........( โควิด ปิดระบบทุน )........
........สวัสดีครับ ทุกท่านที่เคารพรัก ขออนุญาต ตามกระแสกับเขามั่ง แต่ไปตามขอบสนามนะครับ ไม่ลงไปเล่นในเนื้อหา ว่าด้วยเรื่องอันตราย หรือที่มาที่ไปของโรคร้าย เพราะมีคนคุยกันเรื่องนั้นมากมายจนเด็กประถมก็รู้จัก คำว่าโควิดกันไปทั่วทุกคนแล้ว ผมจะขอคุยเกี่ยวกับความฝัน ว่ามีความเป็นไปได้แค่ไหน ที่ วิถีชีวิตอันงดงามแบบดั้งเดิมของคนไทย จะกลับคืนมาหลังจากสถานการณ์นี้ผ่านไป ครับ
วิกฤติครั้งนี้ ลุกลามไปทั่วโลกในเวลาอันรวดเร็ว ส่งผลให้หลายครอบครัวเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน หลาย ๆ สถานที่เริ่มปิดตัวชั่วคราว ทั้งสถานบันเทิง และในที่ ๆ คนจะไปรวมตัวกันแออัด โดยเฉพาะห้างต่าง ๆ ถึงไม่ปิด ผู้คนก็ไปเดินกันบางตา ทำให้หลายเมืองในตอนนี้เงียบเหงา และวังเวง
ลำบากไหมครับ ลำบากแน่นอน ไปทำงานก็ยาก ค้าขายก็ยาก ผู้คนอยู่ในบ้านกันหมด หันไปทางไหนก็เจอแต่แม่ค้า พ่อค้า คนซื้อไม่มีเดิน ตลาดนัดหลายแห่งเงียบสนิท ที่ปิดตัวไปก็มากพอควร
เดือดร้อนไหมครับ เดือนร้อนแน่นอน เถ้าแก่ขายของไม่ได้ก็เริ่มมองลูกน้องแล้วว่า ถ้าเลี้ยงไม่ไหวเพราะไม่มีเงินจ้าง คงต้องเชิญกลับไปอยู่บ้านมั่งแล้วไม่ใครก็ใคร ใจเต้น ตุบตับ ตุบตับกันละสิทีนี้ ทำงานไปเสียวหลังไปจะโดนสั่งหยุดเมื่อไรยังไม่รู้ชะตากรรม
เครียดครับ เป็นใครก็เครียด เพราะปกติทุกวันที่ผ่านมา ยังไม่มีโรคระบาดก็หากินกันแทบจะไม่พออยู่แล้ว นี่มาเจอสถานการณ์แบบนี้เข้าไปอีก ชีวิตยิ่งจมลง จมลง หลายคนกำลังคิดแบบนั้น หายใจเข้าลึก ๆ ครับ ช้า ๆ มองรอบ ๆ ตัว แล้วนึกในใจว่า ตอนนี้ เรายังมีชีวิตอยู่ นั่นแหละ คือสิ่งสำคัญ สำคัญที่สุดกว่าสิ่งใด เพราะถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ โอกาสที่เราจะสร้างสิ่งใดขึ้นมา ย่อมเป็นไปได้อย่างไม่ยากเย็น
เมื่อสิ่งที่มีค่าที่สุดยังคงอยู่กับตัวเรา คือ ลมหายใจ และชีวิต คราวนี้ก็มองต่อไป ว่าอะไร ที่ทำให้เรายังคงอยู่ เดินได้ พูดได้ หายใจได้ ถ้ามองดี ๆ ก็จะเห็นชัดครับ ว่าสิ่งนั้น คือ อาหาร หลายท่านที่ตั้งใจเก็บตัวอยู่กับบ้าน เริ่มกักตุนอาหารกันแล้ว
พูดถึง อาหาร ตอนนี้ มีใครคิดถึงอาหารหรู ๆ แบบประเภทกินหมดไปสองพัน ก็ยังไม่อิ่ม กลับบ้านไปยังต้องไปทอดไข่กินกับข้าวเย็นก้อนแข็ง ๆ อีก มีหรือเปล่าครับ หรือ นั่งวางมาดในร้านกาแฟ คุยงานทางไลน์ไป จิบกาแฟแก้วละเจ็ดสิบ ทานแกล้มกับเค้กส้ม ชิ้นหนึ่งมีสามคำ ราคาแปดสิบบาท พอกลับบ้านแวะเติมตังโทรศัพท์หน้าปากซอยห้าสิบบาท แล้วเข้าบ้านต้มมาม่ากิน มีบ้างไหมครับในตอนนี้
คงเหลืออยู่ไม่กี่คนแล้วนะครับ เพราะท่านที่มีเงินจริง ๆ ก็คงไม่กล้าเสี่ยงออกมาคลุกคลีกับผู้คน ส่วนใหญ่ใช้เวลาอยู่ในบ้าน ตุนอาหารที่พอประทังชีวิตอยู่ได้ กินแค่อิ่ม กินแค่มีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ รอให้สถานการณ์คลี่คลาย ซึ่งพอถึงตอนนั้น ร้านค้าบางร้าน และห้างบางห้าง คงต้องปิดตัวลง ไม่ได้แช่งนะครับ แต่ค่าใช้จ่ายของห้างบางแห่งวันหนึ่งหลักแสน เขาคงไม่มานั่งเปิดไว้ให้พนักงานนั่งตากแอร์เล่นกันนานหลาย ๆ เดือนถ้าไม่มีคนเข้าไปซื้อของข้างใน
หลายคนมีคำถามในใจว่า ถ้าห้างปิดตัวลง เราจะอยู่ยังไง ถ้า ร้านสะดวกซื้อแถวบ้านไม่มี เราคงอดตาย หยุดคิดแบบนั้นสักนิดครับ แล้วลองนึกย้อนกลับไปช้า ๆ กลับไปไม่ต้องไกลหรอกครับ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี่เอง ร้านสะดวกซื้อไม่มี เราอยู่กันมาได้ตลอดตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย จนถึงใกล้ปัจจุบัน และถ้าพูดกันตามหลักความจริง เราอยู่กันมาได้แบบมีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่ได้อ้วนเนื้อเหลวกันแบบในปัจจุบัน ที่อาหารขยะเกลื่อนเมือง
ถ้าจะพูดให้ชัดลงไปเลยก็คือว่า วิถีชีวิตของพวกเราเปลี่ยนไปมากเกินไป จากที่เคยทำกันแค่พอมีพอกิน และกิน เพียงแค่ให้ชีวิตคงอยู่เหมือนอย่างที่เคยเป็นมา ปัจจุบันเรากินกันเพราะความอยาก มากกว่ากินแก้หิว อยากกินของแปลก ๆ แพง ๆ อยากซื้อมากินแล้วถ่ายรูปไปอวดกัน อยากกิน เพราะเห็นคนอื่นเค้ากิน และความอยากกินทั้งมวล ก็ต้องใช้เงินเพื่อให้ได้มา
อาหารขยะใกล้ตัว เรากินกันทุกเวลา ห้าทุ่ม เที่ยงคืน ตีหนึ่ง ตีสอง เดินเข้าร้านสะดวกซื้อ เพื่อซื้ออาหารขยะมาใส่ปากเพิ่มไขมันในหลอดเลือด พอกพูน คอเลสเตอรอล ให้ร่างกาย ละลายน้ำตาลหล่อเลี้ยงไปทุกอณูของเรือนร่าง และเข้าแถวลงชื่อเป็นสมาชิกโรคหัวใจ โรคความดัน โรคเบาหวาน อย่างเต็มอกเต็มใจ จนคุณหมอหลาย ๆ ท่านไม่ต้องมีเวลาพักผ่อนจากการงาน เงินที่เราเสียไป ส่วนหนึ่งจึงเป็นการเพิ่มโรคภัยให้แก่ร่างกาย และส่วนหนึ่ง ใช้ไปกับการรักษาพยาบาล
เวลานี้ โรคร้ายโควิด ได้ต้อนหลาย ๆ คนให้กลับเข้าชุมชนของตัวเอง มีเวลาเห็นหน้าคนรัก มีเวลาให้กับญาติพี่น้อง และมีเวลานั่งคิด ถึงการใช้ชีวิตที่ผ่านมา
เงิน ที่เราหามาด้วยความยากลำบาก เรา ใช้มันหมดไปกับอะไรมากกว่ากัน ระหว่างสิ่งจำเป็นต่อชีวิต กับ สิ่งฟุ่มเฟือยที่ย้อนกลับมาทำลายตัวเรา
พวกเราเคยคิดสักนิดบ้างไหมว่า เวลาเดินเข้าห้างครั้งหนึ่ง เราเข็นรถบรรจุของที่ซื้อ ออกมาที่ท้ายรถเรา ทุกอย่างในรถเข็นนั้น จำเป็นต่อชีวิตเราทั้งหมดหรือ เราซื้อเพราะขาดสิ่งนั้นไม่ได้ ถ้าไม่มีสิ่งนั้นแล้วเราจะตาย หรือว่าเราซื้อมาเพราะอยากได้มัน แม้กระทั่งของบางอย่างที่หยิบใส่รถมา ซื้อมาเพราะราคามันเร้าใจว่า ราคาเต็มนั้น หนึ่งร้อยเก้าสิบเก้า ลดเหลือ ร้อยเดียว เลยซื้อมา เราจำเป็นต้องกินต้องใช้ของสิ่งนั้นจริงหรือเปล่า ถามตัวเองดูนะครับ ไปซื้อของครั้งหนึ่ง มีของที่ไม่จำเป็นต้องใช้ติดกลับมากี่อย่าง และในชีวิต เข้าห้างไปแล้วกี่ครั้ง มีของที่ไม่จำเป็นกองสุมอยู่ในบ้านเท่าไรแล้วตอนนี้
ถ้าจะถามว่า แล้วมันเกี่ยวอะไรกันกับการทำงานหาเงิน ผมก็จะขอตอบว่าเกี่ยวอย่างแน่นอน เกี่ยวเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะเราต้องตรากตรำทำงาน เวลาจะพักจะผ่อนก็ไม่มี จากบ้าน จากพ่อจากแม่ คนที่รักไปไกล ๆ เพื่อหาเงิน พอได้เงินมา ก็ไปหมดกับอะไรไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่สิ่งนั้น ถ้าไม่มี เราก็ไม่ตาย แต่เราลืมมอง ลืมคิด กลับดิ้นรนตะเกียกตะกาย เพื่อให้ได้เงินมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น และ สุดท้ายได้มามากเท่าไรก็ไม่เคยพอ
โควิด ได้ฉุดความคิดของหลายคนกลับคืนมา ตอนนี้ ทุกคน คิดตรงกันทั่วทุกมุมโลก ว่า ขออย่าให้ตัวเองติดเชื้อ และขอให้ตัวเอง รอดตาย ขอแค่นั้น นั่นคือความจริง
ความคิดเรื่องสิ่งฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยลดน้อยถอยลงไป ในเมื่อทุกลมหายใจคิดเพียงแค่ว่า ทำอย่างไรจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ก็ไม่ต้องสะสมอะไรที่เกินความจำเป็น นอกจากปัจจัยพื้นฐานของมนุษย์ นั่นคือ เสื้อผ้า ยา อาหาร และ ที่อยู่อาศัย
หลายคนมีคำถามในใจเรื่องหนี้สินที่มีอยู่เดิม และเงินทองที่จะมาจับจ่ายในปัจจุบัน ในขณะที่กลับไปอยู่บ้านของตัวเอง และไม่มีงานทำ
นี่แหละครับ วิถีชีวิตอันงดงามของคนไทย กำลังจะกลับมา
ปลูกข้าวแค่พอกิน ปลูกพืชผักสวนครัวไว้รอบบ้าน เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา ใครไม่มีบ้าน ไม่มีที่เป็นของตัวเอง เพราะเป็นของนายทุนไปหมดแล้ว ตอนนี้แหละครับ เราจะได้เห็นบทบาทที่แท้จริงของผู้นำชุมชน และได้เห็นน้ำใจของคนไทยด้วยกันที่อยู่ใกล้ ๆ ตัว รอบบ้านของท่านเอง
ผู้นำชุมชน ในอดีตกาล หน้าที่หลัก คือดูแลทุกข์สุขของลูกบ้านครับ ตอนนี้ ในสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงแบบนี้ เป็นโอกาสอันดี ทีท่านจะได้แสดงความเป็นผู้นำออกมาอย่างชัดเจน โดยการดูแลลูกบ้านของท่าน ให้มีอยู่มีกิน ซึ่งถ้าเพียงพอแค่กิน ไม่จำเป็นต้องใช้ทุนมากมาย แค่ข้าว แค่น้ำ และที่ซุกหัวนอน ของคนคนหนึ่ง ใช้เงินเพียงไม่กี่สตางค์
ในขณะที่ก่อนหน้านั้น เราหมดเปลืองไปกับอะไรที่ไม่เป็นเรื่องเป็นราวมากมาย ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่เราจะได้มานั่งทบทวน ว่า เงินหนึ่งพันบาทที่เราหามาได้ในวันวานนั้น เราใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิตจริง ๆ ของเราเท่าไร และเราใช้ในสิ่งที่ไม่จำเป็นไปเท่าไร นั่นคือ สิ่งที่เราจะต้องจำ และถึงเวลาที่จะนำวิถีไทยกลับมาใช้ในชีวิตประจำวัน
พึ่งตัวเอง นั่นคือสิ่งแรกในความคำนึงเมื่อกลับสู่บ้านเกิด ความสามารถมีอะไร นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชน ใครมีฝีมือช่าง , เย็บปักถักร้อย , การเกษตร , เครื่องยนต์กลไก ใครมีความรู้ด้านใดนำมารวมกันสร้างความเข้มแข็งสามัคคีขึ้นมา และรอบ ๆ บ้าน ใครขาดสิ่งใด ช่วยเหลือกันได้ก็ดูแลกันไป ไม่ต้องรอใคร มีอะไรทำได้ก็ทำกันไป เราต้องพึ่งพาตัวเอง เมื่อตัวเราเอง และครอบครัวรอดแล้ว จึงมองไปยังบ้านใกล้เรือนเคียง และยื่นมือเข้าช่วยเหลือต่อ ๆ กันไป นี่คือวิถีไทย ในอดีตกาล
ผู้นำในชุมชน มีบทบาทสำคัญมากในตอนนี้ เพราะสามารถประสานงานกับหน่วยงานราชการในจังหวัดได้เป็นอย่างดี ลูกบ้านในปกครองของท่านมีกี่ครัวเรือน ใครมีภาระหนี้สินอย่างไร ใครไม่มีที่ทำกิน ก็ช่วยหาทางแก้ไขกันไป เพราะ ผู้นำชุมชนในอดีตกาล แต่งตั้งโดยชาวบ้าน รวมตัวกัน บังคับให้ขึ้นมาเป็นผู้นำ เพราะเห็นว่า ท่านมีความสามารถพาลูกบ้านไปในทิศทางที่ดี มีอยู่มีกิน และที่สำคัญ ท่านเป็นคนดี แต่ยุคนี้ สถานการณ์ขณะนี้ ถ้าท่านดูแลลูกบ้านไม่ดี พวกเขา จะตัดสินใจกันเองว่าควรจะแต่งตั้งใครขึ้นมาแทน
เหตุการณ์ ขณะนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ การมีชีวิตอยู่ มีข้าวกิน ซึ่งเป็นโอกาสที่ดี ที่เราจะเริ่มกลับมาฟื้นฟูธรรมชาติด้วยตัวเอง หลังจากโดนทำลายย่อยยับมานาน ด้วยระบบทุนนิยม
ทำนาแค่พอกิน มีที่ห้าไร่ สิบไร่ ข้าวก็พอกินไปตลอดปี อยากมีเงินหลายล้าน ต้องมีนาเป็นพันไร่ รุกล้ำที่ทางมากมาย
ปลูกบ้านอยู่หนึ่งครอบครัว ใช้ไม้ไม่กี่ต้นก็พอ ต้องการความเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี บุกรุกที่ กี่แสนไร่ ต้นไม้ก็มีให้ตัดมาขายไม่พอ
ปลูกผักไว้กินในครอบครัว ที่ดินแปลงเล็ก ๆ ก็เพียงพอ มองไปเขียวชอุ่มสบายตา เป็นไม้ประดับไปในตัว
ต้องการมีเงินเป็นล้าน หรือหลาย ๆ ล้าน ต้องไถที่ปลูกพืชผักไปไกลสุดตา ตัดต้นไม้ทุกต้นที่ขวางทาง และใส่ปุ๋ยทำลายดินทุกตารางนิ้วให้หมดสภาพไป มองไปทางไหนเห็นเปลวแดดเต้นระยิบจนปวดตา
ปลาหนึ่งตัว หรือสองตัว ก็พอกินกันทั้งครอบครัว ปลาวันละหนึ่งล้านตัน ป้อนเข้าโรงงาน ทุก ๆ วัน ทั้งเดือน ทั้งปี ก็ไม่เพียงพอ
นั่นคือ ธรรมชาติที่ถูกทำลายโดยระบบทุนนิยม ทำลายจนไม่มีเค้าเดิมเหลืออยู่เลย ทำลายโดยเราทุกคนมีส่วนร่วมในการทำลายโดยตรง เพราะพฤติกรรมการกิน การอยู่ การใช้ชีวิต ที่เปลี่ยนไปของเรา
ดังนั้น วิกฤติ และการหลีกเลี่ยงเชื้อร้ายในปัจจุบัน จึงเปิดโอกาสให้ผู้คนหันหน้ากลับเข้าในครอบครัว ใช้ชีวิตประจำวันอย่างปกติธรรมดา มีเวลาคิดถึงสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต คือ อาหาร และไม่จำเป็นต้องเป็นอาหารหรูหราฟุ่มเฟือย พื้นที่เล็กน้อยหน้าบ้านก็สามารถปลูกพืชผักสวนครัวได้สบาย การกินเพียงแค่ให้มีชีวิตอยู่ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากมาย จึงเป็นโอกาสอันดี ที่เราจะพากันกลับสู่ชุมชน ช่วยกันพลิกผืนดิน ช่วยกันฟื้นผืนป่า หลังถูกระบบทุนนิยม ทำลาย ย่ำยี มาช้านาน
เชื้อโรคร้ายในขณะนี้ ทั่วโลก กำลังคิดค้นวิธีป้องกันและรักษาอย่างไม่นิ่งนอนใจ ก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกหน่วยงาน ค้นพบได้โดยเร็ววัน และขออวยพรให้ทุกท่าน ปลอดภัย ไกลเชื้อร้าย มีความสุขอยู่กับคนที่ท่านรัก ในทุกครัวเรือน และยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่จะได้เห็นวิถีชีวิตอันงดงามแบบไทยกลับคืนมา พร้อมกับผืนป่า และไร่นา อันงดงาม แม้จะเป็นไปได้ สักสิบเปอร์เซ็นต์ที่ฝันไว้ ข้าพเจ้าก็ดีใจ เกินคำบรรยาย......
ลุงแผน
๒๐ มีนาคม ๒๕๖๓
........คุยกัน ตามกระแส เรื่อง ........( โควิด ปิดระบบทุน )........ โดย ลุงแผน
........สวัสดีครับ ทุกท่านที่เคารพรัก ขออนุญาต ตามกระแสกับเขามั่ง แต่ไปตามขอบสนามนะครับ ไม่ลงไปเล่นในเนื้อหา ว่าด้วยเรื่องอันตราย หรือที่มาที่ไปของโรคร้าย เพราะมีคนคุยกันเรื่องนั้นมากมายจนเด็กประถมก็รู้จัก คำว่าโควิดกันไปทั่วทุกคนแล้ว ผมจะขอคุยเกี่ยวกับความฝัน ว่ามีความเป็นไปได้แค่ไหน ที่ วิถีชีวิตอันงดงามแบบดั้งเดิมของคนไทย จะกลับคืนมาหลังจากสถานการณ์นี้ผ่านไป ครับ
วิกฤติครั้งนี้ ลุกลามไปทั่วโลกในเวลาอันรวดเร็ว ส่งผลให้หลายครอบครัวเก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน หลาย ๆ สถานที่เริ่มปิดตัวชั่วคราว ทั้งสถานบันเทิง และในที่ ๆ คนจะไปรวมตัวกันแออัด โดยเฉพาะห้างต่าง ๆ ถึงไม่ปิด ผู้คนก็ไปเดินกันบางตา ทำให้หลายเมืองในตอนนี้เงียบเหงา และวังเวง
ลำบากไหมครับ ลำบากแน่นอน ไปทำงานก็ยาก ค้าขายก็ยาก ผู้คนอยู่ในบ้านกันหมด หันไปทางไหนก็เจอแต่แม่ค้า พ่อค้า คนซื้อไม่มีเดิน ตลาดนัดหลายแห่งเงียบสนิท ที่ปิดตัวไปก็มากพอควร
เดือดร้อนไหมครับ เดือนร้อนแน่นอน เถ้าแก่ขายของไม่ได้ก็เริ่มมองลูกน้องแล้วว่า ถ้าเลี้ยงไม่ไหวเพราะไม่มีเงินจ้าง คงต้องเชิญกลับไปอยู่บ้านมั่งแล้วไม่ใครก็ใคร ใจเต้น ตุบตับ ตุบตับกันละสิทีนี้ ทำงานไปเสียวหลังไปจะโดนสั่งหยุดเมื่อไรยังไม่รู้ชะตากรรม
เครียดครับ เป็นใครก็เครียด เพราะปกติทุกวันที่ผ่านมา ยังไม่มีโรคระบาดก็หากินกันแทบจะไม่พออยู่แล้ว นี่มาเจอสถานการณ์แบบนี้เข้าไปอีก ชีวิตยิ่งจมลง จมลง หลายคนกำลังคิดแบบนั้น หายใจเข้าลึก ๆ ครับ ช้า ๆ มองรอบ ๆ ตัว แล้วนึกในใจว่า ตอนนี้ เรายังมีชีวิตอยู่ นั่นแหละ คือสิ่งสำคัญ สำคัญที่สุดกว่าสิ่งใด เพราะถ้าเรายังมีชีวิตอยู่ โอกาสที่เราจะสร้างสิ่งใดขึ้นมา ย่อมเป็นไปได้อย่างไม่ยากเย็น
เมื่อสิ่งที่มีค่าที่สุดยังคงอยู่กับตัวเรา คือ ลมหายใจ และชีวิต คราวนี้ก็มองต่อไป ว่าอะไร ที่ทำให้เรายังคงอยู่ เดินได้ พูดได้ หายใจได้ ถ้ามองดี ๆ ก็จะเห็นชัดครับ ว่าสิ่งนั้น คือ อาหาร หลายท่านที่ตั้งใจเก็บตัวอยู่กับบ้าน เริ่มกักตุนอาหารกันแล้ว
พูดถึง อาหาร ตอนนี้ มีใครคิดถึงอาหารหรู ๆ แบบประเภทกินหมดไปสองพัน ก็ยังไม่อิ่ม กลับบ้านไปยังต้องไปทอดไข่กินกับข้าวเย็นก้อนแข็ง ๆ อีก มีหรือเปล่าครับ หรือ นั่งวางมาดในร้านกาแฟ คุยงานทางไลน์ไป จิบกาแฟแก้วละเจ็ดสิบ ทานแกล้มกับเค้กส้ม ชิ้นหนึ่งมีสามคำ ราคาแปดสิบบาท พอกลับบ้านแวะเติมตังโทรศัพท์หน้าปากซอยห้าสิบบาท แล้วเข้าบ้านต้มมาม่ากิน มีบ้างไหมครับในตอนนี้
คงเหลืออยู่ไม่กี่คนแล้วนะครับ เพราะท่านที่มีเงินจริง ๆ ก็คงไม่กล้าเสี่ยงออกมาคลุกคลีกับผู้คน ส่วนใหญ่ใช้เวลาอยู่ในบ้าน ตุนอาหารที่พอประทังชีวิตอยู่ได้ กินแค่อิ่ม กินแค่มีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ รอให้สถานการณ์คลี่คลาย ซึ่งพอถึงตอนนั้น ร้านค้าบางร้าน และห้างบางห้าง คงต้องปิดตัวลง ไม่ได้แช่งนะครับ แต่ค่าใช้จ่ายของห้างบางแห่งวันหนึ่งหลักแสน เขาคงไม่มานั่งเปิดไว้ให้พนักงานนั่งตากแอร์เล่นกันนานหลาย ๆ เดือนถ้าไม่มีคนเข้าไปซื้อของข้างใน
หลายคนมีคำถามในใจว่า ถ้าห้างปิดตัวลง เราจะอยู่ยังไง ถ้า ร้านสะดวกซื้อแถวบ้านไม่มี เราคงอดตาย หยุดคิดแบบนั้นสักนิดครับ แล้วลองนึกย้อนกลับไปช้า ๆ กลับไปไม่ต้องไกลหรอกครับ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี่เอง ร้านสะดวกซื้อไม่มี เราอยู่กันมาได้ตลอดตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย จนถึงใกล้ปัจจุบัน และถ้าพูดกันตามหลักความจริง เราอยู่กันมาได้แบบมีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่ได้อ้วนเนื้อเหลวกันแบบในปัจจุบัน ที่อาหารขยะเกลื่อนเมือง
ถ้าจะพูดให้ชัดลงไปเลยก็คือว่า วิถีชีวิตของพวกเราเปลี่ยนไปมากเกินไป จากที่เคยทำกันแค่พอมีพอกิน และกิน เพียงแค่ให้ชีวิตคงอยู่เหมือนอย่างที่เคยเป็นมา ปัจจุบันเรากินกันเพราะความอยาก มากกว่ากินแก้หิว อยากกินของแปลก ๆ แพง ๆ อยากซื้อมากินแล้วถ่ายรูปไปอวดกัน อยากกิน เพราะเห็นคนอื่นเค้ากิน และความอยากกินทั้งมวล ก็ต้องใช้เงินเพื่อให้ได้มา
อาหารขยะใกล้ตัว เรากินกันทุกเวลา ห้าทุ่ม เที่ยงคืน ตีหนึ่ง ตีสอง เดินเข้าร้านสะดวกซื้อ เพื่อซื้ออาหารขยะมาใส่ปากเพิ่มไขมันในหลอดเลือด พอกพูน คอเลสเตอรอล ให้ร่างกาย ละลายน้ำตาลหล่อเลี้ยงไปทุกอณูของเรือนร่าง และเข้าแถวลงชื่อเป็นสมาชิกโรคหัวใจ โรคความดัน โรคเบาหวาน อย่างเต็มอกเต็มใจ จนคุณหมอหลาย ๆ ท่านไม่ต้องมีเวลาพักผ่อนจากการงาน เงินที่เราเสียไป ส่วนหนึ่งจึงเป็นการเพิ่มโรคภัยให้แก่ร่างกาย และส่วนหนึ่ง ใช้ไปกับการรักษาพยาบาล
เวลานี้ โรคร้ายโควิด ได้ต้อนหลาย ๆ คนให้กลับเข้าชุมชนของตัวเอง มีเวลาเห็นหน้าคนรัก มีเวลาให้กับญาติพี่น้อง และมีเวลานั่งคิด ถึงการใช้ชีวิตที่ผ่านมา
เงิน ที่เราหามาด้วยความยากลำบาก เรา ใช้มันหมดไปกับอะไรมากกว่ากัน ระหว่างสิ่งจำเป็นต่อชีวิต กับ สิ่งฟุ่มเฟือยที่ย้อนกลับมาทำลายตัวเรา
พวกเราเคยคิดสักนิดบ้างไหมว่า เวลาเดินเข้าห้างครั้งหนึ่ง เราเข็นรถบรรจุของที่ซื้อ ออกมาที่ท้ายรถเรา ทุกอย่างในรถเข็นนั้น จำเป็นต่อชีวิตเราทั้งหมดหรือ เราซื้อเพราะขาดสิ่งนั้นไม่ได้ ถ้าไม่มีสิ่งนั้นแล้วเราจะตาย หรือว่าเราซื้อมาเพราะอยากได้มัน แม้กระทั่งของบางอย่างที่หยิบใส่รถมา ซื้อมาเพราะราคามันเร้าใจว่า ราคาเต็มนั้น หนึ่งร้อยเก้าสิบเก้า ลดเหลือ ร้อยเดียว เลยซื้อมา เราจำเป็นต้องกินต้องใช้ของสิ่งนั้นจริงหรือเปล่า ถามตัวเองดูนะครับ ไปซื้อของครั้งหนึ่ง มีของที่ไม่จำเป็นต้องใช้ติดกลับมากี่อย่าง และในชีวิต เข้าห้างไปแล้วกี่ครั้ง มีของที่ไม่จำเป็นกองสุมอยู่ในบ้านเท่าไรแล้วตอนนี้
ถ้าจะถามว่า แล้วมันเกี่ยวอะไรกันกับการทำงานหาเงิน ผมก็จะขอตอบว่าเกี่ยวอย่างแน่นอน เกี่ยวเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะเราต้องตรากตรำทำงาน เวลาจะพักจะผ่อนก็ไม่มี จากบ้าน จากพ่อจากแม่ คนที่รักไปไกล ๆ เพื่อหาเงิน พอได้เงินมา ก็ไปหมดกับอะไรไม่รู้ ทั้ง ๆ ที่สิ่งนั้น ถ้าไม่มี เราก็ไม่ตาย แต่เราลืมมอง ลืมคิด กลับดิ้นรนตะเกียกตะกาย เพื่อให้ได้เงินมากขึ้น มากขึ้น มากขึ้น และ สุดท้ายได้มามากเท่าไรก็ไม่เคยพอ
โควิด ได้ฉุดความคิดของหลายคนกลับคืนมา ตอนนี้ ทุกคน คิดตรงกันทั่วทุกมุมโลก ว่า ขออย่าให้ตัวเองติดเชื้อ และขอให้ตัวเอง รอดตาย ขอแค่นั้น นั่นคือความจริง
ความคิดเรื่องสิ่งฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยลดน้อยถอยลงไป ในเมื่อทุกลมหายใจคิดเพียงแค่ว่า ทำอย่างไรจะมีชีวิตอยู่ต่อไป ก็ไม่ต้องสะสมอะไรที่เกินความจำเป็น นอกจากปัจจัยพื้นฐานของมนุษย์ นั่นคือ เสื้อผ้า ยา อาหาร และ ที่อยู่อาศัย
หลายคนมีคำถามในใจเรื่องหนี้สินที่มีอยู่เดิม และเงินทองที่จะมาจับจ่ายในปัจจุบัน ในขณะที่กลับไปอยู่บ้านของตัวเอง และไม่มีงานทำ
นี่แหละครับ วิถีชีวิตอันงดงามของคนไทย กำลังจะกลับมา
ปลูกข้าวแค่พอกิน ปลูกพืชผักสวนครัวไว้รอบบ้าน เลี้ยงไก่ เลี้ยงปลา ใครไม่มีบ้าน ไม่มีที่เป็นของตัวเอง เพราะเป็นของนายทุนไปหมดแล้ว ตอนนี้แหละครับ เราจะได้เห็นบทบาทที่แท้จริงของผู้นำชุมชน และได้เห็นน้ำใจของคนไทยด้วยกันที่อยู่ใกล้ ๆ ตัว รอบบ้านของท่านเอง
ผู้นำชุมชน ในอดีตกาล หน้าที่หลัก คือดูแลทุกข์สุขของลูกบ้านครับ ตอนนี้ ในสถานการณ์ที่สุ่มเสี่ยงแบบนี้ เป็นโอกาสอันดี ทีท่านจะได้แสดงความเป็นผู้นำออกมาอย่างชัดเจน โดยการดูแลลูกบ้านของท่าน ให้มีอยู่มีกิน ซึ่งถ้าเพียงพอแค่กิน ไม่จำเป็นต้องใช้ทุนมากมาย แค่ข้าว แค่น้ำ และที่ซุกหัวนอน ของคนคนหนึ่ง ใช้เงินเพียงไม่กี่สตางค์
ในขณะที่ก่อนหน้านั้น เราหมดเปลืองไปกับอะไรที่ไม่เป็นเรื่องเป็นราวมากมาย ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่เราจะได้มานั่งทบทวน ว่า เงินหนึ่งพันบาทที่เราหามาได้ในวันวานนั้น เราใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ชีวิตจริง ๆ ของเราเท่าไร และเราใช้ในสิ่งที่ไม่จำเป็นไปเท่าไร นั่นคือ สิ่งที่เราจะต้องจำ และถึงเวลาที่จะนำวิถีไทยกลับมาใช้ในชีวิตประจำวัน
พึ่งตัวเอง นั่นคือสิ่งแรกในความคำนึงเมื่อกลับสู่บ้านเกิด ความสามารถมีอะไร นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อชุมชน ใครมีฝีมือช่าง , เย็บปักถักร้อย , การเกษตร , เครื่องยนต์กลไก ใครมีความรู้ด้านใดนำมารวมกันสร้างความเข้มแข็งสามัคคีขึ้นมา และรอบ ๆ บ้าน ใครขาดสิ่งใด ช่วยเหลือกันได้ก็ดูแลกันไป ไม่ต้องรอใคร มีอะไรทำได้ก็ทำกันไป เราต้องพึ่งพาตัวเอง เมื่อตัวเราเอง และครอบครัวรอดแล้ว จึงมองไปยังบ้านใกล้เรือนเคียง และยื่นมือเข้าช่วยเหลือต่อ ๆ กันไป นี่คือวิถีไทย ในอดีตกาล
ผู้นำในชุมชน มีบทบาทสำคัญมากในตอนนี้ เพราะสามารถประสานงานกับหน่วยงานราชการในจังหวัดได้เป็นอย่างดี ลูกบ้านในปกครองของท่านมีกี่ครัวเรือน ใครมีภาระหนี้สินอย่างไร ใครไม่มีที่ทำกิน ก็ช่วยหาทางแก้ไขกันไป เพราะ ผู้นำชุมชนในอดีตกาล แต่งตั้งโดยชาวบ้าน รวมตัวกัน บังคับให้ขึ้นมาเป็นผู้นำ เพราะเห็นว่า ท่านมีความสามารถพาลูกบ้านไปในทิศทางที่ดี มีอยู่มีกิน และที่สำคัญ ท่านเป็นคนดี แต่ยุคนี้ สถานการณ์ขณะนี้ ถ้าท่านดูแลลูกบ้านไม่ดี พวกเขา จะตัดสินใจกันเองว่าควรจะแต่งตั้งใครขึ้นมาแทน
เหตุการณ์ ขณะนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ การมีชีวิตอยู่ มีข้าวกิน ซึ่งเป็นโอกาสที่ดี ที่เราจะเริ่มกลับมาฟื้นฟูธรรมชาติด้วยตัวเอง หลังจากโดนทำลายย่อยยับมานาน ด้วยระบบทุนนิยม
ทำนาแค่พอกิน มีที่ห้าไร่ สิบไร่ ข้าวก็พอกินไปตลอดปี อยากมีเงินหลายล้าน ต้องมีนาเป็นพันไร่ รุกล้ำที่ทางมากมาย
ปลูกบ้านอยู่หนึ่งครอบครัว ใช้ไม้ไม่กี่ต้นก็พอ ต้องการความเป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี บุกรุกที่ กี่แสนไร่ ต้นไม้ก็มีให้ตัดมาขายไม่พอ
ปลูกผักไว้กินในครอบครัว ที่ดินแปลงเล็ก ๆ ก็เพียงพอ มองไปเขียวชอุ่มสบายตา เป็นไม้ประดับไปในตัว
ต้องการมีเงินเป็นล้าน หรือหลาย ๆ ล้าน ต้องไถที่ปลูกพืชผักไปไกลสุดตา ตัดต้นไม้ทุกต้นที่ขวางทาง และใส่ปุ๋ยทำลายดินทุกตารางนิ้วให้หมดสภาพไป มองไปทางไหนเห็นเปลวแดดเต้นระยิบจนปวดตา
ปลาหนึ่งตัว หรือสองตัว ก็พอกินกันทั้งครอบครัว ปลาวันละหนึ่งล้านตัน ป้อนเข้าโรงงาน ทุก ๆ วัน ทั้งเดือน ทั้งปี ก็ไม่เพียงพอ
นั่นคือ ธรรมชาติที่ถูกทำลายโดยระบบทุนนิยม ทำลายจนไม่มีเค้าเดิมเหลืออยู่เลย ทำลายโดยเราทุกคนมีส่วนร่วมในการทำลายโดยตรง เพราะพฤติกรรมการกิน การอยู่ การใช้ชีวิต ที่เปลี่ยนไปของเรา
ดังนั้น วิกฤติ และการหลีกเลี่ยงเชื้อร้ายในปัจจุบัน จึงเปิดโอกาสให้ผู้คนหันหน้ากลับเข้าในครอบครัว ใช้ชีวิตประจำวันอย่างปกติธรรมดา มีเวลาคิดถึงสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต คือ อาหาร และไม่จำเป็นต้องเป็นอาหารหรูหราฟุ่มเฟือย พื้นที่เล็กน้อยหน้าบ้านก็สามารถปลูกพืชผักสวนครัวได้สบาย การกินเพียงแค่ให้มีชีวิตอยู่ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากมาย จึงเป็นโอกาสอันดี ที่เราจะพากันกลับสู่ชุมชน ช่วยกันพลิกผืนดิน ช่วยกันฟื้นผืนป่า หลังถูกระบบทุนนิยม ทำลาย ย่ำยี มาช้านาน
เชื้อโรคร้ายในขณะนี้ ทั่วโลก กำลังคิดค้นวิธีป้องกันและรักษาอย่างไม่นิ่งนอนใจ ก็ขอเป็นกำลังใจให้ทุกหน่วยงาน ค้นพบได้โดยเร็ววัน และขออวยพรให้ทุกท่าน ปลอดภัย ไกลเชื้อร้าย มีความสุขอยู่กับคนที่ท่านรัก ในทุกครัวเรือน และยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่จะได้เห็นวิถีชีวิตอันงดงามแบบไทยกลับคืนมา พร้อมกับผืนป่า และไร่นา อันงดงาม แม้จะเป็นไปได้ สักสิบเปอร์เซ็นต์ที่ฝันไว้ ข้าพเจ้าก็ดีใจ เกินคำบรรยาย......
ลุงแผน
๒๐ มีนาคม ๒๕๖๓