คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
ถ้าเอาข้อมูลแบบที่คุณให้มาก็ต้องบอกว่า 'ไม่รอดครับ' เพราะคุณขายถูกเกินไป (ตัวต้นทุน = 52% ของราคาขาย > 13/25 = 0.52) ถึงแม้ว่าคุณจะขายได้ 40 กล่องตามที่ตั้งไว้ต้นทุนทั้งหมดของคุณจะอยู่ที่ 520 (13*40) แต่กำไรคุณจะอยู่ที่ 480 (12*40) = 520 - 480 = (-) 40 ครับ ต่อให้คุณขายได้ 100 กล่อง คุณก็ยังขาดทุน
ฉะนั้น คุณมี 2 ตัวเลือกคือ ลดต้นทุน หรือ เพิ่มราคาขาย
(1) ลดต้นทุน - ผมแนะนำให้คุณแยกต้นทุนเป็นสองส่วนคือ สิ่งที่ควบคุมไม่ได้และคงที่ (แก๊ส, น้ำ, etc.) และ สิ่งที่ควบคุมได้และไม่คงที่ (หมู, กล่อง, ข้าว, กระเพรา, เครื่องปรุง) ค่าปรุงอาหารคุณ Fixed ไว้เลยว่า สมมุติทำ 50 กล่อง ค่าแก๊ส ค่าน้ำจะอยู่ที่เท่าไหร่ ส่วนนี้คุณควบคุมมันไม่ได้ สิ่งสำคัญคือส่วนที่ 2 อันนี้คุณควบคุมมันได้ เช่น ซื้อเครื่องปรุงที่ใหญ่ขึ้นแต่ใช้ได้นาน หรือแยกซื้อ ค่าหมูและเครื่องปรุง ใช้จำนวนเท่าไหร่ ที่ไหนขายถูกที่สุด ต้องซื้อจำนวนเท่าไหร่ (คุณควรมีสูตรและจำนวนวัตถุดิบที่แน่นอน) หากคุณลองหาดีๆ เผลอต้นทุนคุณจริงๆ อาจจะไม่ใช่ 13 บาทก็ได้
(2) เพิ่มราคาขาย - อันนี้ก่อนอื่นคุณต้องไปสำรวจลูกค้าแถวๆที่ๆคุณขายว่าพวกเขาพอใจที่จะจ่ายในราคาเท่าไหร่ (ดูจากร้านรอบๆก็ได้) แต่อย่างไรก็ตาม คุณขายอาหารแค่อย่างเดียวฉะนั้น ตัวต้นทุนคุณต้องไม่เกิน 50% ของราคาขาย ติ๊ต่างว่าต้นทุนคุณคือ 13 ผมแนะนำให้คุณขายอยู่ประมาณ 30 บาท (43%) คุณจะได้กำไร 160 บาท หากขายได้ 40 กล่อง คุณจะขายชองที่ต้นทุนเกิน 50% ได้ก็ต่อเมื่อคุณมีของที่ขายดีกว่าที่ต้นทุนมันต่ำ (35-40%) เพื่อเป็นตัวทดแทนส่วนที่เสียไปครับ (ร้านอาหารขึ้นห้างทั่วไปต้นทุนจะอยู่ที่ 25% - 35%) สงครามราคาเป็นเรื่องของคนรวยครับ อย่าไปแข่งกับเขา
ส่วนตัวผมแนะนำให้คุณพยายาม sort out ต้นทุนจริงๆของคุณตามวิธีที่ 1 ก่อนที่คิดจะดูเรื่องราคาครับ
ส่วนคำถามของคุณ
(1) ช่วงเวลา - อันนี้คุณลองใช้เวลาไปนั่งดูเลยครับ ว่าที่ตรงนั้นมัน Peak ช่วงไหน ผมแนะนำให้ไปดูแล้วจดบันทึกอย่างน้อย 1 อาทิตย์ ดู Traffic ว่าคนที่ผ่านไปมาบางตาหรือเยอะช่วงไหน รวมไปถึงสิ่งที่พวกเขาซื้อ / อายุ / เพศ เพราะข้อมูลแต่ละที่ไม่เหมือนกันครับ ที่ๆคุณจะขายเขาอาจจะอยากกินกระเพรากันตอนเย็นหรือเช้าก็ได้
(2) 40 กล่อง - อันนี้ถ้ามีร้านที่ขายอาหารใกล้เคียงกันคุณต้องลองไปสอบถามหรือสังเกตเขาดูครับ + เอาข้อมูลที่คุณหาจาก (1) มา แล้วประเมินเอาว่าคุณจะทำ Volume ได้ถึงรึเปล่า แต่สุดท้ายแล้วคุณต้องเสี่ยงครับ ไม่มีอะไร Guarantee ว่าคุณจะขายได้ 40 กล่อง
(3) ขายไม่หมด - ปรับลดจำนวนครับ อันนี้จะเจ็บหน่อย คุณต้องดูว่าในเวลา 1 อาทิตย์ที่คุณขายไปเนี่ย คุณขายได้ average เท่าไหร่ แล้วปรับลดให้เท่ากันครับ ที่ต้อง 1 อาทิตย์เพราะคุณไม่รู้ว่าวันต่อๆมาของอาทิตย์คุณอาจขายได้ก็ได้ ฉะนั้นข้อ (1) จึงเป็นสิ่งสำคัญครับ ยิ่งคุณทำมันได้ดีเท่าไหร่คุณก็จะลดความเสื่ยงได้เท่านั้น พยายาม track จำนวนลูกค้าในแต่ละวันแล้วหาค่า average ครับ > จำนวนลูกค้าของทั้งอาทิตย์ หาร จำนวนวันที่ขาย
(4) ไปถามเจ้าของ (7-11 / Lotus Express) เลยครับว่าคุณต้องเสียค่าอะไรหรือเปล่า ถ้าเสียก็อย่าลืมรวมค่านั้นไปในต้นทุนด้วยนะครับ แล้วคำนวนราคาใหม่
เรื่องรสชาติคุณต้องถามตัวเองว่า "ถ้ามันเหมือนตามสั่ง อะไรที่ทำให้ลูกค้าเรื่องของเรามากกว่าร้านอาหารตามสั่ง?"
อย่าตั้งความหวังไว้ที่วันแรกครับ เสี่ยงเกินไป ที่คุณต้องทำ ในกรณีที่ Fail คือเรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้า สถานที่ และอาหารของคุณให้ดีกว่าเดิมครับ
อันนี้มีเทคนิคมาแนะนำครับ ให้เอาเงินทั้งหมดที่คุณคิดจะเสียไปกับมัน สมมุติว่าประมาณ 5,000 บาท มาหารกับส่วนต่างกำไรครับ (ราคาขาย - ต้นทุน) Ex. 5,000 / 17 = 294 > หากคุณลงทุน 5,000 ในส่วนต่างกำไรที่ 17 บาทต่อกล่อง (30 - 13) คุณต้องขายให้ได้ 294 กล่อง หรือ 8,820 บาท ถึงจะไม่ขาดทุนครับ ฉะนั้นสมมุติว่าช่วงปิดเทอมคุณขาย 5 วันต่อสัปดาห์เป็นเวลา 2 เดือน = 40 วัน average คุณต้องขายได้อย่างต่ำ 294 / 40 = 7.35 ประมาณ 7 กล่องในทุกๆวันที่ขายถึงจะเท่าทุนครับ หรือ 37 กล่องต่ออาทิตย์ครับ > ใช้ในกรณีที่รู้เงิน budget ที่แน่นอนนะครับ
สู้ๆครับ อย่าลืมว่า "There is no point in making good food if you can't make a profit from it" ครับ
ฉะนั้น คุณมี 2 ตัวเลือกคือ ลดต้นทุน หรือ เพิ่มราคาขาย
(1) ลดต้นทุน - ผมแนะนำให้คุณแยกต้นทุนเป็นสองส่วนคือ สิ่งที่ควบคุมไม่ได้และคงที่ (แก๊ส, น้ำ, etc.) และ สิ่งที่ควบคุมได้และไม่คงที่ (หมู, กล่อง, ข้าว, กระเพรา, เครื่องปรุง) ค่าปรุงอาหารคุณ Fixed ไว้เลยว่า สมมุติทำ 50 กล่อง ค่าแก๊ส ค่าน้ำจะอยู่ที่เท่าไหร่ ส่วนนี้คุณควบคุมมันไม่ได้ สิ่งสำคัญคือส่วนที่ 2 อันนี้คุณควบคุมมันได้ เช่น ซื้อเครื่องปรุงที่ใหญ่ขึ้นแต่ใช้ได้นาน หรือแยกซื้อ ค่าหมูและเครื่องปรุง ใช้จำนวนเท่าไหร่ ที่ไหนขายถูกที่สุด ต้องซื้อจำนวนเท่าไหร่ (คุณควรมีสูตรและจำนวนวัตถุดิบที่แน่นอน) หากคุณลองหาดีๆ เผลอต้นทุนคุณจริงๆ อาจจะไม่ใช่ 13 บาทก็ได้
(2) เพิ่มราคาขาย - อันนี้ก่อนอื่นคุณต้องไปสำรวจลูกค้าแถวๆที่ๆคุณขายว่าพวกเขาพอใจที่จะจ่ายในราคาเท่าไหร่ (ดูจากร้านรอบๆก็ได้) แต่อย่างไรก็ตาม คุณขายอาหารแค่อย่างเดียวฉะนั้น ตัวต้นทุนคุณต้องไม่เกิน 50% ของราคาขาย ติ๊ต่างว่าต้นทุนคุณคือ 13 ผมแนะนำให้คุณขายอยู่ประมาณ 30 บาท (43%) คุณจะได้กำไร 160 บาท หากขายได้ 40 กล่อง คุณจะขายชองที่ต้นทุนเกิน 50% ได้ก็ต่อเมื่อคุณมีของที่ขายดีกว่าที่ต้นทุนมันต่ำ (35-40%) เพื่อเป็นตัวทดแทนส่วนที่เสียไปครับ (ร้านอาหารขึ้นห้างทั่วไปต้นทุนจะอยู่ที่ 25% - 35%) สงครามราคาเป็นเรื่องของคนรวยครับ อย่าไปแข่งกับเขา
ส่วนตัวผมแนะนำให้คุณพยายาม sort out ต้นทุนจริงๆของคุณตามวิธีที่ 1 ก่อนที่คิดจะดูเรื่องราคาครับ
ส่วนคำถามของคุณ
(1) ช่วงเวลา - อันนี้คุณลองใช้เวลาไปนั่งดูเลยครับ ว่าที่ตรงนั้นมัน Peak ช่วงไหน ผมแนะนำให้ไปดูแล้วจดบันทึกอย่างน้อย 1 อาทิตย์ ดู Traffic ว่าคนที่ผ่านไปมาบางตาหรือเยอะช่วงไหน รวมไปถึงสิ่งที่พวกเขาซื้อ / อายุ / เพศ เพราะข้อมูลแต่ละที่ไม่เหมือนกันครับ ที่ๆคุณจะขายเขาอาจจะอยากกินกระเพรากันตอนเย็นหรือเช้าก็ได้
(2) 40 กล่อง - อันนี้ถ้ามีร้านที่ขายอาหารใกล้เคียงกันคุณต้องลองไปสอบถามหรือสังเกตเขาดูครับ + เอาข้อมูลที่คุณหาจาก (1) มา แล้วประเมินเอาว่าคุณจะทำ Volume ได้ถึงรึเปล่า แต่สุดท้ายแล้วคุณต้องเสี่ยงครับ ไม่มีอะไร Guarantee ว่าคุณจะขายได้ 40 กล่อง
(3) ขายไม่หมด - ปรับลดจำนวนครับ อันนี้จะเจ็บหน่อย คุณต้องดูว่าในเวลา 1 อาทิตย์ที่คุณขายไปเนี่ย คุณขายได้ average เท่าไหร่ แล้วปรับลดให้เท่ากันครับ ที่ต้อง 1 อาทิตย์เพราะคุณไม่รู้ว่าวันต่อๆมาของอาทิตย์คุณอาจขายได้ก็ได้ ฉะนั้นข้อ (1) จึงเป็นสิ่งสำคัญครับ ยิ่งคุณทำมันได้ดีเท่าไหร่คุณก็จะลดความเสื่ยงได้เท่านั้น พยายาม track จำนวนลูกค้าในแต่ละวันแล้วหาค่า average ครับ > จำนวนลูกค้าของทั้งอาทิตย์ หาร จำนวนวันที่ขาย
(4) ไปถามเจ้าของ (7-11 / Lotus Express) เลยครับว่าคุณต้องเสียค่าอะไรหรือเปล่า ถ้าเสียก็อย่าลืมรวมค่านั้นไปในต้นทุนด้วยนะครับ แล้วคำนวนราคาใหม่
เรื่องรสชาติคุณต้องถามตัวเองว่า "ถ้ามันเหมือนตามสั่ง อะไรที่ทำให้ลูกค้าเรื่องของเรามากกว่าร้านอาหารตามสั่ง?"
อย่าตั้งความหวังไว้ที่วันแรกครับ เสี่ยงเกินไป ที่คุณต้องทำ ในกรณีที่ Fail คือเรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้า สถานที่ และอาหารของคุณให้ดีกว่าเดิมครับ
อันนี้มีเทคนิคมาแนะนำครับ ให้เอาเงินทั้งหมดที่คุณคิดจะเสียไปกับมัน สมมุติว่าประมาณ 5,000 บาท มาหารกับส่วนต่างกำไรครับ (ราคาขาย - ต้นทุน) Ex. 5,000 / 17 = 294 > หากคุณลงทุน 5,000 ในส่วนต่างกำไรที่ 17 บาทต่อกล่อง (30 - 13) คุณต้องขายให้ได้ 294 กล่อง หรือ 8,820 บาท ถึงจะไม่ขาดทุนครับ ฉะนั้นสมมุติว่าช่วงปิดเทอมคุณขาย 5 วันต่อสัปดาห์เป็นเวลา 2 เดือน = 40 วัน average คุณต้องขายได้อย่างต่ำ 294 / 40 = 7.35 ประมาณ 7 กล่องในทุกๆวันที่ขายถึงจะเท่าทุนครับ หรือ 37 กล่องต่ออาทิตย์ครับ > ใช้ในกรณีที่รู้เงิน budget ที่แน่นอนนะครับ
สู้ๆครับ อย่าลืมว่า "There is no point in making good food if you can't make a profit from it" ครับ
แสดงความคิดเห็น
ขายข้าวกะเพราหมูสับ กล่องละ 25 บาท จะรอดไหมครับ
ผมมีไอเดียคือขายข้าวกะเพราหมูสับใส่กล่อง แบบเราทำทุกอย่างเสร็จที่บ้านแล้วเเพ็คของใส่รถไปตั้งขาย ต้นทุนโดนประมาณต่อกล่องก็13บาท ตั้งใจจะขายให้ได้วันละ 40 กล่อง บ้านผมอยู่คลอง6 ใกล้มหาวิทยาลัยราชมงคลธัญบุรี ช่วงนี้นศ.คงกลับบ้านกันโดยส่วนใหญ่
อยากถามพี่ๆว่า
1.ควรเลือกขายช่วงไหนดีครับ เช้า/เย็น โดยความเห็นส่วนตัวของผม อยากขายช่วงเช้า เพราะเป็นช่วงที่คนคงอยากกินอะไรง่ายๆ มากกว่าช่วงเย็นละมั้งครับ และผมก็หาข้อมูลมาว่าช่วงเช้าๆคนจะกินข้าวกันน้อยเราจะสามารถควบคุมปริมาณอาหารได้
2.40กล่อง/วัน จะสามารถทำได้หรือเปล่าครับผมตั้งเป้าไว้สูงไปหรือเปล่า
3.ในกรณีที่ถ้าเกิดผมขายไม่หมดผมควรจะทำยังไงให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดดีครับ
4.ผมเล็งที่ไว้ มันจะมีรถหรือคนมาตั้งขายตามหน้าเซเว่น โลตัสเอ็คเพลส ที่ตรงนั้นเราต้องเสียเงินหรือเปล่า ถ้าอยู่ๆเราเข้าไปวางตั้งโต้ะขายจะมีปัญหาไหมครับ
เรื่องรสชาติคนรอบข้างที่ผมเคยทำให้กินบอกว่ารสชาติก็เหมือนร้านตามสั่งเลย
ถ้าพี่ๆมีอะไรแนะนำเพิ่มเติม หรือเทคนิคข้อคิดอะไรช่วยแนะนำด้วยนะครับ ผมกังวลมากเลยกลัวไปขายวันแรกแล้วเฟล ไม่ตรงตามเป้าที่วางไว้
ขอบพระคุณครับ