยด์ขึ้นอีกครั้ง ทำให้แมรี่ถูกจองจำอย่างถาวรอีกครั้ง เธอเสียชีวิตอย่างโดดเดี่ยวเมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน 1938 ข่าวมรณกรรมของเธอตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า " ไทฟอยด์แมรี่ "  เนื่องจากเธอเป็นสาเหตุของการติดเชื้อไทฟอยด์ใน  51 รายและมีคนเสียชีวิต 3 ราย
(เครดิตรูปภาพ: The New York American)

Frances Lewis
อหิวาตกโรคเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของประชาชนในกรุงลอนดอนในยุควิคตอเรีย ในปีพ. ศ. 2397 ในช่วงเวลาเพียง 10 วันมีคน 500 คนเสียชีวิตภายในไม่กี่ช่วงตึกในใจกลางกรุงลอนดอน คนที่ป่วยจะอาเจียนท้องเสียปวดท้องและกระหายน้ำมากและผู้ป่วยที่เริ่มรู้สึกไม่สบายอาจตายในวันนั้น

ในตอนท้ายของการแพร่ระบาดของอหิวาตกโรคมีคนตายกว่า 10,000 คน    นักวิทยาศาสตร์พยายามสืบหาต้นเหตุการแพร่ระบาดของโรคร้ายแรงที่เกิดขึ้น นี้  สุดท้ายพวกเขาก็พบผู้ป่วยหมายเลขศูนย์   จากผ้าอ้อมของเด็กเล็กอายุห้าเดือนชื่อ Frances Lewis

จอห์นสโนว์ แพทย์ในพื้นที่ได้วาดจุดที่ผู้ป่วยอหิวาตกโรคที่เสียชีวิตลงบนแผนที่ ต่อมารู้จักกันในชื่อ“ แผนที่ผี ” ในแผนที่แสดงให้เห็นว่าผู้ที่ตกเป็นเหยื่อส่วนใหญ่อาศัยอยู่ใกล้กับปั๊มน้ำบนถนนบรอดสตรีท ซึ่งเป็นที่ที่แม่ของฟรานเซส จะซักล้างผ้าอ้อมลูกทารกของเธอในถังน้ำ แล้วจึงเทลงในบ่อน้ำหน้าบ้านของเธอบนถนนบรอดสตรีท
ในสมัยวิคตอเรียนั้น ลอนดอนเป็นที่รู้จักว่าไม่มีความสะอาด  และน้ำเสียจากส้วมซึมรั่วลงสู่แหล่งน้ำในท้องถิ่น  ทำให้เกิดเป็นพิษต่อผู้อยู่อาศัยในพื้นที่นับพัน ไม่นานหลังจากนั้นการระบาดของโรคก็สิ้นสุดลง
(เครดิตรูปภาพ: Vivify)

Mabalo Lokela
การระบาดของโรคอีโบลาที่ทำลายล้างแอฟริกาตะวันตกในปี 2014 ส่งคลื่นแห่งความตื่นตระหนกไปทั่วโลก  โรคอีโบลาถือว่าเป็นโรคที่น่ากลัวที่สุดแห่งหนึ่งของศตวรรษที่ 21 อีโบลาฆ่าคนโดยการทำให้เหยื่อตกเลือด คือการที่มีเลือดออกภายใน โรคนี้เป็นโรคที่แม้กระทั่งตอนนี้เรายังรักษาไม่หายขาด
ไม่มีวัคซีนและไม่รู้ว่าที่แท้จริงแล้วทำไมมันถึงกลับมา

เหยื่อรายแรกของโลกที่มีเชื้ออีโบลาเป็นครูชื่อ  มาบาโล โลเคล่า    Mabalo อาศัยอยู่ในเมือง Yambuku ในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกและกลับมาจากการเดินทางจากทางเหนือในเดือนสิงหาคม 1976 ด้วยอาการมีไข้สูง
ในขั้นต้นแพทย์วินิจฉัยว่า  Mabalo   เป็นไข้มาลาเรีย แต่หลังจากสองสัปดาห์ของอาการที่น่าสะพรึงกลัว คือมีการอาเจียนที่ไม่สามารถควบคุมได้, หายใจลำบาก, และมีเลือดออกในตา, จมูกและปาก ต่อมาเขาก็เสียชีวิต

น่าเสียดายที่ไวรัสอีโบลาไม่ได้ตายไปกับเขาด้วย  หลายคนที่เข้ามาติดต่อกับมาบาโลในช่วงที่เขาป่วยเป็นโรคนี้ ประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์เป็นผู้คนในหมู่บ้านเดียวกับ Mabalo ได้เสียชีวิตตามกันไป และโลกอาจได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคนี้ ในขณะที่นักระบาดวิทยาผู้กล้าหาญพยายามหาวิธีที่จะหยุดยั้งไวรัสฆาตกรนี้ไม่ให้แพร่กระจาย
(เครดิตรูปภาพ: Trendyx)


ดร. หลิว Jianlin
ตลอดระยะเวลาเก้าเดือนที่ผ่านมาโรคซาร์ส (โรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง) พุ่งอย่างต่อเนื่องทั่วโลกโดยมีจำนวนผู้ป่วย  774 ชีวิตใน 37 ประเทศที่ป่วยหนัก การวินิจฉัยครั้งแรกในมณฑลกวางตุ้งของจีนในเดือนพฤศจิกายนปี 2002 โรคซาร์สได้รับการอธิบายในขั้นต้นว่าเป็น "โรคปอดบวมผิดปกติ"
ในช่วงแรก จะมีลักษณะเหมือนกับโรคไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่พัฒนาอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นโรคปอดบวมเต็มรูปแบบ  และในที่สุดการหายใจจะล้มเหลว
หลายครั้งที่กว่าจะรู้ว่าจะทำยังไงมันก็สายเกินไปที่ทำการรักษา และนี่คงถึงเวลาที่โลกเริ่มสังเกตเห็นโรคติดต่อนี้เมื่อ  ดร. หลิว Jianlin แพทย์จากมณฑลกวางตุ้งได้เข้าตรวจสอบที่โรงแรม Metropole ของฮ่องกง

มีการอธิบายไว้ในภายหลังว่ามันคือ hyperinfectious (ภาวะการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น)  ดร. หลิวเชื่อว่ามีการติดเชื้อประมาณ 12 คนที่โรงแรม Metropole การตายจะเกิดจากภาวะหายใจล้มเหลว หนึ่งใน 12 คนที่ติดเชื่อเป็นผู้หญิงชื่อ ซุยจัว-กวน  ที่อาศัยอยู่ใน Scarborough, Ontario, ได้ขึ้นเครื่องบินไปแคนาดาในสองวันก่อนโดยหลังของเธอชนกับดร. หลิวด้วย  นั่นทำให้เชื่อแพร่กระจายไปทั่วโลก   
เครดิตภาพ: องค์การอนามัยโลก


Edgar Enrique Hernandez
“ Kid Zero” อาจฟังดูเหมือนชื่อของฮีโร่  แต่จริงๆแล้วมันเป็นชื่อเล่นของมนุษย์คนแรกที่ติดเชื้อไข้หวัดหมู เอ็ดการ์ เอ็นริเกเฮอร์ นันเดซ วัยสี่ขวบจากเม็กซิโกได้ถูกทำการทดสอบในเชิงบวกต่อไข้หวัดหมูสายพันธุ์ H1N1 ในเดือนมีนาคม 2552   ซึ่งไม่นานภาพถ่ายใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสของเขาอยู่ในหน้าแรกของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ

ในบ้านเกิดของเอ็ดการ์เมืองชนบทของเมืองลา-กลอเรีย   มีคนหลายร้อยคนล้มป่วยลงในเวลาไม่กี่สัปดาห์และมีเด็กสองคนเสียชีวิต จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลกระบุว่า H1N1 ก่อให้เกิดการเสียชีวิตมากกว่า 18,000 คนเฺฉพาะในเดือนมกราคม 2559

ชาวเมืองลา-กลอเรียหลายคนกล่าวโทษฟาร์มหมูในบริเวณใกล้เคียงเป็นตัวการของการระบาดของโรค คนบางกลุ่มยังแสดงให้เห็นว่าเชื้อ H1N1 นั้นเกิดขึ้นในหมู 
แม้ว่าจะยังไม่มีการยืนยันว่าเอ็ดการ์เป็นมนุษย์คนแรกที่ติดเชื้อไข้หวัดหมูสายพันธุ์ H1N1หรือไม่   แต่เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นของลา-กลอเรีย (La Gloria) ได้สร้างรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ของเอ็ดการ์โดยไม่คำนึงถึงความสมควรหรือไม่ เพื่อพยายามให้เมืองเป็นที่น่าสนใจแก่นักท่องเที่ยวให้มาที่เมืองนี้ที่มีชื่อเสียงว่ากำเนิดไข้หวัดหมู
เครดิตรูปถ่าย: The Washington Post


Emile Ouamouno
การระบาดที่รุนแรงที่สุดของอีโบลาที่เกิดขึ้นในโลกในปี 2014 และอ้างว่ามีผู้เสียชีวิตกว่า 5,000 คนในหนึ่งปี และเมื่อถึงมกราคม 2559 มีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้มากกว่า 11,000 คนซึ่งมากกว่าการระบาดอีโบลาครั้งอื่นๆถึงห้าเท่า

ผู้ป่วยคนแรกที่ติดเชื้อไวรัสร้ายแรงนี้เชื่อว่าคือ  Emile Ouamouno เด็กชายอายุสองขวบ ที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านห่างไกลที่อยู่ลึกเข้าไปในเขตป่ากินี การตายของเอมิล  เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว  และมีการติดเชื้อต่อๆไปจากพี่สาวอายุสามขวบของเขา (ฟิโลมีเน)  แม่  ยายและคนอื่น ๆ เกือบทั้งหมู่บ้าน มันเป็นเวลาหลายเดือนก่อนที่อีโบลาจะได้รับความสนใจจากทั่วโลกถึงความรุนแรงของโรค

ไวรัสอีโบลาแพร่กระจายง่ายดายอย่างไม่น่าเชื่อ  ข้ามพรมแดนของกินีไปยังเซียร์ราลีโอนและไลบีเรีย ตามรายงานของวารสารการแพทย์ของนิวอิงแลนด์นักระบาดวิทยาที่ติดตามเชื้อไวรัสอีโบลาในปี 2014   ไม่สามารถบอกได้ว่าเด็กวัยหัดเดินนั้นติดเชื้อได้อย่างไร ทฤษฎีที่แพร่หลายมากที่สุดคือโรคแพร่กระจายไปยังมนุษย์จากค้างคาวผลไม้ท้องถิ่น 
เครดิตภาพ: ข่าวเบลล์


Gaetan Dugas
ผู้ป่วยหมายเลขศูนย์ที่น่าอับอายที่สุดคือผู้ชายที่ชื่อ Gaetan Dugas เขาเป็นแอร์โฮสเตสของสายการบินแอร์แคนาดา  และได้รับการยอมรับจากนักวิทยาศาสตร์ในช่วงปลายทศวรรษ 1970 ว่าเป็นบุคคลแรกที่นำการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ไปยังสหรัฐอเมริกา

เรื่องของดูกาสถูกเขียนโดยนักข่าวของหนังสือพิมพ์แรนดี้ชิลท์ในปี 1987  เมื่อหนังสือพิมพ์นิวยอร์กเปิดตัวหนังสือเล่มใหม่ได้โพสต์เรื่องราวด้วยหัวข้อ
“ คนที่ทำให้เราเป็นเอดส์ ” โดยเชื่อมโยงชื่อของ Gaetan Dugas กับการแพร่ระบาดของเอชไอวีหริอโรคเอดส์

อย่างไรก็ตาม  นักวิทยาศาสตร์คิดว่าว่ามันไม่น่าเป็นไปได้ที่  Gaetan Dugas  เป็นผู้ป่วยหมายเลขศูนย์ในการแพร่ระบาดของเอชไอวี / เอดส์ เพราะจากการศึกษาทางพันธุกรรมโดยใช้ตัวอย่างเลือดที่เก็บไว้จากชายรักร่วมเพศในช่วงปลายศตวรรษ 1970 ได้ข้อสรุปว่าไวรัสอาจอยู่มาก่อนที่นิวยอร์กซิตี้ในปี 1970 นี้แล้ว และเชื่อมโยงกับไวรัสที่มีอยู่แล้วในเฮติและประเทศแคริบเบียนอื่น ๆ 
เครดิตรูปภาพ: The Toronto Star

ผู้ป่วยหมายเลขศูนย์ MERS
การแพร่ระบาดของโรค MERS (โรคระบบทางเดินหายใจตะวันออกกลาง) ในเกาหลีใต้ได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการในเดือนกรกฎาคม 2558 หรือที่เรียกว่า“ ไข้หวัดอูฐ”
โรคระบบทางเดินหายใจที่ร้ายแรงนี้ถูกตรวจพบครั้งแรกในซาอุดิอาระเบียและคาดว่ามาจากค้างคาว ไม่มีใครรู้ถึงตัวตนของเหยื่อรายแรกของ MERS ในซาอุดิอาระเบีย แต่เมื่อไวรัสมาถึงเกาหลีใต้ทำให้เกิดการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงซึ่งคร่าชีวิตผู้คนไป 36 คน ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายกับโรคหวัด เช่นมีไข้ 
มีการไอหรือหายใจไม่สะดวก ร้ายแรงมากๆจะปอดบวมและไตวาย

ผู้ป่วยหมายเลขศูนย์ในการระบาดของโรคเมอร์ส MERS ของเกาหลีใต้  ก่อนหน้านั้นได้ขอความช่วยเหลือทางการแพทย์จากอาการไอ  และมีไข้สูงเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2015 ที่คลินิกในบ้านเกิดของเขาใน Asan ทางตอนใต้ของกรุงโซล   แพทย์ได้ช่วยเหลือผู้ป่วยในช่วงสี่วันแต่ก็สายเกินไป

ต่อมาในวันที่ 20 พฤษภาคมมีผู้ป่วยมาขอความช่วยเหลือที่ศูนย์การแพทย์ในกรุงโซล และเปิดเผยว่าเขาเพิ่งกลับมาจากซาอุดิอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์   ในที่สุดเขาได้รับการวินิจฉัยอย่างถูกต้องแต่ด้วยไวรัสที่ติดต่อได้ง่าย จึงมีคนติดเชื้อนี้อีกสองคนที่ใช้ห้องร่วมกันในโรงพยาบาล  รวมทั้งหมอจำนวนหนึ่งที่ใช้วอร์ดในโรงพยาบาลและญาติที่ไปเยี่ยม

มีกรณียืนยันคนเป็นโรค  MERS 186 รายในเกาหลีใต้ และผู้คนหลายพันคนถูกกักกันในความพยายามที่จะหยุดการแพร่กระจายของไวรัส  
เครดิตภาพ: dna

ขอขอบคุณที่มาทั้งหมด
Cr.https://listverse.com/2016/06/29/10-people-who-were-the-patient-zero-of-a-deadly-epidemic/
Cr.https://writer.dek-d.com/cammy/story/viewlongc.php?id=486572&chapter=820
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
Albert Gitchell



การระบาดของโรคร้ายแรงโดยไวรัสที่น่ากลัว ไม่ว่าจะเป็นกาฬโรค อหิวาตกโรค อีโบล่าและไทฟอยด์ รวมถึงไข้หวัดใหญ่สเปนก็เป็นหนึ่งในโรคระบาดที่ร้ายแรงที่สุดที่โลกเคยพบเห็น  และมีผู้เสียชีวิตในระหว่าง 20 ถึง 40 ล้านคน
ในปี พ.ศ. 2461 มีคนจำนวนมากในโลกที่ถูกครอบงำจากสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง  ไข้หวัดสเปนแพร่กระจายอย่างเงียบ ๆ จากคนหนึ่งสู่อีกคนหนึ่งในที่สุดติดเชื้อถึงหนึ่งในสามของประชากรโลก

ทุกอย่างเริ่มต้นในวันจันทร์ที่ 11 มีนาคม 1918 ด้วยอาการไอของ  Albert Gitchell พ่อครัวปรุงอาหารที่ฐานทัพสหรัฐฯ ในฟอร์ตไรลีย์รัฐแคนซัส หน่วยแพทย์ทหารรู้ว่าไวรัสสามารถแพร่กระจายอย่างรวดเร็วจึงทำการกักกัน Gitchell ทันที แต่มันก็สายเกินไป  Gitchell ทำอาหารเย็นให้กับทหารหลายร้อยคนที่ประจำการที่ค่ายในคืนก่อน และเที่ยงวันถัดมาทหารกว่า 100 นายก็ป่วย

เกือบครึ่งหนึ่งของทหารเสียชีวิตและไข้หวัดใหญ่ก็แผ่ขยายออกไปราวกับไฟป่าทั่วทั้งสหรัฐอเมริกาและยุโรปข้ามแนวรบและไปยังส่วนอื่น ๆ ของโลก
เครดิตภาพ: พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์สุขภาพและการแพทย์แห่งชาติโอทิส



Goodwoman Phillips




ฟิลลิปไม่ใช่คนแรกที่ตายจากโรคกาฬโรคและเธอก็ไม่ใช่คนสุดท้าย ในความเป็นจริงโรคระบาดนี้เกิดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน 2537 มีผู้เสียชีวิต 55 คนในอินเดีย
Goodwoman Phillips เป็นผู้ป่วยหมายเลขศูนย์เนื่องจากเธอเป็นบุคคลแรกที่เสียชีวิตจาก "โรคระบาด" อย่างเป็นทางการในช่วง Great Plague of London ในปี ค.ศ. 1665-66 ต้องขอบคุณผลงานของจอห์น เกรนท์มานแห่งลอนดอน  ที่จับตามองสถิติการเสียชีวิตจากโรคกาฬโรคและได้ทำการบันทึกอย่างละเอียดไว้

จากการบันทึกทั้งหมดบอกว่ามีผู้เสียชีวิตจากโรคระบาดมากกว่า 68,000 คน  อยู่ในเมืองประมาณ 450,000 คนซึ่งมากกว่าร้อยละ 15 ของประชากร  การระบาดใหญ่ในกรุงลอนดอนมีเหตุการณ์เกิดขึ้นสองอย่างคือ  การปรากฏตัวของดาวหางในท้องฟ้าเหนือลอนดอน และพิธีราชาภิเษกของกษัตริย์ชาร์ลส์ที่สอง

ดาวหางถูกมองว่าเป็นลางร้ายที่จะนำมาซึ่งจุดจบ  ในขณะที่โรคระบาดถูกลือกันว่าพิธีราชาภิเษกเป็นสัญญาณว่ากษัตริย์องค์ใหม่ไม่ได้รับความโปรดปรานจากพระเจ้า   เวลาผ่านไปตอนนี้เรารู้แล้วว่าการระบาดครั้งใหญ่ Great Plague ในกรุงลอนดอนเป็นผลมาจากสภาพความเป็นอยู่ที่ไม่สะอาด ซึ่งทำให้ผู้คนใกล้ชิดกับหนูและหมัดที่ทำให้ติดเชื้อระบาด
เครดิตรูปภาพ: BBC

ขอบคุณที่มา
Cr.https://listverse.com/2016/06/29/10-people-who-were-the-patient-zero-of-a-deadly-epidemic/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่