ระหว่างตายด้วยโรคร้ายโควิดกับตายอย่างขาดสติ สิ่งไหนน่ากลัวกว่ากัน

ช่วงเวลานี้โลกของเราต้องประสบปัญหากับภัยพิบัติในรูปแบบหนึ่ง คือ ภัยจากโรคโควิด 19 ซึ่งทำให้เกิดความเดือดร้อนในด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ไปในหลายประเทศทั่วโลก

   โควิดนี้นับว่าเป็นภัยพิบัติที่มนุษยชาติตื่นกลัว เพราะเป็นโรคที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและเมื่อผู้ใดติดไวรัสตัวนี้แล้ว ก็สามารถทำให้ถึงแก่ความตายได้
   แต่ในความเป็นจริงแล้ว ภัยโควิดก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นหรอก เพราะภัยพิบัติที่พร้อมทำให้มนุษย์บาดเจ็บ พิการและเสียชีวิต ก็มีอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว ถึงจะไม่มีโควิด ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องรอดพ้นจากภัยพิบัติทุกอย่างได้ ไม่ใช่ว่าคุณจะรอดพ้นจากความตายไปได้

   ทีนี้มาทำความเข้าใจกับคำว่าภัยพิบัติก่อน
ภัย คือ อันตราย
พิบัติ มีความหมายคำเดียวกับคำว่า วิบัติ คือ ความยิ้ม,หายนะ
เพราะฉะนั้นคำว่า ภัยพิบัติ คือ อันตรายที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน 

   หากนึกถึง ภัยพิบัติ คนส่วนมากก็มักนึกถึง ไฟไหม้ป่า,ภูเขาไฟระเบิด,น้ำท่วม,ลูกเห็บตก หรือแม้กระทั่งอุกาบาตวิ่งมาชนโลก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทำให้คนรู้สึกว่าเป็นภัยที่ไกลตัวและเกิดขึ้นได้ยาก คงไม่เกิดขึ้นกับตัวเราง่ายหรอก
นั่นเป็นเพราะคนส่วนมากไม่ได้รู้จักความหมายของคำว่า ภัยพิบัติ จริง

   ที่จริงแล้วคำว่า ภัยพิบัติ ตามที่ได้บอกความหมายไปว่า เป็นอันตรายที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน 
ไม่ได้บอกว่า ภัย นั้นจะต้องมาจากธรรมชาติเพียงอย่างเดียว เพราะสิ่งที่สร้างความเสียหายต่อมนุษย์จนถึงแก่ความตายนั้นมีหลายรูปแบบมาก เช่น
อกหักจากแฟนแล้วไปกระโดดลงแม่น้ำตาย ก็เป็นภัยพิบัติ
เมาเหล้าขับรถชนต้นไม้จนเสียชีวิต ก็เป็นภัยพิบัติ
ไปก่อคดีความแล้วถูกตำรวจวิสามัญ ก็เป็นภัยพิบัติ
เครียดจากการทำธุรกิจ แล้วรมควันให้ตัวเองตาย ก็เป็นภัยพิบัติ เป็นต้น
หนุ่มน้อยใจแฟนสาว โดดคลองฆ่าตัวตาย
https://youtu.be/QZCPkcLjcoc
ชายนิรนามขับจยย.กลับจากชมหมอลำ รถเสียหลักลงข้างทางชนเสาไฟฟ้า ศีรษะกระแทกเสาไฟเสียชีวิต
https://siamrath.co.th/n/131567
เสี่ยเครียดรมควันฆ่าตัวในรถ
https://www.thairath.co.th/news/local/central/1791869

   จากสิ่งที่กล่าวมานี้ ทำให้เห็นได้ว่าโลกของเรามีภัยพิบัติที่พร้อมทำลายชีวิตมนุษย์เราอยู่เสมอๆ ทั้งจากภัยที่ธรรมชาติสร้างขึ้นและมนุษย์ลงมือทำเอง
ภัยพิบัติจึงไม่ใช่สิ่งที่น่าแปลก น่าพิศวงแต่อย่างใด ภัยพิบัติเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ เป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องปกติ เป็นสิ่งที่มนุษย์พบเจอได้ไม่ยากและสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา การที่มนุษย์ต้องประสบกับความเจ็บ และความตาย เป็นเรื่องธรรมดา สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนไว้อยู่แล้ว

ชะราธัมโมมหิ ชะรัง อะนะตีโต , เรามีความแก่เป็นธรรมดา ยังไม่ล่วงพ้นความแก่ไปได้ ,
พะยาธิธัมโมมหิ พะยาธิง อะนะตีโต , เรามีความเจ็บเป็นธรรมดา ยังไม่ล่วงพ้นความเจ็บไปได้ ,
มะระณะธัมโมมหิ มะระณัง อะนะตีโต, เรามีความตายเป็นธรรมดา ยังไม่ล่วงพ้นความตายไปได้,
สัพเพหิ เม ปิเยหิ มะนาเปหิ นานาภาโว วินาภาโว เราจะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจด้วยกันหมดทั้งสิ้น

  บทสวดที่ชาวพุทธสวดกันบ่อยๆ ตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องความแก่ ความเจ็บและความตาย ก็มีให้เห็นอยู่จากรอบๆตัวเราและหลายร้อยหลายพันเหตุการณ์จากทั่วทุกมุมโลก แต่ชาวพุทธได้นำบทสวดเหล่านี้มาพิจารณากันตามความเป็นจริงขนาดไหน หรือมัวแต่ตื่นกลัวกับความแก่ ความเจ็บและความตาย ทั้งที่ความตายนั้นไม่เรื่องตื่นเต้นน่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวกว่าความตายคือ การไม่ได้สร้างความดีที่ควรทำไว้ก่อนตายมากกว่า

   แม้สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง พระองค์แม้แต่จะเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ก็ไม่ทิ้งมรณานุสสติกรรมฐาน คือนึกถึงความตายเป็นอารมณ์ วันหนึ่งพระองค์ตรัสถามพระอานนท์ว่า อานันทะ ดูก่อนอานนท์ เธอนึกถึงความตายวันละกี่ครั้ง พระอานนท์กราบทูลตอบว่า นึกถึงความตายวันละเจ็ดครั้งพระเจ้าข้า พระองค์ตรัสว่า ยังห่างมากอานนท์ ตถาคตนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก

   การนึกถึงความตายเป็นปกติเป็นของดี แม้แต่พระพุทธเจ้ายังเฝ้าคิดถึงความตาย เพราะผู้ที่คิดถึงความตายรู้ตัวว่าจะตายแล้วย่อมไม่สั่งสมความชั่ว คอยปลีกตัวออกจากความชั่ว และมีอารมณ์ไม่หวั่นไหวในเมื่อความตายมาถึงแล้ว เพราะคิดอยู่รู้เสมอแล้วว่าเราต้องตายแน่ และจะทำให้ผู้ระลึกนั้นเร่งสร้างความดีอย่างมากที่สุด

ณอน บูรณะหิรัญ ตายอย่างมีสติ
https://youtu.be/HrU3AqP2hQY

   ส่วนกิจกรรมในช่วงนี้ที่มีการส่งเสริมเรื่องการสวดมนต์กันไล่โควิดกันทั่วบ้านทั่วเมือง ก็เป็นกิจกรรมที่ดีและน่าสนับสนุน แต่จะสำเร็จผลแค่ไหน ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง จะเอาไปเทียบกับสมัยพุทธกาลทั้งหมดคงไม่ได้

ในสมัยพุทธกาลนั้น พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ พระสาวกที่มาสวดก็ล้วนแต่เป็นพระอรหันต์ ผู้คนในสมัยพุทธกาลก็มีศีลมีธรรมมากกว่าคนสมัยนี้ การสวดจึงพลังมีอานุภาพ สวดเพียงครั้งเดียวก็สำเร็จผลได้ เพราะดีทั้งผู้สวดและผู้รับฟัง
   ส่วนสมัยนี้พระที่มาสวดมีพลังจิตตานุภาพน้อยกว่าพระในสมัยพุทธกาลมาก ผู้คนที่มารับฟังก็มีศีลธรรมน้อยลง จะให้สวดครั้งเดียวแล้วสัมฤทธิ์ผล คงเป็นเรื่องยาก น่าจะต้องทำกันหลายครั้ง แล้วทำกันทั้งประเทศ ก็คงพอมีหวัง
 
   ในพุทธกาลนั้น มีพระอรหันต์อยู่เป็นจำนวนมากเปรียบเหมือนมีเทียนเล่มใหญ่หลายๆเล่ม ความสว่างก็มีมาก
สมัยนี้ การปฏิบัติธรรมของพระสมัยนี้จำนวนมากอ่อนด้อยกว่าสมัยพุทธกาล พระในยุคนี้ก็เปรียบดั่งเทียนเล่มเล็กเมื่อเทียบกับสมัยพุทธกาล แต่หากจุดเทียนเล่มเล็กนั้น ให้มากขึ้น เพิ่มจำนวนขึ้น ก็คงพอมีความสว่างที่มากขึ้นตามลำดับ ถึงแม้ว่าเทียนเล่มเล็กพันเล่มจะมีความสว่างสู้เทียนเล่มใหญ่จำนวนร้อยเล่มไม่ได้ ก็ยังคงต้องจุดเทียนเล็กนั้นต่อไป ให้มีความสว่างพอใช้งานบ้างก็ยังดี
   
   เพราะฉะนั้น การสวดมนต์เพื่อขจัดภัยก็ควรทำไปพร้อมการเจริญมรณนุสติกรรมฐานด้วย ถึงจะเป็นการทำความดีที่สมบูรณ์
   
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่