ปัญหาครอบครัวที่เกิดจากความดื้อรั้น

พอดีว่าผมมีปัญหาที่ยากที่จะหาทางออกอยู่ เป็นปัญหาครอบครัวที่กินเวลามามากกว่า 20 ปี แล้วปัจจุบันน่าจะเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุด
ครอบครัวผมมีกัน 4 คน พ่อ แม่ ผม น้อง พ่อผมทำงานประจำเงินเดือน 50,000+ แม่ผมมีรายได้ไม่แน่นอนจากการขายของ น้องกำลังเรียน ป ตรี ปี 4 ผมเองกำลังเรียน ป โท (ได้ทุน) ตอนนี้พ่อแม่แยกทางกันด้วยปัญหาเรื่องเงิน แม่ผมงมงายไปกับกลุ่มไลน์ที่อ้างว่าจะได้เงินปันผลตอบแทนเป็นล้านๆ คล้ายๆกับปันผลกองมรดกที่เคยออกข่าว แต่ก่อนที่จะเกิดปัญหาครอบครัวของผมเคยมีพื้นหลังตามที่ผมจะเขียนต่อจากนี้ 

1. จุดเริ่มต้นปัญหา
ปัญหาเริ่มจากตอนผมอายุประมาณ 8 ขวบ แม่ลาออกจากงานประจำด้วยเป้าหมายคืออยากเป็นเจ้าของกิจการ โดยเริ่มต้นธุรกิจขายหนังสือมือ 2 โดยมีพ่อที่ทำงานประจำคอยช่วยเหลือ ซึ่งขายมาได้ประมาณ 2 ปี แต่ด้วยปัญหาเรื่องสุขภาพที่ต้องแบกหนังสือไปขายตามงานต่างๆ ทำให้พ่อมีอาการปวดหลังจึงทำให้เลิกกิจการไป ต่อมาแม่ทำร้านขายขนมจีนแต่ธุรกิจก็ไปไม่รอดเพราะว่าเราไม่มีประสบการณ์เรื่องอาหารและมีปัญหาเรื่องตื่นเช้า เพราะด้วยงานของพ่อที่บางวันต้องไปเข้าเวร ต้องพักผ่อนตอนกลางวันทำให้แม่ไม่มีผู้ช่วยในการเตรียมของและซื้อของ
ต่อมาแม่ได้มาทำกิจการเกี่ยวกับผ้าฝ้ายอยู่เกือบๆ 5 ปี โดยเป็นการทำสินค้า OTOP และต้องไปขายตามงานต่างๆบ่อยมาก มีการเปิดศูนย์แม่บ้านในอำเภอเพื่อส่งเสริมอาชีพให้กับผู้ที่ว่างงานได้มาเรียนรู้การทอผ้า แต่ด้วยความนิยมสินค้าลดลงและต้องเดินทางไปขายของตามงานต่างๆ ทำให้อาชีพงานประจำของพ่อเริ่มมีปัญหากับงานของแม่ แม่จึงเลิกกิจการไป
หลังจากที่แม่ของผมลาออกจากงานประจำมาทำธุรกิจของตัวเองโดยเริ่มจาก ขายหนังสือ ขายอาหาร ขายผ้า ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการกู้ยืมเงินโดยใช้สิทธิ์ของพ่อในการกู้ ทำให้ครอบครัวเริ่มมีหนี้สินเพิ่มเข้ามา โดยการเลิกกิจการทั้งหมดยังไม่ได้ทุนคืน โดยทุกกิจการของครอบครัวพ่อของผมคอยช่วยเหลือมาโดยตลอด จริงๆ ถ้าแม่ยอมหยุดตั้งแต่ตรงนี้อาจจะไม่เกิดปัญหาใหญ่ถึงปัจจุบัน

2. ปัญหาเริ่มเพิ่มเพราะขายตรง
หลังจากนั้นแม่ของผมเริ่มก้าวเข้าสู่วงการขายตรง ซึ่งตรงนี้เองผมคิดว่าทำให้ mindset ในการขายของ ของแม่ผมเปลี่ยนไปมาก ด้วยรายได้ที่ดี (ซึ่งจริงๆมันมีแค่ตัวเลขแต่จับต้องเงินจริงไม่ได้) ทำให้แม่เริ่มพยายามที่จะไต่ตำแหน่งของบริษัทขายตรงให้ได้ตำแหน่งที่สูงๆ ซึ่งมันมีข้อเสียที่อันตรายมากๆคือ ต้องปิดยอดสินค้า และดูแลลูกทีมรวมทั้งเป็นหลักในการจัดประชุมที่โรงแรมหรูๆ ซึ่งรายจ่ายส่วนใหญ่นั้นแม่ทีมหลักต้องเป็นคนรับผิดชอบ นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่รายรับสูงมากๆแต่ว่ารายจ่ายก็สูงเหมือนกัน ปัญหาตรงนี้ทำให้แม่ผมไม่มีเงินเก็บ ส่วนเรื่องใช้หนี้ ก็เป็นความรับผิดชอบหลักของพ่อ ด้วยความที่แม่เป็นตำแหน่งใหญ่จึงมีรถประจำตำแหน่ง แต่ด้วยความโชคร้ายบริษัทต้นสังกัดปิดตัวลง ความรับผิดชอบรถจึงถูกส่งต่อมายังครอบครัวผม พ่อกับแม่ต้องผ่อนรถต่อเอง ด้วยความที่ว่าอยากได้รถด้วย 

3. ปัญหาเพิ่มขึ้นไปอีกเพราะแชร์ลูกโซ่
หลังจากที่เลิกกิจกการขายตรงด้วยความที่ยังไม่ได้ทุนคืน จึงต้องหาธุรกิจที่มีผลตอบแทนเร็วขึ้น เพราะต้องช่วยพ่อใช้หนี้ แม่เริ่มเข้าไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจแชร์ลูกโซ่ ซึ่งตอนนั้นคือแช่ข้าวสารของบริษัทหนึ่ง จริงๆพ่อก็บอกแล้วว่าให้พอ แล้วมาทำกิจการง่ายๆเช่น ขายของ ขายหมูปิ้งเพื่อทำทุนไปก่อนแต่แม่ไม่ฟัง (ผมคิดว่าแม่เคยคิดว่าตัวเองสำเร็จในระดับสูงในธุรกิจขายตรง ถ้าจะมาขายหมูปิ้งคงไม่เหมาะหรือเสียหน้ากับคนที่เคยทำธุรกิจด้วยกันมาก่อน)
แม่เริ่มแอบไปกู้หนี้นอกระบบมาเพื่อ ลงทุนกับธุรกิจแชรลูกโซ่ ช่วงแรกรายได้ดีมากปันผลต่อเดือนกำไรเกือบ 100% ซึ่งมันล่อตาล่อใจในการลงทุนครั้งต่อไปและหวังว่าเราจะไม่ตกเป็นเหยื่อ ใช่ครับครั้งต่อไปแม่ทุ่มไปสุดตัวก่อนที่จะออกจากวง สรุปเจ้าของบริษัทหอบเงินหนีออกนอกประเทศ สุดท้ายแล้วแม่ก็ไม่ได้เงินคืน ทำให้หนี้สินของครอบครัวเราเพิ่มสูงขึ้นไปอีก แม่ไม่มีรายได้คนที่ใช้หนี้ส่วนใหญ่คือพ่อ

4. ความฝันที่อยากเป็นเจ้าของกิจการ 
หลังจากที่ผิดหวังกับแชร์ลูกโซ่ แม่ได้ขอให้พ่อกู้เงินอีกครั้งสำหรับทำกิจการของตัวเอง โดยคิดว่าเราต้องเป็นที่พึ่งของตัวเอง แม่ผมเองหาข้อมูลอยู่พักใหญ่ จนสรุปได้ว่า แกอยากทำกาแฟเพื่อสุขภาพดังนั้นแกจึงไปติดต่อกับบริษัทให้ผลิตกาแฟ ซึ่งแต่ละล็อตนั้นก็เป็นเงินประมาณ 1 แสน ถึง 2 แสน บาท ซึ่งตรงนี้เองผมก็แอบสงสัยว่าแม่เอาประสบการณ์เรื่องกาแฟมาจากไหน ตอนนี้ผมอายุ 17 ปี ซึ่งก็พอคิดได้ว่ามันมีความเสี่ยงจากธุรกิจอาหารที่เราไม่มีประสบการณ์มากนัก ต่อมาเพื่อเพิ่มยอดขายและทำให้รู้จักมากขึ้น แม่ทุ่มเงินไปกับการโฆษณาวิทยุและทำ marketing อื่นๆ แต่ผลตอบรับนั้นไม่ดีเท่าที่ควร เงินเกิดการขาดสภาพคล่อง ตัวแทนเอาสินค้าไปแล้วขายไม่หมด ทำให้แม่ต้องไปกู้เงินนอกระบบเพื่อทำให้มีเงินหมุนในธุรกิจ ซึ่งตรงนี้เองเริ่มรุนแรงมากๆ รถถูกแม่เอาไปเข้าไฟแนนซ์เพื่อนำเงินมาหมุนในระบบ หลังจากเกิดปัญหานี้ แม่ผมเลิกทำกิจการกาแฟไปเพราะไม่สามารถนำเงินไปจ่ายตัวแทน และไปสั่งของล็อตใหม่ได้ พ่อเลยติดสินใจกู้เงินเต็มเพดาน น่าจะล้านกว่าบาทเพื่อปิดหนี้นอกระบบทั้งหมด และนำเงินไปไถ่รถคืน ตรงจุดนี้เองทำให้ครอบครัวมีหนี้สูงขึ้น

5. ความฝันที่จะเป็นเจ้าของกิจการยังไม่จบ
ผมคิดว่าเหตุผลหนึ่งที่แม่ยังเดินทางสายนี้อยู่คือ ต้องการทำให้คนที่บ้านโดยเฉพาะยายเชื่อว่าสิ่งที่แม่ทำมาทั้งหมดนั้นยายเข้าใจผิด หรือเป็นการพิสูจน์ตัวเองนั้นแหล่ะ เพราะตอนเด็กๆ แม่ไม่ยอมไปเรียนครูตามที่ยายต้องการ แต่แอบไปเรียนคณะบัญชีแทนเพราะแม่แกโตมากับการขายของ ทำให้ยายเสียใจมากๆแทบจะตัดแม่ตัดลูกเพราะมารู้ทีหลังก็ตอนรับปริญญา ซึ่งไม่ใช่ปริญญาครู ดังนั้นแม่ก็พยายามที่จะพิสูจน์ตัวเองต่อไป
แม่เริ่มกิจการเล็กๆอีกครั้ง โดยการติดต่อกับคนที่เคยร่วมธุรกิจกันในอดีต การเอาของมาขายโดยไม่ต้องลงทุน แต่หักกำไรให้เขาไปบางส่วนแล้วสร้างทุนด้วยตัวเอง
แต่ด้วยความที่แม่ยังติด business model แบบเดิมๆคือ ธุรกิจแบบเครื่อข่ายขายตรง ทำให้แม่เริ่มกลับเข้าสู่ธุรกิจขายตรงอีกครั้งแต่ครั้งนี้ แกพยายามจะเป็นคนบริหาร แต่ด้วยความที่เงินทุนไม่สูงมากนักทำให้ลูกทีมไม่ได้รับเงินตามที่เขาอยากได้ ส่งผลให้ธุรกิจไปได้ไม่ดีเท่าที่ควร

6. เริ่มเข้าสู่ความงมงาย
ตรงนี้เอง ทำให้ครอบครัวผมมีปัญหาเรื่องหนี้สินมากขึ้น และคนที่รับผิดชอบหลักๆคือพ่อ ทำให้พ่ออยากให้แม่เลิกทำธุรกิจทั้งหมดแล้วหันมาเป็นลูกจ้างประจำ เช่น พนักงานขายอาหาร พนักงานบัญชี เงินเดือนอาจจะไม่เยอะมาก แต่อย่างน้อยก็ประมาณรายได้ต่อเดือนได้ แต่แม่ปฏิเสธ แม่เริ่มหาที่พึ่งทางอื่นเพราะธุรกิจทุกอย่างนั้นพ่อไม่สนับสนุนอีกต่อไป แม่เริ่มจึงเริ่มเข้าหาเรื่องของการดูดวง การทำนาย และที่สำคัญคือแกเข้าไปอยู่ในกลุ่มคนที่ยังไม่ได้รู้จักธรรมะจริงๆ หรืออาจจะเรียกว่าใช้ธรรมะเป็นข้ออ้าง แม่เริ่มไปปฏิบัติธรรมมากขึ้น เริ่มไปดูดวงมากขึ้นทำให้เสียเวลาในการทำธุรกิจไปมาก มีบางครั้งไปทั้งสัปดาห์ทำให้ไม่มีรายได้ พ่อต้องรับผิดชอบทั้งหนี้สิน ค่าเทอม ค่าอยู่ค่ากินภายในบ้าน ซึ่งทำให้เงินเก็บในครอบครัวนั้นน้อยลง 

7. ความงมงายและความหวังที่ไม่สมเหตุสมผล 
ตอนนี้ความสัมพันธ์พ่อกับแม่เริ่มแย่ลง แต่ด้วยความที่ผมยังเรียนไม่จบและน้องกำลังจะเข้ามหาลัย ผมจึงไม่เห็นถึงความไม่ลงรอยกันของพ่อกับแม่มากนัก แต่คิดว่าคงไปคุยกันส่วนตัวอยู่ แม่เริ่มรู้จักคนในกลุ่มที่ปฏิบัติธรรมมากขึ้นและเริ่มชักชวนให้เข้ากลุ่มลงทุนลับๆ ที่มีการแจ้งข่าวกันในไลน์ โดยเป็นการลงทุนแล้วอ้างว่าจะได้ผลตอบแทนเป็นล้านๆ และผมเชื่อว่าคนในกลุ่มนั้นเป็นคนประเภทเดียวกันคือคุยกันถูกคอให้กำลังใจกัน ซึ่งแม่เองก็ไม่มีที่พึ่งมากนัก เพราะพ่อก็เริ่มไม่สนใจแล้ว ทำให้แม่เข้าไปสนิดกับคนในกลุ่มนั้นมากขึ้น เริ่มมีงานลงทุนเล็กๆน้อยๆ แต่ที่ผมไม่ชอบมากที่สุดคือคนในกลุ่มนั้นทำให้ยิ้มมงายมากขึ้น เริ่มมีการสวดมนต์ภาวนาเพื่อให้เงินนั้นมาถึงเราเร็วๆ ทำให้แม่ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการปฏิบัติธรรม แม่เชื่อว่าเงินนั้นมีอยู่จริงๆจากการโน้มน้าวของคนในกลุ่ม

8. เมื่อความเห็นไม่ตรงกันก็ต้องแยกกันอยู่
แม่ผมเริ่มไม่มีรายได้ เพราะเอาเวลาส่วนใหญ่ไปกับการภาวณา จริงๆก็มีรายได้บ้างแต่แทบไม่ได้จุนเจือที่บ้านเลย แกยังทำธุรกิจเล็กๆ เช่นขายครีม ขายสมุนไพร แต่รายได้น่าจะประมาณ 5000-10000 ต่อเดือน ยังไม่หักต้นทุน จุดนี้เองทำให้พ่อกับแม่แตกหักกัน เพราะพ่อต้องการให้แม่หยุดทุกอย่าง แต่แม่ไม่ยอมหยุด เรื่องที่พ่อกังวลที่สุดคือแม่จะแอบไปกู้หนี้นอกระบบแล้วทำให้ครอบครัวมีปัญหา มีบ้างครั้งเจ้าหนี้มาตามถึงบ้าน ผมเองก็ต้องเป็นคนรับหน้าเพราะแม่ไม่อยู่ ซึ่งตอนนี้พ่อเองไม่มีสิทธิ์ที่จะกู้เงินอีกต่อไปเพราะเต็มเพดดานแล้ว ทำให้พ่อตัดสินใจขออย่ากับแม่โดยพ่อเป็นคนส่งเสียลูกทั้งหมดและรับหนี้ไว้เพียงคนเดียว ทำให้รายได้ของพ่อต่อเดือน 50000-60000 บาท แทบจะไม่เหลือ หนี้ล้านกว่า + ดอกเบี้ย ส่งลูกสองคน ทำให้เหลือใช้เดือนละไม่ถึงหมื่น ส่วนแม่รายได้ไม่แน่นอน แกยังอยากจะเป็นเจ้าของกิจการอยู่ แม่ไม่มีรายได้มากพอที่จะส่งเงินให้ผม ผมได้เงินจากพ่อเดือนละ 5000 ค่าสอนพิเศษ 6000 เงินเดือนจากทุน 7000-9000 ทำให้ผมพอมีเงินเก็บอยู่บ้าง แต่ปัจจุบันทุนหมดแล้ว มีเพียงค่าสอนกับเงินที่พ่อให้ 

9. เมื่อแยกกันอยู่ แต่ทุกอย่างกลับไปได้ไม่ดี 
แม่กลับไปอยู่กับยาย ส่วนพ่อออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง ซึ่งปัจจุบันผมก็ยังไม่รู้ว่าพ่อไปอยู่ไหน ผมย้ายออกมาอยู่กับแฟนที่หอ ส่วนบ้านเป็นเพียงบ้านพักจากสวัสดิการที่ทำงานของพ่อ พ่อก็คืนที่อยู่ไปแล้ว ผมสามารถเจอพ่อได้บางเวลาคือที่ทำงาน และนัดกินข้าว เหมือนพ่อจะมีแม่ใหม่หรือยังไงผมก็ไม่ทราบ มันเหมือนความสัมพันธ์ของครอบครัวลดน้อยลงมากหลังจากที่เราแยกกันอยู่ จนผมไม่กล้าถามพ่อตรงๆ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัวของเขา 
พ่อยังรับผิดชอบทุกอย่างปกติแต่ผมก็สามารถรับรู้ได้ว่าความเป็นอยู่แกไม่ค่อยดีมากนัก ส่วนแม่ด้วยความที่ยังงมงายและคาดหวังว่าจะได้เงินแล้วทุกอย่างจะดีขึ้น ทุกคนต้องมาขอโทษแกที่ทำกับแกแบบนี้ แม่ก็ยังจะยืนยันที่จะเชื่อซึ่งผมคุยกับแม่หลายครั้งมาก แต่แม่เลือกที่จะเงียบไม่ตอบโต้และดำเนินทางของแกต่อ รายได้ของแม่ไม่แน่นอน น่าจะไม่ถึงเดือนละ 8000 ต้องเลี้ยงดูยาย ผมได้ข่าวว่าแม่ยังต้องหยิบยืมเงินจากญาติพี่น้องมาซื้อของกินให้ยาย ทุกครั้งที่ผมคุยกับแม่ผมจิตตกไปกับการที่แม่บอกว่าอดทนอีกนิดเราจะสบายแล้ว ผมก็รู้ทันทีว่าแม่ยังงมงายกับเรื่องเงินนั้นอยู่

10. ชีวิตปัจจุบัน
ทุกอย่างเหมือนจะโอเค แต่จริงๆแล้วไม่โอเค ผมต้องพยายามทำเหมือนตัวเองเข้มแข็ง เพราะการเรียนระดับบัณฑิตศึกษานั้นยากกว่า ป ตรี มากๆ ผมเรียนสายวิทย์ที่ต้องตีพิมพ์งานวิจัยในระดับนานาชาติ ต้องใช้ทั้งเงิน เวลา แรงกายแรงใจ ทุ่มเทไปกับงานวิจัย ซึ่งผลการทดลองมันไม่ได้เป็นไปความที่คาดหวังเสมอไป รวมทั้งผมก็ยังมีความกังวลกับแม่ที่เมื่อไหร่จะเลิกงมงายสักที ถ้าแกป่วยมาจะเอาเงินจากไหน ยายจะอยู่ยังไง ผมไม่มีความสามารถมากพอที่จะดูแลท่าน ปัญหานี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อสมาธิในการเขียนงานวิจัยและการเตรียมสอน ผมเคยเข้าพบจิตแพทย์แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มาก ตอนนี้ผมกำลังจะสอบจบและคิดว่าจะเรียนต่อปริญญาเอก (มีรายรับเงินเดือนจากทุนและงานสอนพิเศษคิดว่าน่าจะช่วยจุนเจือได้) 

สรุป
ผมคิดว่าปัญหาทุกอย่างมาจากการที่คนในครอบครัวไม่เชื่อฟังกันมีความดื้อรั้นที่จะทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ ทำให้ปัญหามันบานปลายสุดท้ายแล้วทุกอย่างมีแต่ความสูญเสีย ผมจิตตกทุกครั้งที่คุยกับแม่ ผมรู้สึกว่าแม่ยังมีความต้องการที่จะเอาชนะคนที่ไม่เห็นด้วย รวมทั้งผมและพ่อ ตัวผมเองทราบถึงปัญหานี้จริงๆคือตอนแม่เอารถไปเข้าไฟแนนซ์แล้วพ่อกู้เงินมาโปะหนี้ทั้งหมด 
ใครที่อ่านมาจนถึงตรงนี้ก็ขอขอบคุณมากๆนะครับ ผมรบกวนช่วยชี้แนะแนวทางในการรับมือกับปัญหาพ่อแม่ลักษณะดื้อรั้นหน่อยครับ ผมจิตตกทุกครั้งที่นึกถึงปัญหานี้ ผมพยายามแยกตัวออกห่างเพราะเราคุยกันไม่รู้เรื่องจริงๆ ขอบคุณครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่