ในยุคที่ แซค สไนเดอร์ยังกุมบังเหียนดีอีซียูอยู่นั้น การวางแผน เรียงลำดับใช้ตัวละครต่างๆยังคงก็ออกมาเป็นขั้นเป็นตอน แต่เมื่อตัวหนังและผลตอบรับสวนทางกัน ทางค่ายจึงตัดสินใจใช้วิธีให้อิสระตามดั่งใจทีมผู้สร้างกันเอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของคำว่า”ชิงสุกก่อนห่าม”ที่ทำได้แค่ดีใจตอนนี้ได้เท่านั้น
 
 
หลังจากได้เจอหน้าคร่าตากันมาแล้วใน 
Suicide squad(2016)ลึกๆคงรู้แล้วว่าฮาร์ลีย์ต้องมาปรากฏตัวให้เราเห็นอีกครั้งเป็นแน่แท้ แอบแปลกใจนิดๆสำหรับค่ายหนังยอมปล่อยใจให้มาร์โก้มาเป็นโปรดิวเซอร์ มีผู้กำกับอย่างเคธี่ ยาน ที่เคยมีผลงานหนังยาวเพียงเรื่องเดียวอย่าง
Dead pig(2018)และทีมงานกำกับคิวบู้หนังไตรภาคพระเอกพ่อนักบุญเรื่อง
John wick(2014)มาดูแลเรื่องคิวบู๊ให้ การรวมตัวครั้งนี้จะเรียกได้ว่าเป็นการรวมตัวที่”น่าสนใจ”อย่างหวั่นๆรึเปล่า ที่เราจะได้ดีใจเห็นคิวบู๊ของจอห์นวิคในคราบดีซี บวกกับการผันตัวเป็นโปรดิวของดารานำ และผู้กำกับที่ไม่เคยได้แตะซีนแอ็คชั่นบ่อยนัก
 Bird of prey and the fantabulous emancipation of one harley quinn
 
Bird of prey and the fantabulous emancipation of one harley quinn หนังเรื่องที่แปดของจักรวาลดีอีซียู การกลับมาของฮาร์ลีย์ควินน์
(มาร์โก้ รอบบี้)เจ้าแม่อาชญากรรมเมืองก็อตแทม กับเรื่องราวหลังเลิกกับโจกเกอร์ที่ตัวเองเข้าไปพัวพันกับเพชรล้ำค่าที่หายไป โดยเจ้าของคือแบล็ค แมส
(ยวน แมคเกรเกอร์)หัวหน้าแก๊งค์รายใหญ่คอยตามล่าอยู่
 
 
การดำเนินเรื่องราวและการปูทางในช่วงแรกนั้น ต้องยอมรับว่าทีมงานตีโจทย์แตกกับการนำเสนอในมุมมองของฮาร์ลีย์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการนำเสนอในรูปแบบ
”เบรค เดอะโฟร์ทวอลล์”เทคนิคที่ตัวละครหลักสามารถสนทนากับคนดูได้ การใส่ลูกเล่นเป็นภาพอนิเมชั่นล้อเลียน สีสันฉูดฉาดแทรกเข้ามาในจังหวะต่างๆ พูดแล้วก็นึกถึงฮาร์ลีย์ฉบับในการ์ตูนแบทแมนหรือในอนิเมชั่นอย่าง
Batman and harley quinn(2017)และ
Harley Quinn(2019)ที่มีความเป็นแฟนตาซี สีฟุ้งๆ ช่างจ้อ หมั่นไส้น่าเอ็นดูถือค้อนยักษ์ไปมา เรียกได้ว่าโปรดิวเซอร์อย่างมาร์โก้โชว์ความจริตจะก้าน ตกใจ ดีใจและวิสัยทัศน์ของฮาร์ลีย์ได้เหมือนต้นฉบับอย่างพอดิบพอดีไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป
 
 
ภาพจากเรื่องเดตพูลกับฉากที่ตัวละครหันมาพูดกับผู้ชม
เหนือสิ่งอื่นใดที่สุดของหนังเรื่องนี้คือฉากแอคชั่นบอกได้เลยว่าดีกว่าของอีกค่ายหลายเท่าตัว การถ่ายที่ดูลื่นไหล ตัดน้อยๆถ่ายลากยาวๆ การระเบิดสีฟุ้งๆที่ให้ความบ้าและความตลก ดูจริงจังแต่มีจินตนาการ นับว่าครั้งนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับแซค สตาเฮลสกี้ ที่สร้างความโด่ดเด่นในซีนแอ็คชั่นได้อย่างชัดเจน
 
 
สิ่งนึงที่ผู้กำกับและทีมงานวางแผนกันมานานแล้วน่าจะเป็นการใส่แนวคิดเฟมินิสเข้าไปในหนัง ทำยังไงให้สามารถถ่ายทอดแนวคิดสตรีนิยมได้อย่างแนบเนียน ซึ่งตรงจุดนี้บทออกมาเรียกได้ว่าอยู่ในระดับที่พึงพอใจ ทำให้เราเห็นด้านต่างๆที่เราอยากจะเรียกได้เต็มปากเต็มคำถึงหัวใจของลูกผู้หญิงได้อย่างน่าชื่นชม
 
 
ปัญหาจริงๆของภาพยนตร์เรื่องนี้คือการใช้แฟลชแบ็คเล่าย้อนนาทีต่อนาทีในช่วงแรก ไม่ใช่ว่าการเล่าย้อนเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่การเล่าผิดจังหวะไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้เกิดความรู้สึกซ้ำซากจำเจ ไม่มีการพัฒนา เปลี่ยนหรือเพิ่มความท้าทายให้กับคนดูวนไปเรื่อยๆ ที่แม้จะมีฉากสนุก หรือฉากบู๊ที่น่าตื่นตาตื่นใจเพียงใด แต่ถ้าจะให้เห็นแต่ฮาร์ลีย์ทำหน้าบิดเบี้ยวตั้งแต่ต้นเรื่องยันท้ายเรื่องก็ทำเอาคนดูเหนื่อยหน่ายได้เหมือนกัน
 
 
ว่ากันตามตรงการที่ภาพยนตร์เบิร์ดออฟเพรย์ เกิดขึ้นได้นั่นก็เพราะมาร์โก้ รอบบี้ นักแสดงนำผลักดันโปรเจ็คนี้ให้เกิดขึ้นมา แล้วถ้าจะพูดว่ามีเพียงมาร์โก้คนเดียวเท่านั้นที่แทบจะเป็นข้อดีเพียงหนึ่งเดียวของหนังทั้งเรื่อง จะพูดว่าแบกหนังทั้งเรื่องก็ได้ เพราะถ้าพิจารณาดีๆแล้วถ้าไม่นับแบล็คแมสแคสที่เหลือก็แทบธรรมดา โดยเฉพาะบทของคาสแซนดร้า เคนที่บทเองกลับไม่ส่งต่อ เคมีดูไม่เข้ากันหรืออย่างไร จนไม่สามารถทำให้เราเชื่อได้ว่า อะไรคือความสัมพันธ์ที่ทั้งคู่มีจนนำไปสู่เหตุการณ์สุดท้าย
 
 
 
 
สำหรับการตีความลักษณะตัวละครใหม่และให้อิสระถือว่าเป็นเรื่องดี แต่การสร้างคาแรคเตอร์ให้ต่างออกไปจากเดิมโดยไม่ผ่านการคิดก็ค่อนข้างเสี่ยง ถ้าหากดีซียังใช้ตัวละครทิ้งๆขว้างๆแบบนี้อีกต่อไป เกรงว่าในอนาคตดีซีจะสร้างตัวละครมาดีแค่ไหนก็ยากที่จะลบภาพจำตัวละครที่เพียงแค่อยากสร้าง ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปของผู้กำกับคนอื่นก็แค่นั้น
 
 
ท้ายที่สุดแล้วเบิร์ดออฟเพรย์นั้นก็เป็นได้แค่”ภาพยนตร์กลางๆ”ดูเพลินๆมีฉากต่อสู้ที่น่าสนใจ แต่แทบจะไม่มีอะไรที่น่าจดจำ เรียกได้ว่าเราเห็นแต่สีสันและสิ่งดีๆที่ไม่มีการปรับระดับขึ้นลงจนตายด้านไปแล้ว น่าเสียดายถ้าตัวหนังมีบทสนทนาที่คมคายกว่านี้หน่อย นักแสดงและฉากที่เข้าถึงอารมณ์กว่านี้สักนิด อาจจะทำให้เข้ากับธีมหนังที่เน้นเรื่องสิทธิสตรีเหมือนกับที่ผู้กำกับต้องการไว้อยู่แล้วก็เป็นได้
 
 
 
🎂: 5.5/10																																	
  
							
โรตีรีวิว:Bird Of Prey
หลังจากได้เจอหน้าคร่าตากันมาแล้วใน Suicide squad(2016)ลึกๆคงรู้แล้วว่าฮาร์ลีย์ต้องมาปรากฏตัวให้เราเห็นอีกครั้งเป็นแน่แท้ แอบแปลกใจนิดๆสำหรับค่ายหนังยอมปล่อยใจให้มาร์โก้มาเป็นโปรดิวเซอร์ มีผู้กำกับอย่างเคธี่ ยาน ที่เคยมีผลงานหนังยาวเพียงเรื่องเดียวอย่างDead pig(2018)และทีมงานกำกับคิวบู้หนังไตรภาคพระเอกพ่อนักบุญเรื่องJohn wick(2014)มาดูแลเรื่องคิวบู๊ให้ การรวมตัวครั้งนี้จะเรียกได้ว่าเป็นการรวมตัวที่”น่าสนใจ”อย่างหวั่นๆรึเปล่า ที่เราจะได้ดีใจเห็นคิวบู๊ของจอห์นวิคในคราบดีซี บวกกับการผันตัวเป็นโปรดิวของดารานำ และผู้กำกับที่ไม่เคยได้แตะซีนแอ็คชั่นบ่อยนัก
Bird of prey and the fantabulous emancipation of one harley quinn หนังเรื่องที่แปดของจักรวาลดีอีซียู การกลับมาของฮาร์ลีย์ควินน์(มาร์โก้ รอบบี้)เจ้าแม่อาชญากรรมเมืองก็อตแทม กับเรื่องราวหลังเลิกกับโจกเกอร์ที่ตัวเองเข้าไปพัวพันกับเพชรล้ำค่าที่หายไป โดยเจ้าของคือแบล็ค แมส(ยวน แมคเกรเกอร์)หัวหน้าแก๊งค์รายใหญ่คอยตามล่าอยู่
การดำเนินเรื่องราวและการปูทางในช่วงแรกนั้น ต้องยอมรับว่าทีมงานตีโจทย์แตกกับการนำเสนอในมุมมองของฮาร์ลีย์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการนำเสนอในรูปแบบ”เบรค เดอะโฟร์ทวอลล์”เทคนิคที่ตัวละครหลักสามารถสนทนากับคนดูได้ การใส่ลูกเล่นเป็นภาพอนิเมชั่นล้อเลียน สีสันฉูดฉาดแทรกเข้ามาในจังหวะต่างๆ พูดแล้วก็นึกถึงฮาร์ลีย์ฉบับในการ์ตูนแบทแมนหรือในอนิเมชั่นอย่างBatman and harley quinn(2017)และHarley Quinn(2019)ที่มีความเป็นแฟนตาซี สีฟุ้งๆ ช่างจ้อ หมั่นไส้น่าเอ็นดูถือค้อนยักษ์ไปมา เรียกได้ว่าโปรดิวเซอร์อย่างมาร์โก้โชว์ความจริตจะก้าน ตกใจ ดีใจและวิสัยทัศน์ของฮาร์ลีย์ได้เหมือนต้นฉบับอย่างพอดิบพอดีไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป
ภาพจากเรื่องเดตพูลกับฉากที่ตัวละครหันมาพูดกับผู้ชม
เหนือสิ่งอื่นใดที่สุดของหนังเรื่องนี้คือฉากแอคชั่นบอกได้เลยว่าดีกว่าของอีกค่ายหลายเท่าตัว การถ่ายที่ดูลื่นไหล ตัดน้อยๆถ่ายลากยาวๆ การระเบิดสีฟุ้งๆที่ให้ความบ้าและความตลก ดูจริงจังแต่มีจินตนาการ นับว่าครั้งนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับแซค สตาเฮลสกี้ ที่สร้างความโด่ดเด่นในซีนแอ็คชั่นได้อย่างชัดเจน
สิ่งนึงที่ผู้กำกับและทีมงานวางแผนกันมานานแล้วน่าจะเป็นการใส่แนวคิดเฟมินิสเข้าไปในหนัง ทำยังไงให้สามารถถ่ายทอดแนวคิดสตรีนิยมได้อย่างแนบเนียน ซึ่งตรงจุดนี้บทออกมาเรียกได้ว่าอยู่ในระดับที่พึงพอใจ ทำให้เราเห็นด้านต่างๆที่เราอยากจะเรียกได้เต็มปากเต็มคำถึงหัวใจของลูกผู้หญิงได้อย่างน่าชื่นชม
ปัญหาจริงๆของภาพยนตร์เรื่องนี้คือการใช้แฟลชแบ็คเล่าย้อนนาทีต่อนาทีในช่วงแรก ไม่ใช่ว่าการเล่าย้อนเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ แต่การเล่าผิดจังหวะไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ทำให้เกิดความรู้สึกซ้ำซากจำเจ ไม่มีการพัฒนา เปลี่ยนหรือเพิ่มความท้าทายให้กับคนดูวนไปเรื่อยๆ ที่แม้จะมีฉากสนุก หรือฉากบู๊ที่น่าตื่นตาตื่นใจเพียงใด แต่ถ้าจะให้เห็นแต่ฮาร์ลีย์ทำหน้าบิดเบี้ยวตั้งแต่ต้นเรื่องยันท้ายเรื่องก็ทำเอาคนดูเหนื่อยหน่ายได้เหมือนกัน
ว่ากันตามตรงการที่ภาพยนตร์เบิร์ดออฟเพรย์ เกิดขึ้นได้นั่นก็เพราะมาร์โก้ รอบบี้ นักแสดงนำผลักดันโปรเจ็คนี้ให้เกิดขึ้นมา แล้วถ้าจะพูดว่ามีเพียงมาร์โก้คนเดียวเท่านั้นที่แทบจะเป็นข้อดีเพียงหนึ่งเดียวของหนังทั้งเรื่อง จะพูดว่าแบกหนังทั้งเรื่องก็ได้ เพราะถ้าพิจารณาดีๆแล้วถ้าไม่นับแบล็คแมสแคสที่เหลือก็แทบธรรมดา โดยเฉพาะบทของคาสแซนดร้า เคนที่บทเองกลับไม่ส่งต่อ เคมีดูไม่เข้ากันหรืออย่างไร จนไม่สามารถทำให้เราเชื่อได้ว่า อะไรคือความสัมพันธ์ที่ทั้งคู่มีจนนำไปสู่เหตุการณ์สุดท้าย
สำหรับการตีความลักษณะตัวละครใหม่และให้อิสระถือว่าเป็นเรื่องดี แต่การสร้างคาแรคเตอร์ให้ต่างออกไปจากเดิมโดยไม่ผ่านการคิดก็ค่อนข้างเสี่ยง ถ้าหากดีซียังใช้ตัวละครทิ้งๆขว้างๆแบบนี้อีกต่อไป เกรงว่าในอนาคตดีซีจะสร้างตัวละครมาดีแค่ไหนก็ยากที่จะลบภาพจำตัวละครที่เพียงแค่อยากสร้าง ผ่านมาแล้วก็ผ่านไปของผู้กำกับคนอื่นก็แค่นั้น
ท้ายที่สุดแล้วเบิร์ดออฟเพรย์นั้นก็เป็นได้แค่”ภาพยนตร์กลางๆ”ดูเพลินๆมีฉากต่อสู้ที่น่าสนใจ แต่แทบจะไม่มีอะไรที่น่าจดจำ เรียกได้ว่าเราเห็นแต่สีสันและสิ่งดีๆที่ไม่มีการปรับระดับขึ้นลงจนตายด้านไปแล้ว น่าเสียดายถ้าตัวหนังมีบทสนทนาที่คมคายกว่านี้หน่อย นักแสดงและฉากที่เข้าถึงอารมณ์กว่านี้สักนิด อาจจะทำให้เข้ากับธีมหนังที่เน้นเรื่องสิทธิสตรีเหมือนกับที่ผู้กำกับต้องการไว้อยู่แล้วก็เป็นได้
🎂: 5.5/10