โพสต์นี้ ชวนคิด ชวนตั้งคำถาม ว่าแต่ละท่านมีอะไรอยากขอ อยากนำเสนอรัฐบาล
ดิฉันไม่รู้จักใครในรัฐบาลนะคะ 555

แค่คิดว่าเล่น ๆ ว่าตัวเองอยากได้อะไรจากรัฐบาล ก็เลยอยากชวนเพื่อน ๆ มาแลกเปลี่ยนด้วย
ขอเป็นสิ่งที่อยากได้ อยากเห็นจริง ๆ นะคะ
เรื่องวิจารณ์ติติง หรือ ด่า อั้นไว้ก่อน (อิชั้นก็อั้นไว้ค่ะ เพราะถ้าเริ่มแล้ว กลัวตัวเองจะยั้งไม่อยู่เหมือนกัน 555)
ขอประเดิมก่อนเลยนะคะว่าตัวเองอยากได้มาตรการแบบไหน
1.อยากได้
ศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจโควิด-19 พร้อม
IO for Covit สื่อสารทางด้านโซเชียลมีเดีย ทั้งทางเฟสบุ๊ค ไลน์ ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม อยู่ภายใต้ร่มหลังคาบูรณาการเดียวกัน
ศูนย์ปฏิบัติการนี้ อาจไม่จำเป็นต้องให้ท่านนายกฯ หรือ รมต.สาธารณสุข เป็นแม่ทัพ ท่านทั้งสองอาจถนัดการบริหารในด้านอื่น สถานการณ์อื่น แต่อยากให้เป็นบุคลากรด้านการแพทย์ที่มีความรู้จริง ๆ รวมกันเป็นทีมเฉพาะกิจ มีสิทธิตัดสินใจเด็ดขาดในเรื่องมาตรการต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้ตอบสนองได้ทันท่วงทีกว่า
ส่วน IO for Covit ก็อยากให้หัวหน้าปฏิบัติการศูนย์นี้ดูแลโดยตรง
- มีคอลเซ็นเตอร์ 24 ชั่วโมงคอยตอบคำถามด้วยคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญจริง ๆ
- มีคนคอย screen ข่าวทั้งหลาย และชี้แจงว่าอะไรเป็นข่าวจริง ข่าว fake
- มีการ update ทุกชั่วโมง พร้อมภาพและวิธีการรับมือซึ่งอาจจะต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ตลอดเวลา
- มีการให้คำแนะนำที่ถูกต้อง ซึ่งคำแนะนำอาจเปลี่ยนได้ แต่หากเรามีศูนย์กลางข้อมูลที่เป็นหลักให้เกาะแล้ว เวลามีอะไรเปลี่ยนก็แค่มาฟัง update จากศูนย์นี้ เช่น หน้ากาก จะใส่หรือไม่ใส่ดี คนกลุ่มไหนควรใส่แบบไหน ซื้อได้ที่ไหนบ้าง หรือมีที่ไหนต้องการความร่วมมือหรือความช่วยเหลืออะไรบ้าง
2.อยากได้มาตรการสร้างความเชื่อมั่นที่เป็นรูปธรรม แต่ไม่ทำลายเศรษฐกิจ
ดิฉันเองเคยได้อ่านโพสต์ของพี่คนหนึ่งที่พูดถึง Program Covit Tracker ว่า
“แอพนำเสนอข้อมูลเก่าที่เลื่อนลอย แล้ว ชี้จุดแหล่งท่องเที่ยว
เพียงเพราะมีคนนิยมไป ( ? )
โดย “ ต่าง ” ไม่ได้คำนึงถึงสภาพความเป็นจริงว่า
แหล่งท่องเที่ยวหลายๆแห่ง อย่างเยาวราชและเจริญกรุง
ผู้ค้าร่วมมือกันทำความสะอาดบริเวณแผงค้าทุกค่ำคืน
ทั้งเจ้าหน้าที่เขตสัมพันธวงศ์ นำรถน้ำมาฉีดเป่าทำความ
สะอาดถนนและทางเท้าหลังเที่ยงคืนมาตลอด
ตั้งแต่ครั้ง กทม.ประสพกับปัญหาฝุ่นขนาดเล็ก
ที่สำคัญ เวลาเที่ยงวันถนนก็ร้อนจัดจากเปลวแดดที่แผดเผา
ถามหน่อย ภายใต้สภาพดั่งว่านี้
เจ้าโควิดเป็นเชื้อ อมตะหรือไร....
...........................
อยากให้หลายคน และรัฐบาล เห็นภาพ แม่ค้าขนมถ้วย
นั่งเช็ดน้ำตา ข้างรถเข็นที่มีขนมอยู่เต็มรถ
เมื่อเที่ยงคืนวันศุกร์ ( 13 มีค. ) ที่ถนนแปลงนามจัง
เผื่อท่านจะเกิดสำนึกรับผิดชอบว่า
การปล่อยให้คนเอาข้อมูลเก่าๆ มาลวงโลก
มันทำร้ายเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับรากหญ้าอย่างไร.. “

ในฐานะที่เป็นหนึ่งในคนที่ชื่นชมและเข้าใจถึงเจตนาดีของคนทำ Covit Tracker และร่วมแชร์เพื่อเผยแพร่ข่าวนี้ออกไปโดยไม่ได้พิจารณาถึงผลกระทบอีกด้านหนึ่ง ทำให้ดิฉันยิ่งอดคิดไม่ได้ว่า รัฐสามารถเข้ามาต่อยอด ใช้ประโยชน์จาก Covit Tracker เพื่อสร้างความเชื่อมั่นได้ เช่น
หากมีข่าวออกมาและผู้คนเช็คทางแอปว่า มีคนติดโควิดไปตามสถานที่นี้ นี้ นี้ นี้
ก็อยากให้รัฐบาลพลิกจุดนี้เป็นโอกาส ด้วยการจัดหน่วย sanitizer แบบม้าเร็ว ไปฉีดพ่นทำความสะอาด และทำการถ่ายรูป ประชาสัมพันธ์บอกประชาชนว่า
ตรงจุดนี้ มีการพบโควิด และรัฐบาลแก้ไข ทำ big cleaning ให้แล้วนะ ต้องทิ้งไว้กี่วัน ถึงจะไปที่นี่อีกทีได้
และพอถึงระยะปลอดภัยที่จะกลับไปที่นั้นอีกได้ ก็ขอให้ท่านรัฐมนตรี อธิบดี หรือท่านนายกฯเอง แวะไปเช็คอิน กินข้าว ถ่ายรูป ให้ประชาชนเห็นสักหน่อยว่า สถานที่นี้ นี้ นี้ ตอนนี้ปลอดภัยแล้วนะ


สมัยไข้หวัดนกระบาด หนึ่งในภาพที่อาจจะดูขำ ๆ แต่ก็สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้คือ นายกฯทักษิณ นำแอโรบิคพร้อมเคี้ยวไก่โชว์ผู้สื่อข่าว (งดการเมืองนะคะ อิชั้นก็ไม่ได้โปรท่านทักษิณ หรือพรรคพี่น้องท่าน) มันเป็นภาพลุคบ้าน ๆ ที่ทรงพลังมาก ๆ ในการบอกว่า “ปลอดภัยนะครับพี่น้อง นายกฯยังกิน ทุกคนก็น่าจะกินได้”
- น่าจะมีการตั้งตู้ฉีดฆ่าเชื้อสำหรับคนสัญจรหรือ booth สำหรับ sanitize แบบในเวียดนาม ตามสถานที่พลุกพล่านต่าง ๆ เช่น สนามบิน สถานีขนส่ง BTS หากรัฐไม่รู้ว่าจะจัดหาจัดซื้อได้ที่ไหน น่าจะขอความร่วมมือกับเอกชนอย่าง Emquartier ซึ่งได้ติดตั้งซุ้มฉีดพ่นฆ่าเชื้อไว้แล้ว
3.อยากได้มาตรการช่วยเหลือคนเล็กคนน้อยที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก แต่ไม่รู้จะเริ่มปรับตัวทางไหนหรือทำอย่างไร
พ่อค้าแม่ขายริมทางที่เคยขายของกิน ขายของใช้บางคนก็เล่นเฟซบุ๊คเป็นแต่ไม่รู้จักวิธีทำเพจ ขายทางลาซาด้า หรือทาง grab ก็อยากให้มีหน่วยม้าเร็ว จัดอบรมในเขตเป็นกลุ่มเล็ก ๆ เพื่อช่วยพวกเค้าสื่อสารหน่อยว่า จะให้คนซื้อสั่งซื้อทางเฟซ ทางไลน์ ทางเว็บ ทางโทรศัพท์ได้อย่างไร เพราะตอนเกิดโควิด คนก็ยังต้องกิน ต้องใช้เหมือนเดิม
4.อยากให้อุดหนุนคนที่ได้รับผลกระทบเต็ม ๆ แบบตรง ๆ ง่าย ๆ และทันที โดย win-win ด้วยกันทั้งคู่
เช่น บางโรงแรมต้องปิดเพราะไม่มีนักท่องเที่ยว อยากให้รัฐบาลไปเหมาเช่าโรงแรมนั้น ๆ ไปเลย ใช้เป็นที่กักกันตัวผู้ต้องอยู่ภายใต้การกักกัน พวกผีน้อยที่กลับมา หลังเหตุการณ์ระบาดจบ ก็ไปทำความสะอาดคืนพื้นที่
เพราะการเช่าโรงแรมก็เหมาะสมดี โรงแรมมีครัวและถ้วยชามรามไหมากมายในการเสริฟ มี facilities ที่ทำให้ผู้คนไม่เบื่อมากนัก และเป็นการรวมตัวผู้เสี่ยงติดเชื้อให้อยู่ในที่เดียวกัน สะดวกต่อการดูแล
5.อยากให้ “แหก” กรอบ แก้กฎเดิม ๆ มาเพิ่มความคล่องตัวในการทำงานเพื่อต้านโควิดบ้าง
เช่น หากต้องขอความร่วมมือประชาชนในการไม่รวมตัว ไม่เคลื่อนไหว ไม่ท่องเที่ยวมากนัก
ก็ต้องมีคนคอยส่งข้าว ส่งน้ำ ส่งของ

ก็น่าจะทำให้ grab ถูกกฎหมาย จัดลงทะเบียน ตั้งทีม grab ช่วยชาติขึ้นมา แล้วให้ grab เหล่านี้ช่วยส่งของ และเพื่อเป็นม้าเร็วในการส่งอะไรต่อมิอะไรให้การซื้อการขายยังโบกสะพัด และการทำงานไหลลื่นไปได้ ในระหว่างที่ต้อง shut down และ lock down เป็นพื้นที่
หากรัฐไม่มีบุคลากรที่เชี่ยวชาญในบางด้าน เช่น บุคลากรด้านไอทีสำหรับการทำแอปที่จำเป็น บุคลากรด้านวิทยาศาสตร์สำหรับการทำแลปและวิเคราะห์ข้อมูล บุคลากรด้านการสื่อสารข้อมูลที่เข้าใจง่ายและถูกต้อง ทำไม รัฐไม่ยืมตัวบุคคลเก่ง ๆ เหล่านี้มาจากบริษัทเอกชน และให้ incentive ไปว่า เงินเดือนของคนเก่ง ๆ พวกนี้ 2-3 เดือน ขอให้เอกชนจ่ายไปตามปกติ รัฐขอยืมตัวมาทำงานช่วยชาติเฉพาะกิจ แล้วเงินเดือนของคนเหล่านี้ ปลายปี เอามาหักค่าใช้จ่ายปลายปีได้ 2 เท่า อะไรอย่างนี้เป็นต้น
6. อยากได้ราคามาตรฐาน และแหล่งซื้อของใช้ และบริการที่จำเป็นต่อการช่วยต้านโรค
ที่ไต้หวัน รัฐมนตรี Audrey ทำแอปให้ประชาชนเช็คได้ว่าร้านไหนขายหน้ากากบ้าง และแต่ละคนมีสิทธิซื้อที่เท่าไร
ประเทศเราพอจะทำอะไรคล้าย ๆ กันนี้ ได้บ้างไหมคะ ?
ดิฉันคิดว่าเรามีศักยภาพ ก็ที ชิม ช็อบ ใช้ เรายังทำได้เลย เงินสะพัดสนุกสนาน
รัฐน่าจะทำ vendor list ของคนขายหน้ากากอนามัย และ บริษัทที่รับฉีดพ่นทำความสะอาด พร้อมทำราคากลางของสินค้าและบริการในการต้านโควิด แปะไว้ในสื่อที่เป็นทางการของรัฐ
สามารถให้ประชาชนลงทะเบียนซื้อได้โดยใช้บัตรประชาชน จ่ายเงินผ่านพร้อมเพย์ และบริษัจะจัดส่งหน้ากากให้ถึงบ้าน
ส่วนบริการฉีดพ่น ทำความสะอาด รัฐน่าจะรวบรวมบริษัทที่ให้บริการพวกนี้อย่างมีมาตรฐาน พร้อมแจ้งราคากลางให้ทราบ และอาจให้แรงจูงใจด้วยว่า ใครใช้บริการบริษัทพวกนี้ ถือว่ามีส่วนสนับสนุนการต้านไวรัส เอาใบเสร็จมาใช้หักค่าใช้จ่ายภาษีปลายปีได้อีก
7.อยากได้มาตรการทางการเงินที่ชัดเจนในการจูงใจให้คนร่วมมือในการต้านโควิด มากกว่าแจกเงินหว่านโปรยไปเรื่อย ๆ อย่างเดียว
ล่าสุด นายแพทย์ยง ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาจากจุฬา ท่านแนะนำให้ตรวจโควิดให้ประชาชนมากขึ้นเพื่อสกัดการเผยแพร่
รัฐคงกุมขมับว่า “จะเอาเงินมาจากไหน ?” ค่าตรวจก็แพงด้วย
ทำไมรัฐไม่กำหนดราคากลางไปเลยว่า ค่าตรวจโควิดควรจะไม่เกิน xxxx บาท และใครตรวจโควิด หรือจ่ายค่าตรวจให้กับญาติ พี่น้อง ลูกน้อง ในบริษัท หรืออะไรก็ว่าไป เอาใบเสร็จค่าตรวจมาลดภาษีได้ 2 เท่า คาดว่าหุ้นโรงพยาบาลก็จะพุ่งขึ้นจากการรับเคสตรวจโควิด

ใครบริจาคเงินให้โรงพยาบาลที่รักษาโควิด วงเล็บหลังใบเสร็จเลยว่า โควิด ปลายปีเอามาหักค่าใช้จ่ายได้อีก อะไรทำนองนี้
เฮ้อ... นี่ดิฉันก็เขียนเรื่อยเปื่อย แก้ฟุ้งซ่านในวันที่อะไร ๆ มันดูหนักอึ้ง และหม่นหมองจริง ๆ
ขอให้ทุกอย่างดีขึ้นโดยเร็ว
จากเหตุการณ์การระบาดของ Covid-19 คุณอยากให้รัฐบาลช่วยอะไร ?
ดิฉันไม่รู้จักใครในรัฐบาลนะคะ 555
แค่คิดว่าเล่น ๆ ว่าตัวเองอยากได้อะไรจากรัฐบาล ก็เลยอยากชวนเพื่อน ๆ มาแลกเปลี่ยนด้วย
ขอเป็นสิ่งที่อยากได้ อยากเห็นจริง ๆ นะคะ
เรื่องวิจารณ์ติติง หรือ ด่า อั้นไว้ก่อน (อิชั้นก็อั้นไว้ค่ะ เพราะถ้าเริ่มแล้ว กลัวตัวเองจะยั้งไม่อยู่เหมือนกัน 555)
ขอประเดิมก่อนเลยนะคะว่าตัวเองอยากได้มาตรการแบบไหน
1.อยากได้ศูนย์ปฏิบัติการเฉพาะกิจโควิด-19 พร้อม IO for Covit สื่อสารทางด้านโซเชียลมีเดีย ทั้งทางเฟสบุ๊ค ไลน์ ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรม อยู่ภายใต้ร่มหลังคาบูรณาการเดียวกัน
ศูนย์ปฏิบัติการนี้ อาจไม่จำเป็นต้องให้ท่านนายกฯ หรือ รมต.สาธารณสุข เป็นแม่ทัพ ท่านทั้งสองอาจถนัดการบริหารในด้านอื่น สถานการณ์อื่น แต่อยากให้เป็นบุคลากรด้านการแพทย์ที่มีความรู้จริง ๆ รวมกันเป็นทีมเฉพาะกิจ มีสิทธิตัดสินใจเด็ดขาดในเรื่องมาตรการต่าง ๆ ซึ่งจะทำให้ตอบสนองได้ทันท่วงทีกว่า
ส่วน IO for Covit ก็อยากให้หัวหน้าปฏิบัติการศูนย์นี้ดูแลโดยตรง
- มีคอลเซ็นเตอร์ 24 ชั่วโมงคอยตอบคำถามด้วยคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญจริง ๆ
- มีคนคอย screen ข่าวทั้งหลาย และชี้แจงว่าอะไรเป็นข่าวจริง ข่าว fake
- มีการ update ทุกชั่วโมง พร้อมภาพและวิธีการรับมือซึ่งอาจจะต้องปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ตลอดเวลา
- มีการให้คำแนะนำที่ถูกต้อง ซึ่งคำแนะนำอาจเปลี่ยนได้ แต่หากเรามีศูนย์กลางข้อมูลที่เป็นหลักให้เกาะแล้ว เวลามีอะไรเปลี่ยนก็แค่มาฟัง update จากศูนย์นี้ เช่น หน้ากาก จะใส่หรือไม่ใส่ดี คนกลุ่มไหนควรใส่แบบไหน ซื้อได้ที่ไหนบ้าง หรือมีที่ไหนต้องการความร่วมมือหรือความช่วยเหลืออะไรบ้าง
2.อยากได้มาตรการสร้างความเชื่อมั่นที่เป็นรูปธรรม แต่ไม่ทำลายเศรษฐกิจ
ดิฉันเองเคยได้อ่านโพสต์ของพี่คนหนึ่งที่พูดถึง Program Covit Tracker ว่า
“แอพนำเสนอข้อมูลเก่าที่เลื่อนลอย แล้ว ชี้จุดแหล่งท่องเที่ยว
เพียงเพราะมีคนนิยมไป ( ? )
โดย “ ต่าง ” ไม่ได้คำนึงถึงสภาพความเป็นจริงว่า
แหล่งท่องเที่ยวหลายๆแห่ง อย่างเยาวราชและเจริญกรุง
ผู้ค้าร่วมมือกันทำความสะอาดบริเวณแผงค้าทุกค่ำคืน
ทั้งเจ้าหน้าที่เขตสัมพันธวงศ์ นำรถน้ำมาฉีดเป่าทำความ
สะอาดถนนและทางเท้าหลังเที่ยงคืนมาตลอด
ตั้งแต่ครั้ง กทม.ประสพกับปัญหาฝุ่นขนาดเล็ก
ที่สำคัญ เวลาเที่ยงวันถนนก็ร้อนจัดจากเปลวแดดที่แผดเผา
ถามหน่อย ภายใต้สภาพดั่งว่านี้
เจ้าโควิดเป็นเชื้อ อมตะหรือไร....
...........................
อยากให้หลายคน และรัฐบาล เห็นภาพ แม่ค้าขนมถ้วย
นั่งเช็ดน้ำตา ข้างรถเข็นที่มีขนมอยู่เต็มรถ
เมื่อเที่ยงคืนวันศุกร์ ( 13 มีค. ) ที่ถนนแปลงนามจัง
เผื่อท่านจะเกิดสำนึกรับผิดชอบว่า
การปล่อยให้คนเอาข้อมูลเก่าๆ มาลวงโลก
มันทำร้ายเศรษฐกิจตั้งแต่ระดับรากหญ้าอย่างไร.. “
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในคนที่ชื่นชมและเข้าใจถึงเจตนาดีของคนทำ Covit Tracker และร่วมแชร์เพื่อเผยแพร่ข่าวนี้ออกไปโดยไม่ได้พิจารณาถึงผลกระทบอีกด้านหนึ่ง ทำให้ดิฉันยิ่งอดคิดไม่ได้ว่า รัฐสามารถเข้ามาต่อยอด ใช้ประโยชน์จาก Covit Tracker เพื่อสร้างความเชื่อมั่นได้ เช่น
หากมีข่าวออกมาและผู้คนเช็คทางแอปว่า มีคนติดโควิดไปตามสถานที่นี้ นี้ นี้ นี้
ก็อยากให้รัฐบาลพลิกจุดนี้เป็นโอกาส ด้วยการจัดหน่วย sanitizer แบบม้าเร็ว ไปฉีดพ่นทำความสะอาด และทำการถ่ายรูป ประชาสัมพันธ์บอกประชาชนว่า
ตรงจุดนี้ มีการพบโควิด และรัฐบาลแก้ไข ทำ big cleaning ให้แล้วนะ ต้องทิ้งไว้กี่วัน ถึงจะไปที่นี่อีกทีได้
และพอถึงระยะปลอดภัยที่จะกลับไปที่นั้นอีกได้ ก็ขอให้ท่านรัฐมนตรี อธิบดี หรือท่านนายกฯเอง แวะไปเช็คอิน กินข้าว ถ่ายรูป ให้ประชาชนเห็นสักหน่อยว่า สถานที่นี้ นี้ นี้ ตอนนี้ปลอดภัยแล้วนะ
สมัยไข้หวัดนกระบาด หนึ่งในภาพที่อาจจะดูขำ ๆ แต่ก็สร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนได้คือ นายกฯทักษิณ นำแอโรบิคพร้อมเคี้ยวไก่โชว์ผู้สื่อข่าว (งดการเมืองนะคะ อิชั้นก็ไม่ได้โปรท่านทักษิณ หรือพรรคพี่น้องท่าน) มันเป็นภาพลุคบ้าน ๆ ที่ทรงพลังมาก ๆ ในการบอกว่า “ปลอดภัยนะครับพี่น้อง นายกฯยังกิน ทุกคนก็น่าจะกินได้”
- น่าจะมีการตั้งตู้ฉีดฆ่าเชื้อสำหรับคนสัญจรหรือ booth สำหรับ sanitize แบบในเวียดนาม ตามสถานที่พลุกพล่านต่าง ๆ เช่น สนามบิน สถานีขนส่ง BTS หากรัฐไม่รู้ว่าจะจัดหาจัดซื้อได้ที่ไหน น่าจะขอความร่วมมือกับเอกชนอย่าง Emquartier ซึ่งได้ติดตั้งซุ้มฉีดพ่นฆ่าเชื้อไว้แล้ว
3.อยากได้มาตรการช่วยเหลือคนเล็กคนน้อยที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก แต่ไม่รู้จะเริ่มปรับตัวทางไหนหรือทำอย่างไร
พ่อค้าแม่ขายริมทางที่เคยขายของกิน ขายของใช้บางคนก็เล่นเฟซบุ๊คเป็นแต่ไม่รู้จักวิธีทำเพจ ขายทางลาซาด้า หรือทาง grab ก็อยากให้มีหน่วยม้าเร็ว จัดอบรมในเขตเป็นกลุ่มเล็ก ๆ เพื่อช่วยพวกเค้าสื่อสารหน่อยว่า จะให้คนซื้อสั่งซื้อทางเฟซ ทางไลน์ ทางเว็บ ทางโทรศัพท์ได้อย่างไร เพราะตอนเกิดโควิด คนก็ยังต้องกิน ต้องใช้เหมือนเดิม
4.อยากให้อุดหนุนคนที่ได้รับผลกระทบเต็ม ๆ แบบตรง ๆ ง่าย ๆ และทันที โดย win-win ด้วยกันทั้งคู่
เช่น บางโรงแรมต้องปิดเพราะไม่มีนักท่องเที่ยว อยากให้รัฐบาลไปเหมาเช่าโรงแรมนั้น ๆ ไปเลย ใช้เป็นที่กักกันตัวผู้ต้องอยู่ภายใต้การกักกัน พวกผีน้อยที่กลับมา หลังเหตุการณ์ระบาดจบ ก็ไปทำความสะอาดคืนพื้นที่
เพราะการเช่าโรงแรมก็เหมาะสมดี โรงแรมมีครัวและถ้วยชามรามไหมากมายในการเสริฟ มี facilities ที่ทำให้ผู้คนไม่เบื่อมากนัก และเป็นการรวมตัวผู้เสี่ยงติดเชื้อให้อยู่ในที่เดียวกัน สะดวกต่อการดูแล
5.อยากให้ “แหก” กรอบ แก้กฎเดิม ๆ มาเพิ่มความคล่องตัวในการทำงานเพื่อต้านโควิดบ้าง
เช่น หากต้องขอความร่วมมือประชาชนในการไม่รวมตัว ไม่เคลื่อนไหว ไม่ท่องเที่ยวมากนัก
ก็ต้องมีคนคอยส่งข้าว ส่งน้ำ ส่งของ
ก็น่าจะทำให้ grab ถูกกฎหมาย จัดลงทะเบียน ตั้งทีม grab ช่วยชาติขึ้นมา แล้วให้ grab เหล่านี้ช่วยส่งของ และเพื่อเป็นม้าเร็วในการส่งอะไรต่อมิอะไรให้การซื้อการขายยังโบกสะพัด และการทำงานไหลลื่นไปได้ ในระหว่างที่ต้อง shut down และ lock down เป็นพื้นที่
หากรัฐไม่มีบุคลากรที่เชี่ยวชาญในบางด้าน เช่น บุคลากรด้านไอทีสำหรับการทำแอปที่จำเป็น บุคลากรด้านวิทยาศาสตร์สำหรับการทำแลปและวิเคราะห์ข้อมูล บุคลากรด้านการสื่อสารข้อมูลที่เข้าใจง่ายและถูกต้อง ทำไม รัฐไม่ยืมตัวบุคคลเก่ง ๆ เหล่านี้มาจากบริษัทเอกชน และให้ incentive ไปว่า เงินเดือนของคนเก่ง ๆ พวกนี้ 2-3 เดือน ขอให้เอกชนจ่ายไปตามปกติ รัฐขอยืมตัวมาทำงานช่วยชาติเฉพาะกิจ แล้วเงินเดือนของคนเหล่านี้ ปลายปี เอามาหักค่าใช้จ่ายปลายปีได้ 2 เท่า อะไรอย่างนี้เป็นต้น
6. อยากได้ราคามาตรฐาน และแหล่งซื้อของใช้ และบริการที่จำเป็นต่อการช่วยต้านโรค
ที่ไต้หวัน รัฐมนตรี Audrey ทำแอปให้ประชาชนเช็คได้ว่าร้านไหนขายหน้ากากบ้าง และแต่ละคนมีสิทธิซื้อที่เท่าไร
ประเทศเราพอจะทำอะไรคล้าย ๆ กันนี้ ได้บ้างไหมคะ ?
ดิฉันคิดว่าเรามีศักยภาพ ก็ที ชิม ช็อบ ใช้ เรายังทำได้เลย เงินสะพัดสนุกสนาน
รัฐน่าจะทำ vendor list ของคนขายหน้ากากอนามัย และ บริษัทที่รับฉีดพ่นทำความสะอาด พร้อมทำราคากลางของสินค้าและบริการในการต้านโควิด แปะไว้ในสื่อที่เป็นทางการของรัฐ
สามารถให้ประชาชนลงทะเบียนซื้อได้โดยใช้บัตรประชาชน จ่ายเงินผ่านพร้อมเพย์ และบริษัจะจัดส่งหน้ากากให้ถึงบ้าน
ส่วนบริการฉีดพ่น ทำความสะอาด รัฐน่าจะรวบรวมบริษัทที่ให้บริการพวกนี้อย่างมีมาตรฐาน พร้อมแจ้งราคากลางให้ทราบ และอาจให้แรงจูงใจด้วยว่า ใครใช้บริการบริษัทพวกนี้ ถือว่ามีส่วนสนับสนุนการต้านไวรัส เอาใบเสร็จมาใช้หักค่าใช้จ่ายภาษีปลายปีได้อีก
7.อยากได้มาตรการทางการเงินที่ชัดเจนในการจูงใจให้คนร่วมมือในการต้านโควิด มากกว่าแจกเงินหว่านโปรยไปเรื่อย ๆ อย่างเดียว
ล่าสุด นายแพทย์ยง ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาจากจุฬา ท่านแนะนำให้ตรวจโควิดให้ประชาชนมากขึ้นเพื่อสกัดการเผยแพร่
รัฐคงกุมขมับว่า “จะเอาเงินมาจากไหน ?” ค่าตรวจก็แพงด้วย
ทำไมรัฐไม่กำหนดราคากลางไปเลยว่า ค่าตรวจโควิดควรจะไม่เกิน xxxx บาท และใครตรวจโควิด หรือจ่ายค่าตรวจให้กับญาติ พี่น้อง ลูกน้อง ในบริษัท หรืออะไรก็ว่าไป เอาใบเสร็จค่าตรวจมาลดภาษีได้ 2 เท่า คาดว่าหุ้นโรงพยาบาลก็จะพุ่งขึ้นจากการรับเคสตรวจโควิด
ใครบริจาคเงินให้โรงพยาบาลที่รักษาโควิด วงเล็บหลังใบเสร็จเลยว่า โควิด ปลายปีเอามาหักค่าใช้จ่ายได้อีก อะไรทำนองนี้
เฮ้อ... นี่ดิฉันก็เขียนเรื่อยเปื่อย แก้ฟุ้งซ่านในวันที่อะไร ๆ มันดูหนักอึ้ง และหม่นหมองจริง ๆ
ขอให้ทุกอย่างดีขึ้นโดยเร็ว