กระทู้นี้เป็นการวิเคราะห์ตามความคิดส่วนตัวนะครับ โดยอาศัยดูสถิติและกราฟช่วยนิดหน่อยอยากลองฟังความเห็นของทุกๆท่านดูว่าเห็นด้วยหรือไม่อย่างไร หรือใครมีแนวคิดอื่นๆแชร์กันได้นะครับ
วิกฤติทางการเงินในไทยย้อนกลับไปหลักๆมี 2 ครั้งคือ
1) ต้มยำกุ้ง SET ถ้าดูจากกราฟจุดสูงสุดคือ 1994-1996 เริ่มลงจาก 1700 ไปวิ่งแถวๆ 1200-1400 สวิง 100 จุด
ประมาณ 2 ปี จากนั้นตกจาก 1400 เหลือ 200 โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ปี ถ้าคิดเป็น % จากค่าเฉลี่ยที่สวิงคือ 1300 จะลดลง
จะคิดเป็นการลดลง 85%
2) Hamberguer Crisis SET ปี 2007-2009 ช่วง 2007 เดือน 7 ถึง. 2008 เดือน 5 ประมาณ 1 ปี วิ่ง ขึ้นลง 800-900 จากนั้นลงจาก
ค่าเฉลี่ย 850 ไปที่ 400 ในปี 2009 เดือน 3 ประมาณ 10 เดือน ถึงเริ่มขาขึ้น คิดเป็นการลดลง 50% ==>เกิด ที่อเมริกา แล้วกระทบ ไปทั้งโลก
3) Coronavirus SET วิ่งจาก 400 ไปทำจุดสูงสุดที่ 1837 จากนั้น วิ่งขึ้นลง 1800-1700 ประมาณ 1 ปีครึ่งแล้วก็เริ่มลงจาก 1750 ลงมา ไปต่ำสุดที่
970 (ลดลง 44%) และเด้งขึ้นมาเป็น ประมาณ 1130 (ลดลง 35%)
- สงครามการค้า จีน สหรัฐ
- เศรษฐกิจถดถอย การลดราคาน้ำมัน
- การระบาดของไวรัส Corona อันนี้เป็นตัวเร่งให้เกิดการตกขอราคาหุ้น
ซึ่งเริ่มประมาณเดือน 1 จากทุกๆครั้งที่ผ่านมา ระยะเวลาที่ตลาดรับรู้ข่าวจนถึงจุดต่ำสุดสั้นลงเรื่อยๆเนื่องจากการเติบโตของ Social Network
ดังนั้นกรณีนี้ตลาดรับรู้ข่าวค่อนข้างเร็ว ขึ้นและลงเร็ว โดยแบ่งเป็น 2 กรณีคือ

1) ทุกประเทศเอาอยู่ ภายใน เดือน 6 สามข้วใหญ่ของโลก จีน อเมริกา ยุโรป เอเซีย อย่างที่รู้คือ จีนเริ่มฟิ้นแต่อเมริกากับยุโรปเพิ่งกำลังเข้าสู่จุด Peak
หลังจากมาตรการ Lock down ผู้ติดเชื้อเริ่มลดลง ไม่โต มีข่าวดีเรื่องการพัฒนายาหรือวัคซีค กรณีนี้ตลาดน่าจะรับรู้และจบขาลงในเดือน 5-6
และเริ่มฟื้นตัน
- จบเดือน 5-6
- คาดการณ์ SET ลงไปที่ ประมาณ 1050 - 960 เป็นจุดต่ำสุด (ลด 40%)
2) บางประเทศเอาไม่อยู่ เช่น ยุโรป คุมการแพร่ระบาดไม่ได้จนต้องปล่อยให้ระบาดไปทั้งหมดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่เอง หรือ รอจนมีวัคซีนพัฒนาสำเร็จ
อย่างเร็วน่าจะปลายปี แปลว่า ในบางพื้นที่ของโลกเศรษฐกิจจะหยุดชะงักและแน่นอนมีผลต่อ ประเทศไทยเช่นกัน กรณีนี้ตลาดน่าจะลงไปและซึมไปซัก
ระยะกว่าจะฟื้นตัว ดังนั้นขาลงจะจบช้าลงอาจจะช่วงปลายปี
- จบเดือน 10-12
- คาดการณ์ SET ลงไปที่ประมาณ 875-730 เป็นจุดต่ำสุด (ลด 50%)
3) หลายๆประเทศเอาไม่อยู่ เช่น อเมริกา ยุโรป เอเซีย รวมถึงไทย ควบคุมไม่ได้ ด้วย นี่คือกรณีเลยร้ายสุดทุกๆคนไม่กล้าออกจากบ้านเศรษฐกิจทั่วโลกหยุดชะงักเป็นเวลานาน ซึ่งกรณีนี้ผมว่าเกิดขึ้นได้ยากตลาดน่าจะลงไปต่ำสุดเหมือนตอนต้มยำกุ้ง Case นี้คิดว่าจุดเลยร้ายสุดจะจบใน 1.5 - 2 ปี
- จบภายในปี 2022
- คาดการณ์ SET ลงไปที่ประมาณ 350-430 เป็นจุดต่ำสุด (ลด 85%)
วิกฤตินี้ส่วนตัวผมว่าแตกต่างจากที่ผ่านๆมาคือ ส่วนใหญ่วิกฤติมักเกิดที่ประเทศนึงแล้วลามไปที่อื่นๆเนื่องจากมีการค้าขายระหว่างกันแต่วิกฤติคราวนี้
เป็นครั้งแรกที่ไม่ได้เกิดจากวิกฤติทางด้านการเงินและทุกๆประเทศได้รับวิกฤติแบบเดียวกัน คือ ความกลัวโรคระบาดทำให้คนจับจ่ายใช้สอยน้อยลง
เงินไม่หมุน ในเศรษฐกิจ การทำงานหยุดชะงัก ผู้คนไม่เดินทางไปไหนมาไหนถ้าไม่จำเป็น พูดง่ายๆคือมันทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวจนเกือบจะหยุดนิ่งซึ่งกระทบหนักมาก ขนาดที่ FED ต้องลดเบี้ยฉุกเฉินเหลือ 0% และอัดฉีดเงินกระตุ้นมหาศาลไม่ให้ภาคธุรกิจล้ม จะเห็นว่าทุกๆประเทศใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดที่สุดเท่าที่เป็นไปได้เพราะยิ่งรู้ว่ายิ่งนานจะยิ่งแย่
ส่วนตัวผมคิด่าจะเกิดไม่กรณี 1 ก็ 2 โอกาศเกิด 3 ค่อนข้างยาก ยกเว้น ไวรัสกลายพันธุ์ หรือ ผลิตวัคซีนไม่สำเร็จ ถึงจะมีโอกาศเกิด 3 ครับ
ชวนคุย วิเคราะห์จุดต่ำสุดของ SET ที่เป็นไปได้และการฟื้นตัวหลังวิกฤติ
วิกฤติทางการเงินในไทยย้อนกลับไปหลักๆมี 2 ครั้งคือ
1) ต้มยำกุ้ง SET ถ้าดูจากกราฟจุดสูงสุดคือ 1994-1996 เริ่มลงจาก 1700 ไปวิ่งแถวๆ 1200-1400 สวิง 100 จุด
ประมาณ 2 ปี จากนั้นตกจาก 1400 เหลือ 200 โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 2 ปี ถ้าคิดเป็น % จากค่าเฉลี่ยที่สวิงคือ 1300 จะลดลง
จะคิดเป็นการลดลง 85%
2) Hamberguer Crisis SET ปี 2007-2009 ช่วง 2007 เดือน 7 ถึง. 2008 เดือน 5 ประมาณ 1 ปี วิ่ง ขึ้นลง 800-900 จากนั้นลงจาก
ค่าเฉลี่ย 850 ไปที่ 400 ในปี 2009 เดือน 3 ประมาณ 10 เดือน ถึงเริ่มขาขึ้น คิดเป็นการลดลง 50% ==>เกิด ที่อเมริกา แล้วกระทบ ไปทั้งโลก
3) Coronavirus SET วิ่งจาก 400 ไปทำจุดสูงสุดที่ 1837 จากนั้น วิ่งขึ้นลง 1800-1700 ประมาณ 1 ปีครึ่งแล้วก็เริ่มลงจาก 1750 ลงมา ไปต่ำสุดที่
970 (ลดลง 44%) และเด้งขึ้นมาเป็น ประมาณ 1130 (ลดลง 35%)
- สงครามการค้า จีน สหรัฐ
- เศรษฐกิจถดถอย การลดราคาน้ำมัน
- การระบาดของไวรัส Corona อันนี้เป็นตัวเร่งให้เกิดการตกขอราคาหุ้น
ซึ่งเริ่มประมาณเดือน 1 จากทุกๆครั้งที่ผ่านมา ระยะเวลาที่ตลาดรับรู้ข่าวจนถึงจุดต่ำสุดสั้นลงเรื่อยๆเนื่องจากการเติบโตของ Social Network
ดังนั้นกรณีนี้ตลาดรับรู้ข่าวค่อนข้างเร็ว ขึ้นและลงเร็ว โดยแบ่งเป็น 2 กรณีคือ
1) ทุกประเทศเอาอยู่ ภายใน เดือน 6 สามข้วใหญ่ของโลก จีน อเมริกา ยุโรป เอเซีย อย่างที่รู้คือ จีนเริ่มฟิ้นแต่อเมริกากับยุโรปเพิ่งกำลังเข้าสู่จุด Peak
หลังจากมาตรการ Lock down ผู้ติดเชื้อเริ่มลดลง ไม่โต มีข่าวดีเรื่องการพัฒนายาหรือวัคซีค กรณีนี้ตลาดน่าจะรับรู้และจบขาลงในเดือน 5-6
และเริ่มฟื้นตัน
- จบเดือน 5-6
- คาดการณ์ SET ลงไปที่ ประมาณ 1050 - 960 เป็นจุดต่ำสุด (ลด 40%)
2) บางประเทศเอาไม่อยู่ เช่น ยุโรป คุมการแพร่ระบาดไม่ได้จนต้องปล่อยให้ระบาดไปทั้งหมดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่เอง หรือ รอจนมีวัคซีนพัฒนาสำเร็จ
อย่างเร็วน่าจะปลายปี แปลว่า ในบางพื้นที่ของโลกเศรษฐกิจจะหยุดชะงักและแน่นอนมีผลต่อ ประเทศไทยเช่นกัน กรณีนี้ตลาดน่าจะลงไปและซึมไปซัก
ระยะกว่าจะฟื้นตัว ดังนั้นขาลงจะจบช้าลงอาจจะช่วงปลายปี
- จบเดือน 10-12
- คาดการณ์ SET ลงไปที่ประมาณ 875-730 เป็นจุดต่ำสุด (ลด 50%)
3) หลายๆประเทศเอาไม่อยู่ เช่น อเมริกา ยุโรป เอเซีย รวมถึงไทย ควบคุมไม่ได้ ด้วย นี่คือกรณีเลยร้ายสุดทุกๆคนไม่กล้าออกจากบ้านเศรษฐกิจทั่วโลกหยุดชะงักเป็นเวลานาน ซึ่งกรณีนี้ผมว่าเกิดขึ้นได้ยากตลาดน่าจะลงไปต่ำสุดเหมือนตอนต้มยำกุ้ง Case นี้คิดว่าจุดเลยร้ายสุดจะจบใน 1.5 - 2 ปี
- จบภายในปี 2022
- คาดการณ์ SET ลงไปที่ประมาณ 350-430 เป็นจุดต่ำสุด (ลด 85%)
วิกฤตินี้ส่วนตัวผมว่าแตกต่างจากที่ผ่านๆมาคือ ส่วนใหญ่วิกฤติมักเกิดที่ประเทศนึงแล้วลามไปที่อื่นๆเนื่องจากมีการค้าขายระหว่างกันแต่วิกฤติคราวนี้
เป็นครั้งแรกที่ไม่ได้เกิดจากวิกฤติทางด้านการเงินและทุกๆประเทศได้รับวิกฤติแบบเดียวกัน คือ ความกลัวโรคระบาดทำให้คนจับจ่ายใช้สอยน้อยลง
เงินไม่หมุน ในเศรษฐกิจ การทำงานหยุดชะงัก ผู้คนไม่เดินทางไปไหนมาไหนถ้าไม่จำเป็น พูดง่ายๆคือมันทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวจนเกือบจะหยุดนิ่งซึ่งกระทบหนักมาก ขนาดที่ FED ต้องลดเบี้ยฉุกเฉินเหลือ 0% และอัดฉีดเงินกระตุ้นมหาศาลไม่ให้ภาคธุรกิจล้ม จะเห็นว่าทุกๆประเทศใช้มาตรการขั้นเด็ดขาดที่สุดเท่าที่เป็นไปได้เพราะยิ่งรู้ว่ายิ่งนานจะยิ่งแย่
ส่วนตัวผมคิด่าจะเกิดไม่กรณี 1 ก็ 2 โอกาศเกิด 3 ค่อนข้างยาก ยกเว้น ไวรัสกลายพันธุ์ หรือ ผลิตวัคซีนไม่สำเร็จ ถึงจะมีโอกาศเกิด 3 ครับ