JJNY : 4in1 สมคิดจี้จัดการงบฯ63/ก้าวไกลปัดขวางพ.ร.ก.ฉุกเฉิน/หมอเลี้ยบท้วงการคำนวณตัวเลขผู้ป่วย/แบงก์ชาติหั่นศก.-5.3%

“สมคิด”จี้นายกฯจัดการงบฯ63ก่อนออกพรบ.เงินกู้
https://www.innnews.co.th/politics/news_629326/
 

 
นายสมคิด เชื้อคง รองประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน  (วิปฝ่ายค้าน) กล่าวถึงการที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ออกพระราชกำหนดบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) เพื่อสกัดการแพร่ระบาดของไวรัสโควอด-19 ว่า 
 
ออกพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯในช่วงเวลานี้เหมาะสมหรือไม่คงตอบยาก เพราะพ.ร.ก.ฉุกเฉินมีไว้ในการประกาศเพื่อรักษาความสงบของประเทศเมื่อเกิดเหตุการณ์วุ่นวาย แต่กรณีนี้คือเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ พล.อ.ประยุทธ์ควรประกาศมาตรการเป็นมติ ครม.จะเหมาะสมกว่า เพราะจะได้รับผิดชอบร่วม การออก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เห็นชัดเจนว่าพล.อ.ประยุทธ์ต้องการรวบอำนาจเองไว้ทั้งหมด ซึ่งถ้าหากรัฐมีการบริหารจัดการที่ดี ก็สามารถพาประเทศฝ่าวิกฤติได้
 
นอกจากนี้กรณีที่รัฐบาลเตรียมจะออกพระราชบัญญัติกู้เงิน หรือ พ.ร.บ.กู้เงิน ประมาณ 500,000 ล้านบาท ต้องระมัดระวัง ดังนั้นก่อนที่จะออกพ.ร.บ.เงินกู้อยากให้พล.อ.ประยุทธ์ไปบริหารจัดการงบประมาณปี 2563 ให้ได้ก่อน ไม่ได้ห้ามไม่ให้กู้เงินแต่ขอเป็นทางเลือกสุดท้าย รัฐบาลควรเลือกที่จะตัดงบประมาณที่เป็นไขมัน เช่น การจัดซื้อเรือดำน้ำ ลำที่ 2 และ 3 ไว้ก่อน ตัดงบซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ รวมทั้งชะลอโครงการที่ยังไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนเพื่อนำเงินส่วนนั้นมาช่วยเหลือประชาชนที่มีความจำเป็นในการใช้เงินในช่วงนี้ ยืนยันว่าเงินมีแน่นอน ขึ้นอยู่กับบริหารจัดการ ต่อให้มีพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ก็แก้ไม่ได้ เพราะการบริหารจัดการของรัฐบาลมั่วไปหมด ปัญหาของการแก้ไขปัญหาการระบาดของไวรัสโควิด-19 ไม่สำเร็จก็มาจากการบริหารจัดการของรัฐบาลที่ไร้ประสิทธิภาพ
 

 
"ก้าวไกล" ปัดขวางพ.ร.ก.ฉุกเฉิน แค่ขอให้ตรงจุดคุมเคลื่อนย้ายคน
https://www.matichon.co.th/covid19/news_2089475
 
“ก้าวไกล” ปัดขวาง พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ชี้ แค่ขอให้ใช้ตรงจุด คุมเคลื่อนย้ายคน-ประชากร แก้โควิด-19 ย้ำ ขออย่าปิดกั้นการรับรู้ข้อมูลข่าวสารปชช.
 
เมื่อวันที่ 25 มีนาคม นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร โฆษกพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีมีการวิพากษ์วิจารณ์แถลงการณ์พรรคก้าวไกลต่อ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่รัฐบาลประกาศใช้เพื่อควบคุมโรคโควิด-19 ว่า กระแสข่าวที่ระบุว่าเราไปห้ามการประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการฯ นั้นไม่จริง จุดประสงค์ที่เราสื่อสารไปคือการใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการฯ ของรัฐบาล ต้องใช้ให้ตรงจุดในการแก้ปัญหาโรคโควิด-19 อย่างแท้จริง เพราะเรื่องนี้สะท้อนว่าการแก้ปัญหาของรัฐบาลที่ผ่านมาขาดประสิทธิภาพ ไม่ใช่เพรากฎหมายอ่อนเกินไป มีข้อจำกัดทางกฎหมาย หรืออำนาจรัฐมนตรีที่อ่อนเกินไป เพราะมีกฎหมายหลาย เช่น พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ ที่เพียงพอที่จะควบคุมได้อยู่แล้ว แต่รัฐบาลดูเบาและประเมินสถานการณ์ต่ำมาโดยตลอด ตั้งแต่ที่บอกว่าโรคไวรัสโคราน่าเป็นโรคไข้หวัดชนิดหนึ่ง การประกาศยกเลิก Visa on Arrival ที่ช้าเกินไป ไม่มีมาตรการควบคุมคนที่มาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง เป็นต้น
 
นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า นอกจากนั้นการสื่อสารของรัฐบาลขาดประสิทธิภาพ โดยเฉพาะวันที่ผู้ว่า กทม. ประกาศปิดห้างในพื้นที่ กทม. แต่โฆษกรัฐบาลออกมาบอกว่าไม่ปิด เรื่องการสื่อสารเพื่อสร้างความเชื่อมั่นมีปัญหา การคิดแก้ปัญหาเป็นแบบช็อตต่อช็อต ไม่ได้คิดถึงผลกระทบที่จะตามมา ไม่ได้มองฉากทัศน์ของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น การสั่งหยุดกิจกรรมต่างๆ ไม่ได้คิดถึงประชากรแฝงใน กทม. ที่ไม่มีงานทำก็ต้องกลับบ้าน เมื่อเกิดเหตุหน้าสิ่วหน้าขวานก็ต้องอยากกลับภูมิลำเนาอยู่แล้ว ส่งผลให้ตัวเลขการติดเชื้อในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้น เรื่องนี้ไม่ใช่รัฐบาลไม่มีอำนาจ ตามกฎหมาย หรือกฎหมายไม่มีประสิทธิภาพ แต่เกิดขึ้นเพราะรัฐบาลประเมินสถานการณ์ต่ำเกินไป
 
นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า วันนี้ พ.ร.ก.บริหารราชการฯ เป็นสิ่งจำเป็น แต่รัฐบาลต้องเปลี่ยนมุมมองต่อสถานการณ์ปัญหา และให้ความจริงจังกับปัญหาให้มากขึ้น ลำพังแค่มี พ.ร.ก. แต่วิธีแก้ปัญหายังเป็นเหมือนเดิม หรือไม่เคยคิดว่าตัวเองผิดพลาด และถอดบทเรียนที่ผ่านมา ถึงมี พ.ร.ก.ก็อาจจะแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะปัญหาอยู่ที่การบริหารจัดการ ที่ต้องเข้มงวดขึ้น ประเด็นต่อมาคือตัว พ.ร.ก.ให้อำนาจกว้างขวางจนประชาชนอาจถูกละเมิดสิทธิเสรีภาพเกินควร ถ้ารูปแบบการใช้ พ.ร.ก. ไม่เฉพาะเจาะจงเฉพาะการแก้ปัญหาโรคโควิด-19 เพราะเจ้าหน้าที่ไม่ต้องรับผิดชอบทั้งทางแพ่งและอาญา ถ้ากรอบความคิดของรัฐบาลไม่เปลี่ยน แต่กฎหมายให้อำนาจอย่างมากโดยไม่รับผิดชอบ ถ้าวิธีการแก้ปัญหาผิดภายใต้อำนาจที่มากจะส่งผลเสียมากกว่า
 
อยากให้ พ.ร.ก.บริหารราชการฯ ควบคุมการเคลื่อนย้ายคน เคลื่อนย้ายประชากร เท่านั้น เราวิงวอนว่า อย่าใช้ พ.ร.ก. ในการปิดกั้นการรับรู้ข่าวสารของประชาชน อย่าใช้ พ.ร.ก. ในการทำให้ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลที่เขาควรรู้ได้ และเราไม่ได้ขัดขวางการใช้ พ.ร.ก.เลย” นายวิโรจน์ กล่าว
 
เมื่อถามถึงกรณีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคเพื่อไทย (พท.) ส่งหนังสือถึงพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ให้ตรวจสอบสนามมวยลุมพินี ที่ไม่ให้ความร่วมมือในการงดจัดการแข่งขันจนเกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเจ้าของสนามมวยคือ กองทัพบก ว่า กรณีสนามมวยเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ถ้าฟื้นฝอยหาตะเข็บก็อาจไม่มีประโยชน์ แต่จะไม่พูดถึงเลยก็ไม่ได้ เพราะเราจะลืมเลยว่าที่มาของการแพร่ระบาดคืออะไร ซึ่งเราสามารถร้องขอความร่วมมือจากกองทัพบกในหลายมิติ ในฐานะที่ซูเปอร์สเปรดเดอร์ มาจากสนามมวยลุมพินี รามอินทรา พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. แทนที่จะไปฉีดน้ำยาล้างเมือง อยากให้ปรึกษากับกรมควบคุมโรคว่าเรื่องนี้ได้ผลจริงหรือไม่ หรือยินดีจะโอนงบจัดซื้อยุทโธปกรณ์ หรืองบประมาณในการเกณฑ์ทหาร มาช่วยโรคโควิด-19 ดีหรือไม่ ซึ่งเรื่องการเกณฑ์ทหารใช้การรับสมัคร เพื่อคงสภาพกองทัพจะเป็นเรื่องดีกว่า
 
ถ้าต้องเรียกเกณฑ์กำลังพล 1 แสนนาย โอกาสการระบาดในค่ายทหาร ที่เราเชื่อว่าน่าจะปลอดภัยสูงน่าจะไม่ปลอดภัยแล้ว การเกณฑ์ทหารจึงไม่จำเป็นและน่าจะมีความเสี่ยงมากกว่า วันนี้กลุ่มไอซิสยังประกาศหยุดก่อการร้าย เพราะวันนี้เรื่องความมั่นคงไม่ใช่เรื่องการทหารแล้ว แต่เรื่องความมั่นคงอยู่ที่การสาธารณสุข ถ้าอยากรับผิดชอบกรณีสนามมวย ขอให้โอนงบประมาณมาช่วยตรงนี้ดีกว่า อีกทั้งการใช้ค่ายทหาร มาเป็นโรงพยาบาลสนาม น่าจะมีความพร้อมมากที่สุด” นายวิโรจน์ กล่าว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่