สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
ประกาศของ กทม. ถือเป็นความผิดพลาดมหาศาล เป็นการตัดสินใจโดยขาดการวางแผน ทำให้เป็นการส่งเสริมการแพร่เชื้อไปยังต่างจังหวัด
และยังเป็นที่ทราบดีว่าคนหนุ่มสาวมาทำงานกรุงเทพฯ ทิ้งคนเฒ่าแก่ไว้ต่างจังหวัด แล้วแบบนี้เท่ากับว่าคนหนุ่มสาวอาจมีเชื้ออยู่ แต่ไม่แสดงอาการ จะสามารถแพร่เชื้อให้ผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งอาจป่วยหนักได้
เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดของผู้ว่า กทม. ที่คงจะหวังว่าเป็นฮีโร่ช่วยเซฟกรุงเทพ แต่อาจกลายเป็นฆาตรกรฆ่าผู้สูงอายุในต่างจังหวัด
นอกจากนี้คำสั่งของผู้ว่า กทม. ยังทำให้แผนการหยุดสงกรานต์เพื่อลดการกระจายเชื้อของรัฐบาลอาจไม่เป็นไปตามเป้า
พูดไม่ออก...
และยังเป็นที่ทราบดีว่าคนหนุ่มสาวมาทำงานกรุงเทพฯ ทิ้งคนเฒ่าแก่ไว้ต่างจังหวัด แล้วแบบนี้เท่ากับว่าคนหนุ่มสาวอาจมีเชื้ออยู่ แต่ไม่แสดงอาการ จะสามารถแพร่เชื้อให้ผู้เฒ่าผู้แก่ ซึ่งอาจป่วยหนักได้
เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดของผู้ว่า กทม. ที่คงจะหวังว่าเป็นฮีโร่ช่วยเซฟกรุงเทพ แต่อาจกลายเป็นฆาตรกรฆ่าผู้สูงอายุในต่างจังหวัด
นอกจากนี้คำสั่งของผู้ว่า กทม. ยังทำให้แผนการหยุดสงกรานต์เพื่อลดการกระจายเชื้อของรัฐบาลอาจไม่เป็นไปตามเป้า
พูดไม่ออก...

ความคิดเห็นที่ 19
เพิ่งโพสต์ไว้เมื่อคืนครับ

ที่มา : https://www.bbc.com/news/business-51982005
น่าดีใจแทนคนอังกฤษ ตามข่าวนี้รัฐมนตรีคลัง ริชี ซูนัก ประกาศว่ารัฐบาลจะจ่ายเงินชดเชย 80% ของรายได้ล่าสุด ให้กับลูกจ้างสถานประกอบการต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะเบื้องต้น เน้นๆ ไปที่ลูกจ้างในสถานบันเทิง เพราะเป็นกลุ่มแรกที่กระทบหนักหลังรัฐบาลสั่งปิดเพื่อไม่ให้คนไปดื่มกินกันอย่างแออัดแล้วเสี่ยงติดเชื้อ ขณะที่ฟากสถานประกอบการ รัฐทำทั้งพักการชำระภาษี สินเชื่อปลอดดอกเบี้ยสำหรับ SME อีกอันที่น่าสนใจคือพักชำระหนี้ผ่อนบ้านเอาไว้ก่อน
หันกลับมามองเมืองไทย ในขณะที่รัฐบาลปิดสถานบันเทิงไปแล้ว และตามด้วยการปิดสถานที่ชุมนุมอื่นๆ จนเกือบจะ lockdown อย่างสมบูรณ์ ( เหลือแค่ห้ามคนออกจากบ้าน ) ความขัดแย้งก็เกิดขึ้นทันทีเพราะรัฐบาลไม่มีมาตรการใดๆ เลยที่จะสร้างความเชื่อมั่นทั้งต่อนายจ้างและลูกจ้าง มาตรการที่จะประกันว่านายจ้างกิจการจะไม่เจ๊ง และลูกจ้างจะไม่ตกงาน นี่ยังไม่รวมถึงอาชีพอิสระอีกมาก ถ้าใครตระเวนตอนกลางคืนในย่านท่องเที่ยวเวลานี้ เสียงแห่งความสิ้นหวังหดหู่ดังเซ็งแซ่ทั้งนั้น สถานบันเทิงปิด แท็กซี่ไม่มีลูกค้า ร้านริมถนนลูกค้าก็หาย
ทีนี้ก็มีแตกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งยังฝืนออกมาทำงาน ออกมาค้าขายเหมือนเดิมแม้จะเสี่ยงกับโรคระบาด กับอีกกลุ่มที่มีภูมิลำเนาในต่างจังหวัด ก็เดินทางกลับบ้านกัน แม้ปีนี้จะไม่มีวันหยุดสงกรานต์ แต่เมื่อไม่มีงานให้ทำในเมืองแล้วใครจะอยู่ กลับบ้านไปหลายคนยังมีนา สวน ไร่ พอปลูกนั่นเลี้ยงนี่หาโน่นประทังชีวิตไปได้ ก็ลดการใช้เงินลง แต่การกลับบ้านก็เพิ่มความเสี่ยงในการนำเชื้อจากเมืองไปติดคนในชนบทอีก เพราะไวรัสโควิด-19 สำหรับคนหนุ่มสาววัยแรงงานส่วนใหญ่แทบไม่มีอาการใดๆ ให้สังเกตได้เลย ( หลายคนหายเองได้อีกต่างหาก เรียกว่าเป็นแล้วหายแล้วแบบไม่รู้ตัว ) แต่ในระหว่างที่มีเชื้อในร่างกายแล้วกลับไปบ้าน ไปอยู่ใกล้ๆ พ่อแม่ปู่ย่าตายายที่ท่านแก่ชรา เชื้อในตัวลูกหลานก็อาจไปติดได้ แน่นอนว่าเรื่องน่าเศร้าอาจจะตามมาทันทีเพราะสถิติมันฟ้องว่ายิ่งอายุมากโอกาสตายยิ่งสูง
ตอนนี้บนโลกออนไลน์พยายามชูคำขวัญ "อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ" เข้าใจว่าคงมีกองเชียร์ "ทีมลุง" ผสมโรงไม่น้อยคอยโจมตีใครก็ตามที่พยายามเรียกร้องหรือตั้งคำถามประเด็นมาตรการเยียวยาทางเศรษฐกิจ พยายามตราหน้าว่าคนที่คิดต่างคือพวกไม่รักชาติ ไม่เสียสละเพื่อส่วนรวม แต่ก็อยากให้เข้าใจด้วยว่า "สำหรับมนุษย์แล้วปากท้องคือความต้องการขั้นพื้นฐานที่สุด" ถ้าท้องไม่อิ่มก็ไม่ต้องหวังเลยว่าจะไปคิดอะไรได้ไกลกว่านั้น จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเสียงคัดค้านเรื่อง lockdown เต็มรูปแบบมันดังขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางการดื้อแพ่ง ไม่ให้เดินทางก็จะเดินทางทั้งไปทำงานและกลับภูมิลำเนา มันหมดยุคแล้วกับคำพูดเท่ๆ ของ JFK ที่ว่าอย่าถามว่าชาติให้อะไรกับท่าน..แต่จงถามว่าท่านให้อะไรกับชาติบ้าง ยุคนี้คนเข้าใจว่าชาติเป็นนามธรรมในจินตนาการ แต่ปากท้องคือรูปธรรมที่จับต้องได้จริงและต้องประคองให้รอดวันต่อวัน
อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาตินั้นเข้าใจ..แต่ถ้าอยู่บ้านแล้วอดตายออกไปเสี่ยงโรคอาจจะดีกว่า ( หรือเปล่า? ) ในมุมคนหาเช้ากินค่ำ!!!
TonyMao_NK51 ( ใช้แทนอมยิ้มที่ถูกแบน )

ที่มา : https://www.bbc.com/news/business-51982005
น่าดีใจแทนคนอังกฤษ ตามข่าวนี้รัฐมนตรีคลัง ริชี ซูนัก ประกาศว่ารัฐบาลจะจ่ายเงินชดเชย 80% ของรายได้ล่าสุด ให้กับลูกจ้างสถานประกอบการต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะเบื้องต้น เน้นๆ ไปที่ลูกจ้างในสถานบันเทิง เพราะเป็นกลุ่มแรกที่กระทบหนักหลังรัฐบาลสั่งปิดเพื่อไม่ให้คนไปดื่มกินกันอย่างแออัดแล้วเสี่ยงติดเชื้อ ขณะที่ฟากสถานประกอบการ รัฐทำทั้งพักการชำระภาษี สินเชื่อปลอดดอกเบี้ยสำหรับ SME อีกอันที่น่าสนใจคือพักชำระหนี้ผ่อนบ้านเอาไว้ก่อน
หันกลับมามองเมืองไทย ในขณะที่รัฐบาลปิดสถานบันเทิงไปแล้ว และตามด้วยการปิดสถานที่ชุมนุมอื่นๆ จนเกือบจะ lockdown อย่างสมบูรณ์ ( เหลือแค่ห้ามคนออกจากบ้าน ) ความขัดแย้งก็เกิดขึ้นทันทีเพราะรัฐบาลไม่มีมาตรการใดๆ เลยที่จะสร้างความเชื่อมั่นทั้งต่อนายจ้างและลูกจ้าง มาตรการที่จะประกันว่านายจ้างกิจการจะไม่เจ๊ง และลูกจ้างจะไม่ตกงาน นี่ยังไม่รวมถึงอาชีพอิสระอีกมาก ถ้าใครตระเวนตอนกลางคืนในย่านท่องเที่ยวเวลานี้ เสียงแห่งความสิ้นหวังหดหู่ดังเซ็งแซ่ทั้งนั้น สถานบันเทิงปิด แท็กซี่ไม่มีลูกค้า ร้านริมถนนลูกค้าก็หาย
ทีนี้ก็มีแตกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งยังฝืนออกมาทำงาน ออกมาค้าขายเหมือนเดิมแม้จะเสี่ยงกับโรคระบาด กับอีกกลุ่มที่มีภูมิลำเนาในต่างจังหวัด ก็เดินทางกลับบ้านกัน แม้ปีนี้จะไม่มีวันหยุดสงกรานต์ แต่เมื่อไม่มีงานให้ทำในเมืองแล้วใครจะอยู่ กลับบ้านไปหลายคนยังมีนา สวน ไร่ พอปลูกนั่นเลี้ยงนี่หาโน่นประทังชีวิตไปได้ ก็ลดการใช้เงินลง แต่การกลับบ้านก็เพิ่มความเสี่ยงในการนำเชื้อจากเมืองไปติดคนในชนบทอีก เพราะไวรัสโควิด-19 สำหรับคนหนุ่มสาววัยแรงงานส่วนใหญ่แทบไม่มีอาการใดๆ ให้สังเกตได้เลย ( หลายคนหายเองได้อีกต่างหาก เรียกว่าเป็นแล้วหายแล้วแบบไม่รู้ตัว ) แต่ในระหว่างที่มีเชื้อในร่างกายแล้วกลับไปบ้าน ไปอยู่ใกล้ๆ พ่อแม่ปู่ย่าตายายที่ท่านแก่ชรา เชื้อในตัวลูกหลานก็อาจไปติดได้ แน่นอนว่าเรื่องน่าเศร้าอาจจะตามมาทันทีเพราะสถิติมันฟ้องว่ายิ่งอายุมากโอกาสตายยิ่งสูง
ตอนนี้บนโลกออนไลน์พยายามชูคำขวัญ "อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาติ" เข้าใจว่าคงมีกองเชียร์ "ทีมลุง" ผสมโรงไม่น้อยคอยโจมตีใครก็ตามที่พยายามเรียกร้องหรือตั้งคำถามประเด็นมาตรการเยียวยาทางเศรษฐกิจ พยายามตราหน้าว่าคนที่คิดต่างคือพวกไม่รักชาติ ไม่เสียสละเพื่อส่วนรวม แต่ก็อยากให้เข้าใจด้วยว่า "สำหรับมนุษย์แล้วปากท้องคือความต้องการขั้นพื้นฐานที่สุด" ถ้าท้องไม่อิ่มก็ไม่ต้องหวังเลยว่าจะไปคิดอะไรได้ไกลกว่านั้น จึงไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเสียงคัดค้านเรื่อง lockdown เต็มรูปแบบมันดังขึ้นเรื่อยๆ ท่ามกลางการดื้อแพ่ง ไม่ให้เดินทางก็จะเดินทางทั้งไปทำงานและกลับภูมิลำเนา มันหมดยุคแล้วกับคำพูดเท่ๆ ของ JFK ที่ว่าอย่าถามว่าชาติให้อะไรกับท่าน..แต่จงถามว่าท่านให้อะไรกับชาติบ้าง ยุคนี้คนเข้าใจว่าชาติเป็นนามธรรมในจินตนาการ แต่ปากท้องคือรูปธรรมที่จับต้องได้จริงและต้องประคองให้รอดวันต่อวัน
อยู่บ้านหยุดเชื้อเพื่อชาตินั้นเข้าใจ..แต่ถ้าอยู่บ้านแล้วอดตายออกไปเสี่ยงโรคอาจจะดีกว่า ( หรือเปล่า? ) ในมุมคนหาเช้ากินค่ำ!!!
TonyMao_NK51 ( ใช้แทนอมยิ้มที่ถูกแบน )
ความคิดเห็นที่ 8
ตอนแรกก็รู้สึกไม่พอใจนะ
แต่พอได้อ่านบางความคิดเห็นที่ว่า อยู่กรุงเทพ มีแต่ค่าใช้จ่าย งานก็ไม่มีทำ รายได้ก็ไม่มี ถ้ายังอยู่กรุงเทพ ก็มีแต่จะเพิ่มหนี้เท่านั้น สู้กลับบ้าน ค่าใช้จ่ายถูกกว่า ถ้ามีที่นา มีสวน ก็ยังมีข้าวมีอาหารกิน ตรงนี้ก็น่าเห็นใจ เป็นอีกครั้งหนึ่งที่รัฐบาลอาจจะคาดไม่ถึง ปิดร้านหวังจะไม่ให้คนรวมกลุ่มไปแพร่เชื้อโรค แต่กลับกลายผลักคนให้ออกสู่ต่างจังหวัด แล้วโอกาศแพร่เชื้อก็เพิ่มมากขึ้น
ยังไงก็ขอให้ทุกท่านโชคดีครับ
แต่พอได้อ่านบางความคิดเห็นที่ว่า อยู่กรุงเทพ มีแต่ค่าใช้จ่าย งานก็ไม่มีทำ รายได้ก็ไม่มี ถ้ายังอยู่กรุงเทพ ก็มีแต่จะเพิ่มหนี้เท่านั้น สู้กลับบ้าน ค่าใช้จ่ายถูกกว่า ถ้ามีที่นา มีสวน ก็ยังมีข้าวมีอาหารกิน ตรงนี้ก็น่าเห็นใจ เป็นอีกครั้งหนึ่งที่รัฐบาลอาจจะคาดไม่ถึง ปิดร้านหวังจะไม่ให้คนรวมกลุ่มไปแพร่เชื้อโรค แต่กลับกลายผลักคนให้ออกสู่ต่างจังหวัด แล้วโอกาศแพร่เชื้อก็เพิ่มมากขึ้น
ยังไงก็ขอให้ทุกท่านโชคดีครับ
แสดงความคิดเห็น
คนกรุงเทพ ที่แห่กลับบ้านต่างจังหวัดตอนนี้ ไม่กลัวคนที่บ้านติดโรคเหรอครับ