Day 1
และแล้วก็ถึงเวลาที่พวกเรานัดหมาย
ออกเดินทางด้วยกันอีกครั้ง ...
ทริปนี้ปลายทางคือ
ภูมิภาคตอนกลางใต้ของประเทศจีน
เป็นทริปเดินทางควบสองมณฑล /
หนึ่งคือ มณฑลหูหนาน
และอีกหนึ่งคือ มณฑลกว่างซีจ้วง ...
สายการบินที่เวลาเหมาะที่สุดและถูกที่สุด
สำหรับพวกเราในครั้งนี้ คือ ไทยไลอ้อนแอร์ ...
ที่จะพาเราลงจอดที่เมืองฉางซา ช่วงบ่ายวันนี้ ...
พวกเราเลือกเดินทางด้วยรถ shuttle bus จากสนามบินฉางซา เข้าไปที่พัก
พอรับกระเป๋าเสร็จแล้วเดินออกมา ให้เลี้ยวขวาเดินตามทางไปฝั่งอาคารผู้โดยสารในประเทศ
เดินไปเรื่อยๆ จะเห็นที่ขายตั๋วรถบัสสนามบิน อยู่ทางซ้านมือ
เดินเข้าไปต่อคิวแล้วก็แจ้งพนักงานได้เลยว่า จะขอซื้อตั๋วรถไปลงสถานีรถไฟ
ตอนที่พวกเราไป (พฤศจิกายน 2019) ตั๋วราคา 18 หยวน
แล้วก็ไปขึ้นรถหน้าสนามบิน ไปลงในเมืองที่สถานีสุดท้ายเลย ...
ผ่านไปประมาณชั่วโมงหนึ่ง รถบัสก็มาจอดส่งด้านหน้าโรงแรม Hunan Aviation ซึ่งเป็นป้ายสุดท้าย
จากตรงนี้ พวกเราตัดสินใจเรียกแท็กซี่ไปส่งที่โรงแรมเพราะขี้เกียจลากกระเป๋าไปสถานีรถไฟ
พอเอาที่อยู่โรงแรมให้คนขับแท็กซี่ดู พี่เขาก็บอกไม่ไป
ให้พวกเราเดินไปเรียกรถเอาในซอยข้างหน้า ...
รอไม่นาน ก็เรียกรถได้ ...
เป็นแท็กซี่มิเตอร์ สบายใจกดมิเตอร์กันไป ค่ารถประมาณ 10 หยวน
สำหรับที่พัก 2 คืน ที่ฉางซา พวกเราพักที่ ฮุยยู้ เมซอง โฮเต็ล
เป็นโรงแรมที่ทำเลดี อยู่ติดถนน อยู่ใกล้ๆ สถานนีรถไฟฟ้าใต้ดิน Nanmenkou Station
และไม่ไกลจากถนนคนเดินไท่ผิง
แม้จะคุยกันคนละภาษา แต่พนักงานก็ดูแลดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ที่พักสบาย
ไปเที่ยวกับมาก็หายเหนื่อย ...
ภายในห้องพักสะอาด ทันสมัย กว้างขวางพอสมควร อุปกรณ์ภายในห้องพักก็ครบครัน
เหมาะกับราคาคืนละประมาณ 1000 กว่าบาท
เช็คอิน เก็บของเรียบร้อย ท้องก็ร้องหิว .. ก็ปาเข้าไปเกือบ 4 โมงเย็นละนี่
ถึงเวลาไปเดินเที่ยว หาของกินแถวถนนคนเดินกันแล้ว

จากหน้าโรงแรม พวกเรากดแผนที่ดู โดยใช้แอพฯ maps.me ที่บอกทางได้ตรงกว่า Google map
โดยแผนที่บอกให้พวกเราเดินผ่านเข้าไปในตรอกเล็กๆ ที่มีของขายสองข้างทาง
ทั้งของกินที่ปรุงแล้ว และของสด ซึ่งเวลาไปเที่ยว พวกเราชอบบรรยากาศแบบโลคอลแบบนี้มากกว่า
ติดกับถนนคนเดินย่านสถานีรถไฟอู่ยี้ สแควร์
ก็จะเป็นตรอกร้านค้าเก่าแก่ประจำเมืองฉางซา ชื่อว่า ไท่ผิง สตรีท ...
ซึ่งมีผู้คนเดินกันเต็มไปหมด คึกคักมากๆ
และเย็นนี้ พวกเราคงต้องฝากท้องกันที่นี้แหละ ...
เริ่มจากร้านบะหมี่เล็ก ราคาย่อมเยากันก่อนเลย ...
พวกเราลองสั่ง ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ที่คลุกกับเครื่องปรุงพริกต่างๆ
ไม่มีเนื้อสัตว์ มีแต่เส้นกับผักนิดหน่อย ราคาประมาณ 10 หยวนต่อถ้วย
กินๆ ไป จะมีรสเผ็ดติดปลายลิ้นนิดๆ แต่ไม่เหมือนหม่าล่า ... ก็พอกินได้
ตรงข้ามร้านก๋วยเตี๋ยว เห็นร้านนึง มีคนยืนรอเข้าคิวอยู่เต็มหน้าร้าน
พวกเราเลยเข้าไปดู เห็นหลายคนเขาสั่งไส้กรอกทอดกัน เลยสั่งมาลองดูบ้าง
ก่อนมาก็ได้อ่านรีวิวทั้งของคนไทยและต่างชาติว่า ถ้ามาตรอกไท่ผิงต้องลองกินไส้กรอกทอดนี้ดู
พอกัดเข้าไปเนื้อของไส้กรอกจะมีรสชาติคล้ายๆ กับหมูแดดเดียวนิดๆ กุนเชียงหน่อยๆ
แต่มีผลพริกคล้ายหม่าล่าโรยมาด้วย อร่อยดี ราคาไม้ละ 13 หยวน
อาหารที่ขึ้นชื่อว่า มาถึงฉางซาแล้วต้องกินเลย ก็คือ เต้าหู้เหม็น
ตามรีวิวบอกว่า ถึงแม้ว่าจะหากินได้ทั่วไปในจีน แต่ที่ขึ้นชื่อเลยจะมีที่ ปักกิ่ง ไต้หวัน และก็ที่ฉางซานี่แหละ
พวกเราเลยเลือกร้านที่คนเยอะที่สุด ถึงแถวจะยาว แต่มันต้องลอง...
ซึ่งพอกัดไปแล้ว ... ไม่สามารถบรรยายรสชาติได้ แต่ถ้าใครได้มา อยากให้ลองชิมดู
แล้วมาเล่าให้เราฟังหน่อยยะครับ ว่าคุณชอบหรือเปล่า ^^
เอาละครับ อร่อยไม่อร่อย ก็ขอจบวันแรกของการเดินทาง
ไว้แบบเอาให้ท้องอิ่มไว้ก่อนก็แล้วกัน พรุ่งนี้ว่ากันใหม่ครับ
เอาละครับ อร่อยไม่อร่อย ก็ขอจบวันแรกของการเดินทาง ไว้แบบ เอาให้ท้องอิ่มไว้ก่อนก็แล้วกัน พรุ่งนี้ว่ากันใหม่ครับ
สำหรับสรุปค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทางวันแรก (แบบเฉลี่ยต่อคน)
ผมทำสรุปไว้ให้อยู่ในรูปข้างล่างนี้นะครับ

ถ้าอยากชมบันทึกการเดินทางแบบวีดีโอ สามารถชมได้ทางช่องยูทูป CrossCutting Journey ในลิ้งค์ข้างล่างนี้เลยครับ
แล้วถ้าชอบ อย่าลืมกดติดตามช่อง กดไลค์ กดแชร์ พิมพ์คอมเมนต์ทักทายมาเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ ^^ ขอบคุณครับ
Day 2
หนึ่งวันเต็มในฉางซาวันนี้ ภารกิจแรก คือ ไปซื้อตั๋วรถบัสเพื่อเดินทางต่อไปเมืองอู่หลิงหยวนในวันพรุ่งนี้ ...
พวกเราเดินผ่านตรอกขายของ แวะซื้อปาท่องโก๋ขนาดยาว กินรองท้องก่อนเดินไปขึ้นรถไฟใต้ดินที่สถานี Nanmemkou
โดยจะไปลงที่สถานี Wangchengpo ซึ่งอยู่ติดกับ West Bus Station ที่ขายตั๋ว
การซื้อตั๋วรถไฟนั้นก็คล้ายๆ กับ MRT บ้านเรา ก่อนอื่นก็เปลี่ยนหน้าจอเป็นภาษาอังกฤษก่อน
แล้วเลือกสายของรถไฟ อย่างกรณีที่สถานีรถไฟปลายทางที่เราจะไปอยู่ Line 2 ก็กดเลือก Line 2
แล้วเลือกสถานี จากนั้นก็กดจำนวนตั๋ว หน้าจอก็จะบอกราคาต่อตั๋ว และยอดรวมมา แล้วก็ใส่เงินไป
ก็จะได้เหรียญที่เป็นชิพมา สำหรับแตะทางผ่านเข้าสู่ชานชาลา

พอลงที่สถานี Wangchengpo แล้วก็เดินตามทางไป West Bus Station ได้เลย
สำหรับการไปซื้อตั๋วก็สังเกตที่ป้าย Ticket Hall แล้วมองหาป้ายไฟใหญ่ที่บอกตารางรถ
ตรงนั้นจะเป็นช่องขายตั๋ว เข้าไปซื้อช่องไหนก็ได้ แล้วก็บอกพนักงานว่า ไปอู่หลิงหยวน
วันพรุ่งนี้ กี่ใบก็ว่าไป เขาจะโชว์หน้าจอให้ดู วันที่เดินทาง เวลาเดินทาง แล้วก็ยอดรวม
แล้วก็เสร็จ ได้ตั๋วมาแล้วเรียบร้อย ...
เอาละ เสร็จภารกิจสำคัญ ก็ถึงเวลาไปเที่ยว / เอาละ ไปเดินเล่นกันที่เย้ลู้ ชาน หรือ เขาเย้วหลู้ (Yuelu Mountain)
กด maps.me และ google translate หาทางกันไป
ตั้งแต่เช้ากินแค่ปาท่องโก๋ นี่ก็เที่ยงละ เริ่มจะหิว
แวะร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางก่อนเลย ... สั่งบะหมี่น้ำแบบหูหนาน ใส่หมูด้วย ชามละ 10 หยวน
อร่อยกว่าร้านเมื่อวานเยอะเลย เหะเหะ
ท้องอิ่มแล้ว ก็ถึงเวลาเดินต่อ ...
วันนี้ ตั้งใจเดินอย่างหนัก เดี๋ยวต้องไปขึ้นเขาอีก จะไหวหรือเปล่า?

ภูเขาเย้ลู้ เป็นภูเขาที่ตั้งอยู่กลางเมือง ติดกับแม่น้ำเซียงเจียง เลยเป็นจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงมาแต่โบราณ
ภายในภูเขาจะมีสถานที่สำคัญหลายแห่ง ทั้งป้อม ศาลาเก่าแก่
และมหาวิทยาลัยเย้หลู่ที่มีอายุกว่าพันปี
พวกเราเริ่มเส้นทางเดินเท้าจากประตูทิศตะวันออก เพื่อจะไปลงประตูทางทิศใต้
ปรากฎว่าเห็นคนจีนพาครอบครัว พาลูกหลานมาเดินเล่นกันเยอะเลย
สำหรับคนที่ไม่ชอบเดิน หรือ อยากจะเดินแค่บางช่วง ก็สามารถใช้บริการรถชัตเตอร์ หรือรถราง ราคาเริ่มต้นที่ 20 หยวน
รวมถึงนั่งกระเช้าขึ้นไปด้านบนได้ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ 30 หยวนต่อคน
แต่ทริปนี้ พวกเราตั้งใจแล้วว่าจะมาเดิน ก็ต้องเดินให้ได้ ซึ่งจะใช้เวลาเดินประมาณ 2 ชั่วโมง
จากประตูทิศตะวันออก ไปถึงประตูทิศใต้ ... ประหยัดด้วย และได้ซึมซับธรรมชาติเต็มที่

ป้ายระหว่างเส้นทางเดินบนเขา Yuelu ระบุว่า การท่องเที่ยวจีนจัดอันดับให้สถานที่แห่งนี้ อยู่ในระดับ 5A เลย
โดยเฉพาะช่วงที่ใบไม่เปลี่ยนสีจัดๆ ซึ่งช่วงเวลาที่พวกเราไป คือกลางเดือนพฤศจิกายน เราพอจะเห็นใบไม้สีแดง สีส้มอยู่บ้าง
แต่ยังไม่มากเท่าที่เห็นในรูปโปนชัวร์การท่องเที่ยวของจีน
ตอนที่เดินอยู่นั้น อากาศช่วงกลางวันอยู่ที่ 25-26 องศา ก็ถึงว่าเดินได้ ไม่ร้อนไม่หนาวเกินไป
แต่ถ้าเย็นกว่านี้อีกหน่อยน่าจะดีนะ ...
บนเขาเย่วหลู้ มีรายละเอียดเรื่องราวประวัติศาสตร์มากมายหลายยุค
แต่ที่น่าสนใจคือ อนุสรณ์สถานที่ระลึกถึงการต่อสู้และได้ชัยชนะ
ของชาวฉางซาต่อทหารญี่ปุ่นกว่า 180,000 นายที่มาบุกรุก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
และยังมีถ้ำ ที่ใช้เป็นศูนย์บัญชาการทางทหารอีกด้วย

แต่ที่พวกเราตั้งใจจะไปชมที่สุด คือ Aiwan Pavillion หรือศาลาพักผ่อนชมใบไม้เปลี่ยนสี ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของจีน
ซึ่งอยู่ใกล้กับประตูทิศใต้ และเป็นจุดสุดท้ายที่เราจะเยี่ยมชมในเขาเย่วหลู้แห่งนี้

หลังจากใช้เวลาเดินบนเขากว่า 3 ชั่วโมง จนอ่อนแรง
แต่แสงอาทิตย์ยังไม่ลับฟ้า เรายังมีเวลาไปเดินตามหารูปปั้นวัยหนุ่ม
ของท่านประธานเหมากันที่เกาะส้มต่อ
(อ่านต่อในคอมเมนต์ด้านล่างนะครับ)
เที่ยวจีนฤดูใบไม้ร่วง 14 วัน ตอนที่ 1: ฉางซา กับบันทึก 34,000 ก้าวเดิน Changsha, Hunan, China
Day 1
และแล้วก็ถึงเวลาที่พวกเรานัดหมาย
ออกเดินทางด้วยกันอีกครั้ง ...
ทริปนี้ปลายทางคือ
ภูมิภาคตอนกลางใต้ของประเทศจีน
เป็นทริปเดินทางควบสองมณฑล /
หนึ่งคือ มณฑลหูหนาน
และอีกหนึ่งคือ มณฑลกว่างซีจ้วง ...
สายการบินที่เวลาเหมาะที่สุดและถูกที่สุด
สำหรับพวกเราในครั้งนี้ คือ ไทยไลอ้อนแอร์ ...
ที่จะพาเราลงจอดที่เมืองฉางซา ช่วงบ่ายวันนี้ ...
พวกเราเลือกเดินทางด้วยรถ shuttle bus จากสนามบินฉางซา เข้าไปที่พัก
พอรับกระเป๋าเสร็จแล้วเดินออกมา ให้เลี้ยวขวาเดินตามทางไปฝั่งอาคารผู้โดยสารในประเทศ
เดินไปเรื่อยๆ จะเห็นที่ขายตั๋วรถบัสสนามบิน อยู่ทางซ้านมือ
เดินเข้าไปต่อคิวแล้วก็แจ้งพนักงานได้เลยว่า จะขอซื้อตั๋วรถไปลงสถานีรถไฟ
ตอนที่พวกเราไป (พฤศจิกายน 2019) ตั๋วราคา 18 หยวน
แล้วก็ไปขึ้นรถหน้าสนามบิน ไปลงในเมืองที่สถานีสุดท้ายเลย ...
ผ่านไปประมาณชั่วโมงหนึ่ง รถบัสก็มาจอดส่งด้านหน้าโรงแรม Hunan Aviation ซึ่งเป็นป้ายสุดท้าย
จากตรงนี้ พวกเราตัดสินใจเรียกแท็กซี่ไปส่งที่โรงแรมเพราะขี้เกียจลากกระเป๋าไปสถานีรถไฟ
พอเอาที่อยู่โรงแรมให้คนขับแท็กซี่ดู พี่เขาก็บอกไม่ไป
ให้พวกเราเดินไปเรียกรถเอาในซอยข้างหน้า ...
รอไม่นาน ก็เรียกรถได้ ...
เป็นแท็กซี่มิเตอร์ สบายใจกดมิเตอร์กันไป ค่ารถประมาณ 10 หยวน
สำหรับที่พัก 2 คืน ที่ฉางซา พวกเราพักที่ ฮุยยู้ เมซอง โฮเต็ล
เป็นโรงแรมที่ทำเลดี อยู่ติดถนน อยู่ใกล้ๆ สถานนีรถไฟฟ้าใต้ดิน Nanmenkou Station
และไม่ไกลจากถนนคนเดินไท่ผิง
แม้จะคุยกันคนละภาษา แต่พนักงานก็ดูแลดี ยิ้มแย้มแจ่มใส ที่พักสบาย
ไปเที่ยวกับมาก็หายเหนื่อย ...
ภายในห้องพักสะอาด ทันสมัย กว้างขวางพอสมควร อุปกรณ์ภายในห้องพักก็ครบครัน
เหมาะกับราคาคืนละประมาณ 1000 กว่าบาท
เช็คอิน เก็บของเรียบร้อย ท้องก็ร้องหิว .. ก็ปาเข้าไปเกือบ 4 โมงเย็นละนี่
ถึงเวลาไปเดินเที่ยว หาของกินแถวถนนคนเดินกันแล้ว
จากหน้าโรงแรม พวกเรากดแผนที่ดู โดยใช้แอพฯ maps.me ที่บอกทางได้ตรงกว่า Google map
โดยแผนที่บอกให้พวกเราเดินผ่านเข้าไปในตรอกเล็กๆ ที่มีของขายสองข้างทาง
ทั้งของกินที่ปรุงแล้ว และของสด ซึ่งเวลาไปเที่ยว พวกเราชอบบรรยากาศแบบโลคอลแบบนี้มากกว่า
ติดกับถนนคนเดินย่านสถานีรถไฟอู่ยี้ สแควร์
ก็จะเป็นตรอกร้านค้าเก่าแก่ประจำเมืองฉางซา ชื่อว่า ไท่ผิง สตรีท ...
ซึ่งมีผู้คนเดินกันเต็มไปหมด คึกคักมากๆ
และเย็นนี้ พวกเราคงต้องฝากท้องกันที่นี้แหละ ...
เริ่มจากร้านบะหมี่เล็ก ราคาย่อมเยากันก่อนเลย ...
พวกเราลองสั่ง ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ที่คลุกกับเครื่องปรุงพริกต่างๆ
ไม่มีเนื้อสัตว์ มีแต่เส้นกับผักนิดหน่อย ราคาประมาณ 10 หยวนต่อถ้วย
กินๆ ไป จะมีรสเผ็ดติดปลายลิ้นนิดๆ แต่ไม่เหมือนหม่าล่า ... ก็พอกินได้
ตรงข้ามร้านก๋วยเตี๋ยว เห็นร้านนึง มีคนยืนรอเข้าคิวอยู่เต็มหน้าร้าน
พวกเราเลยเข้าไปดู เห็นหลายคนเขาสั่งไส้กรอกทอดกัน เลยสั่งมาลองดูบ้าง
ก่อนมาก็ได้อ่านรีวิวทั้งของคนไทยและต่างชาติว่า ถ้ามาตรอกไท่ผิงต้องลองกินไส้กรอกทอดนี้ดู
พอกัดเข้าไปเนื้อของไส้กรอกจะมีรสชาติคล้ายๆ กับหมูแดดเดียวนิดๆ กุนเชียงหน่อยๆ
แต่มีผลพริกคล้ายหม่าล่าโรยมาด้วย อร่อยดี ราคาไม้ละ 13 หยวน
อาหารที่ขึ้นชื่อว่า มาถึงฉางซาแล้วต้องกินเลย ก็คือ เต้าหู้เหม็น
ตามรีวิวบอกว่า ถึงแม้ว่าจะหากินได้ทั่วไปในจีน แต่ที่ขึ้นชื่อเลยจะมีที่ ปักกิ่ง ไต้หวัน และก็ที่ฉางซานี่แหละ
พวกเราเลยเลือกร้านที่คนเยอะที่สุด ถึงแถวจะยาว แต่มันต้องลอง...
ซึ่งพอกัดไปแล้ว ... ไม่สามารถบรรยายรสชาติได้ แต่ถ้าใครได้มา อยากให้ลองชิมดู
แล้วมาเล่าให้เราฟังหน่อยยะครับ ว่าคุณชอบหรือเปล่า ^^
เอาละครับ อร่อยไม่อร่อย ก็ขอจบวันแรกของการเดินทาง
ไว้แบบเอาให้ท้องอิ่มไว้ก่อนก็แล้วกัน พรุ่งนี้ว่ากันใหม่ครับ
เอาละครับ อร่อยไม่อร่อย ก็ขอจบวันแรกของการเดินทาง ไว้แบบ เอาให้ท้องอิ่มไว้ก่อนก็แล้วกัน พรุ่งนี้ว่ากันใหม่ครับ
สำหรับสรุปค่าใช้จ่ายสำหรับการเดินทางวันแรก (แบบเฉลี่ยต่อคน)
ผมทำสรุปไว้ให้อยู่ในรูปข้างล่างนี้นะครับ
ถ้าอยากชมบันทึกการเดินทางแบบวีดีโอ สามารถชมได้ทางช่องยูทูป CrossCutting Journey ในลิ้งค์ข้างล่างนี้เลยครับ
แล้วถ้าชอบ อย่าลืมกดติดตามช่อง กดไลค์ กดแชร์ พิมพ์คอมเมนต์ทักทายมาเป็นกำลังใจให้ด้วยนะครับ ^^ ขอบคุณครับ
Day 2
หนึ่งวันเต็มในฉางซาวันนี้ ภารกิจแรก คือ ไปซื้อตั๋วรถบัสเพื่อเดินทางต่อไปเมืองอู่หลิงหยวนในวันพรุ่งนี้ ...
พวกเราเดินผ่านตรอกขายของ แวะซื้อปาท่องโก๋ขนาดยาว กินรองท้องก่อนเดินไปขึ้นรถไฟใต้ดินที่สถานี Nanmemkou
โดยจะไปลงที่สถานี Wangchengpo ซึ่งอยู่ติดกับ West Bus Station ที่ขายตั๋ว
การซื้อตั๋วรถไฟนั้นก็คล้ายๆ กับ MRT บ้านเรา ก่อนอื่นก็เปลี่ยนหน้าจอเป็นภาษาอังกฤษก่อน
แล้วเลือกสายของรถไฟ อย่างกรณีที่สถานีรถไฟปลายทางที่เราจะไปอยู่ Line 2 ก็กดเลือก Line 2
แล้วเลือกสถานี จากนั้นก็กดจำนวนตั๋ว หน้าจอก็จะบอกราคาต่อตั๋ว และยอดรวมมา แล้วก็ใส่เงินไป
ก็จะได้เหรียญที่เป็นชิพมา สำหรับแตะทางผ่านเข้าสู่ชานชาลา
พอลงที่สถานี Wangchengpo แล้วก็เดินตามทางไป West Bus Station ได้เลย
สำหรับการไปซื้อตั๋วก็สังเกตที่ป้าย Ticket Hall แล้วมองหาป้ายไฟใหญ่ที่บอกตารางรถ
ตรงนั้นจะเป็นช่องขายตั๋ว เข้าไปซื้อช่องไหนก็ได้ แล้วก็บอกพนักงานว่า ไปอู่หลิงหยวน
วันพรุ่งนี้ กี่ใบก็ว่าไป เขาจะโชว์หน้าจอให้ดู วันที่เดินทาง เวลาเดินทาง แล้วก็ยอดรวม
แล้วก็เสร็จ ได้ตั๋วมาแล้วเรียบร้อย ...
เอาละ เสร็จภารกิจสำคัญ ก็ถึงเวลาไปเที่ยว / เอาละ ไปเดินเล่นกันที่เย้ลู้ ชาน หรือ เขาเย้วหลู้ (Yuelu Mountain)
กด maps.me และ google translate หาทางกันไป
ตั้งแต่เช้ากินแค่ปาท่องโก๋ นี่ก็เที่ยงละ เริ่มจะหิว
แวะร้านก๋วยเตี๋ยวข้างทางก่อนเลย ... สั่งบะหมี่น้ำแบบหูหนาน ใส่หมูด้วย ชามละ 10 หยวน
อร่อยกว่าร้านเมื่อวานเยอะเลย เหะเหะ
ท้องอิ่มแล้ว ก็ถึงเวลาเดินต่อ ...
วันนี้ ตั้งใจเดินอย่างหนัก เดี๋ยวต้องไปขึ้นเขาอีก จะไหวหรือเปล่า?
ภูเขาเย้ลู้ เป็นภูเขาที่ตั้งอยู่กลางเมือง ติดกับแม่น้ำเซียงเจียง เลยเป็นจุดชมวิวที่มีชื่อเสียงมาแต่โบราณ
ภายในภูเขาจะมีสถานที่สำคัญหลายแห่ง ทั้งป้อม ศาลาเก่าแก่
และมหาวิทยาลัยเย้หลู่ที่มีอายุกว่าพันปี
พวกเราเริ่มเส้นทางเดินเท้าจากประตูทิศตะวันออก เพื่อจะไปลงประตูทางทิศใต้
ปรากฎว่าเห็นคนจีนพาครอบครัว พาลูกหลานมาเดินเล่นกันเยอะเลย
สำหรับคนที่ไม่ชอบเดิน หรือ อยากจะเดินแค่บางช่วง ก็สามารถใช้บริการรถชัตเตอร์ หรือรถราง ราคาเริ่มต้นที่ 20 หยวน
รวมถึงนั่งกระเช้าขึ้นไปด้านบนได้ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ 30 หยวนต่อคน
แต่ทริปนี้ พวกเราตั้งใจแล้วว่าจะมาเดิน ก็ต้องเดินให้ได้ ซึ่งจะใช้เวลาเดินประมาณ 2 ชั่วโมง
จากประตูทิศตะวันออก ไปถึงประตูทิศใต้ ... ประหยัดด้วย และได้ซึมซับธรรมชาติเต็มที่
ป้ายระหว่างเส้นทางเดินบนเขา Yuelu ระบุว่า การท่องเที่ยวจีนจัดอันดับให้สถานที่แห่งนี้ อยู่ในระดับ 5A เลย
โดยเฉพาะช่วงที่ใบไม่เปลี่ยนสีจัดๆ ซึ่งช่วงเวลาที่พวกเราไป คือกลางเดือนพฤศจิกายน เราพอจะเห็นใบไม้สีแดง สีส้มอยู่บ้าง
แต่ยังไม่มากเท่าที่เห็นในรูปโปนชัวร์การท่องเที่ยวของจีน
ตอนที่เดินอยู่นั้น อากาศช่วงกลางวันอยู่ที่ 25-26 องศา ก็ถึงว่าเดินได้ ไม่ร้อนไม่หนาวเกินไป
แต่ถ้าเย็นกว่านี้อีกหน่อยน่าจะดีนะ ...
บนเขาเย่วหลู้ มีรายละเอียดเรื่องราวประวัติศาสตร์มากมายหลายยุค
แต่ที่น่าสนใจคือ อนุสรณ์สถานที่ระลึกถึงการต่อสู้และได้ชัยชนะ
ของชาวฉางซาต่อทหารญี่ปุ่นกว่า 180,000 นายที่มาบุกรุก ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
และยังมีถ้ำ ที่ใช้เป็นศูนย์บัญชาการทางทหารอีกด้วย
แต่ที่พวกเราตั้งใจจะไปชมที่สุด คือ Aiwan Pavillion หรือศาลาพักผ่อนชมใบไม้เปลี่ยนสี ที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของจีน
ซึ่งอยู่ใกล้กับประตูทิศใต้ และเป็นจุดสุดท้ายที่เราจะเยี่ยมชมในเขาเย่วหลู้แห่งนี้
หลังจากใช้เวลาเดินบนเขากว่า 3 ชั่วโมง จนอ่อนแรง
แต่แสงอาทิตย์ยังไม่ลับฟ้า เรายังมีเวลาไปเดินตามหารูปปั้นวัยหนุ่ม
ของท่านประธานเหมากันที่เกาะส้มต่อ
(อ่านต่อในคอมเมนต์ด้านล่างนะครับ)