ในอุตสาหกรรมเพลงเกาหลี บริษัทผลิตงานขึ้นมา จากนั้นก็จับป้อนเข้าปากไอดอลราวกับสายพานการผลิตโรงงานตั้งแต่เริ่มเดบิ้วต์
แน่นอนว่าการลงทุนย่อมต้องการกำไร หรืออย่างน้อยที่สุดก็ไม่ควรขาดทุน ค่ายเพลงจึงมีสิทธิ์โดยชอบธรรมที่จะกำหนดทิศทางทุกอย่างของตัวไอดอล-ศิลปิน ตั้งแต่รูปแบบผลงานเพลง เสื้อผ้าหน้าผม ไม่เว้นแม้กระทั่งสคริปท์บทสัมภาษณ์รายการ จะเข้มงวดมากหรือน้อยก็แล้วแต่นโยบายค่าย
TXT ก็เป็นรุกกี้ที่เดบิ้วต์มาในอุตสาหกรรมเพลงไม่แตกต่างจากค่ายอื่นๆ เพิ่มเติมด้วยประโยคต่อท้ายที่เต็มไปด้วยความคาดหวังว่า เป็นวงรุ่นน้องต่อจาก BTS ดังนั้นในช่วงแรกของการเดบิ้วต์จึงเต็มไปด้วยความกดดันที่ถาโถมสู่ตัวสมาชิกวงและค่ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
บิ๊กฮิตเองก็เล่นบทเพลย์เซฟการเดบิ้วต์โดยมอบผลงานเพลงที่ค่อนข้างสำเร็จรูปให้ใน 2 อัลบั้มที่ผ่านมา สะท้อนผ่านตัวเพลงที่พิถีพิถันในการแต่งเนื้อเพลงราวกับบทกวีที่มีลักษณะอุปมาอุปไมย เป็นนามธรรมจับต้องได้ยาก ต้องแปลความหลายชั้น
อันที่จริงเรื่องพวกนี้ก็เป็นเรื่องที่ดีเพราะท้าทายการตีความ แต่ก็แลกมาด้วยความยากในการเข้าถึงทั้งผู้ฟัง และนักร้อง (ผู้ถ่ายทอด)
ครั้นสมาชิก TXT นำมาร้อง พวกเขาก็สามารถทำหน้าที่ได้ดีระดับหนึ่งตามมาตรฐานการร้องทั่วไป แต่ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่ขาดหายไปนั่นคือ ความรู้สึกและอารมณ์ร่วมในการร้อง ซึ่งเราสามารถสัมผัสสิ่งนั้นได้ในน้ำเสียง
เมื่องานปลายปีที่ผ่านมา TXT ได้คัฟเวอร์เพลง Replay ของ Shinee ซึ่งเป็นเพลงที่ คัง แทฮยอน หนึ่งในสมาชิกยกให้เป็นเพลงที่สร้างแรงบันดาลใจให้เขาอยากเป็นนักร้อง และล่าสุดพวกเขาก็ได้ปล่อยคัพเวอร์เพลง In My Blood เพื่อเป็นของขวัญครบรอบ 1 ปี การเดบิ้วต์ และเขียนทิ้งท้ายเป็นแฮชแท็กสั้นๆว่า TO_MOA (ให้โมอาร์) รวมทั้งเพลง In My Blood นี้ ก็เป็นเพลงโปรดของ ฮยู นิงไค ตอนตอบคำถามในรายการที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
ถ้าคุณเป็นผู้ฟังที่ใส่ใจรายละเอียดการฟังเพลงมากๆหน่อย คุณจะรู้สึกว่าการร้องเพลงทั้งที่สเตจ Replay รายการพิเศษ KBS และ เพลงคัฟเวอร์ In My Blood นั้น พวกเขารู้สึกอินและเข้าใจในตัวเพลงมากกว่าเพลงของตัวเองด้วยซ้ำไป
ขณะที่ Replay เป็นเสมือนตัวแทนความภูมิใจที่ได้เป็นนักร้องของ คัง แทฮยอน ส่วน In My Blood เนื้อเพลงนั้นพูดอย่างตรงไปตรงมา อธิบายความรู้สึกที่เหนื่อยล้าและท้อแท้สมัยเป็นเด็กฝึก แต่พวกเขาก็เลือกที่จะสู้จนมีวันนี้ วันที่ได้พบกับแฟนๆ ก็เพราะเลือกจะไม่ยอมแพ้ไง
ในภาษาวิชาการ ใจความส่วนนี้คือ "สาร" หรือข้อความที่พวกเขาต้องการส่งไปยัง "ผู้รับ" ซึ่งก็คือ แฟนคลับ - แฟนเพลง นั่นเอง และนี่ทำให้การสื่อสารสำเร็จลงอย่างสมบูรณ์ มีผู้ส่งและผู้รับสารชัดเจน จึงไม่แปลกถ้าพวกเขาจะร้องเพลงนี้ออกมาจากใจ ด้วยน้ำเสียงใสซื่อเต็มไปด้วยความจริงใจ ในช่วงวัย 17-20 ปี เนื้อหาเพลงเรียบง่ายบวกกับดนตรีป๊อบร็อคนี่แหล่ะ เป็นอะไรที่ทำให้พวกเขาอินและเข้าถึงได้ไม่ยาก
พูดแบบนี้ เราไม่ได้ตำหนิโปรดิวเซอร์ค่ายนะ ถึงได้ออกตัวล่วงหน้าว่าส่วนตัวเข้าใจถึงเหตุผลการทำเพลงในช่วงอัลบั้มแรกๆ
เราแค่หวังว่า ในอนาคตค่ายจะมอบโอกาสให้พวกเขาได้ตะโกนความในใจผ่านบทเพลงที่เข้าถึงง่าย หรือไม่ก็ผ่านผลงานที่ตัวเองได้เขียนขึ้นไม่ช้าก็เร็ว เราเชื่อมั่นว่า ส่วนผสมของความเป็นวงบอยแบนด์ดนตรีป๊อบขนานแท้ของพวกเขา น่าจะสามารถไชน์ในเส้นทางของตัวเองได้อย่างแน่นอน
ปล. เขียนกระทู้ไปเรื่อยตามคำขอกลุ่มแฟนบอยทีเร้กที่บอกให้เรามาเขียนถึงบ่อยๆ ว่าแต่พวกเอ็งไปไหนกันหมด จะเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว ไอ้หนิงมาแน่ๆ
ปล.2 แก้ไขเรียงเรียงประโยค 23.00 น.
จาก Replay (Shinee) ถึง In My Blood (Shawn Mendes) สะท้อนสิ่งที่หายไปในเพลงของ TXT [กระทู้เตรียมย้ายตึกเช่า]
แน่นอนว่าการลงทุนย่อมต้องการกำไร หรืออย่างน้อยที่สุดก็ไม่ควรขาดทุน ค่ายเพลงจึงมีสิทธิ์โดยชอบธรรมที่จะกำหนดทิศทางทุกอย่างของตัวไอดอล-ศิลปิน ตั้งแต่รูปแบบผลงานเพลง เสื้อผ้าหน้าผม ไม่เว้นแม้กระทั่งสคริปท์บทสัมภาษณ์รายการ จะเข้มงวดมากหรือน้อยก็แล้วแต่นโยบายค่าย
TXT ก็เป็นรุกกี้ที่เดบิ้วต์มาในอุตสาหกรรมเพลงไม่แตกต่างจากค่ายอื่นๆ เพิ่มเติมด้วยประโยคต่อท้ายที่เต็มไปด้วยความคาดหวังว่า เป็นวงรุ่นน้องต่อจาก BTS ดังนั้นในช่วงแรกของการเดบิ้วต์จึงเต็มไปด้วยความกดดันที่ถาโถมสู่ตัวสมาชิกวงและค่ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
บิ๊กฮิตเองก็เล่นบทเพลย์เซฟการเดบิ้วต์โดยมอบผลงานเพลงที่ค่อนข้างสำเร็จรูปให้ใน 2 อัลบั้มที่ผ่านมา สะท้อนผ่านตัวเพลงที่พิถีพิถันในการแต่งเนื้อเพลงราวกับบทกวีที่มีลักษณะอุปมาอุปไมย เป็นนามธรรมจับต้องได้ยาก ต้องแปลความหลายชั้น
อันที่จริงเรื่องพวกนี้ก็เป็นเรื่องที่ดีเพราะท้าทายการตีความ แต่ก็แลกมาด้วยความยากในการเข้าถึงทั้งผู้ฟัง และนักร้อง (ผู้ถ่ายทอด)
ครั้นสมาชิก TXT นำมาร้อง พวกเขาก็สามารถทำหน้าที่ได้ดีระดับหนึ่งตามมาตรฐานการร้องทั่วไป แต่ก็ยังมีสิ่งหนึ่งที่ขาดหายไปนั่นคือ ความรู้สึกและอารมณ์ร่วมในการร้อง ซึ่งเราสามารถสัมผัสสิ่งนั้นได้ในน้ำเสียง
เมื่องานปลายปีที่ผ่านมา TXT ได้คัฟเวอร์เพลง Replay ของ Shinee ซึ่งเป็นเพลงที่ คัง แทฮยอน หนึ่งในสมาชิกยกให้เป็นเพลงที่สร้างแรงบันดาลใจให้เขาอยากเป็นนักร้อง และล่าสุดพวกเขาก็ได้ปล่อยคัพเวอร์เพลง In My Blood เพื่อเป็นของขวัญครบรอบ 1 ปี การเดบิ้วต์ และเขียนทิ้งท้ายเป็นแฮชแท็กสั้นๆว่า TO_MOA (ให้โมอาร์) รวมทั้งเพลง In My Blood นี้ ก็เป็นเพลงโปรดของ ฮยู นิงไค ตอนตอบคำถามในรายการที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
ถ้าคุณเป็นผู้ฟังที่ใส่ใจรายละเอียดการฟังเพลงมากๆหน่อย คุณจะรู้สึกว่าการร้องเพลงทั้งที่สเตจ Replay รายการพิเศษ KBS และ เพลงคัฟเวอร์ In My Blood นั้น พวกเขารู้สึกอินและเข้าใจในตัวเพลงมากกว่าเพลงของตัวเองด้วยซ้ำไป
ขณะที่ Replay เป็นเสมือนตัวแทนความภูมิใจที่ได้เป็นนักร้องของ คัง แทฮยอน ส่วน In My Blood เนื้อเพลงนั้นพูดอย่างตรงไปตรงมา อธิบายความรู้สึกที่เหนื่อยล้าและท้อแท้สมัยเป็นเด็กฝึก แต่พวกเขาก็เลือกที่จะสู้จนมีวันนี้ วันที่ได้พบกับแฟนๆ ก็เพราะเลือกจะไม่ยอมแพ้ไง
ในภาษาวิชาการ ใจความส่วนนี้คือ "สาร" หรือข้อความที่พวกเขาต้องการส่งไปยัง "ผู้รับ" ซึ่งก็คือ แฟนคลับ - แฟนเพลง นั่นเอง และนี่ทำให้การสื่อสารสำเร็จลงอย่างสมบูรณ์ มีผู้ส่งและผู้รับสารชัดเจน จึงไม่แปลกถ้าพวกเขาจะร้องเพลงนี้ออกมาจากใจ ด้วยน้ำเสียงใสซื่อเต็มไปด้วยความจริงใจ ในช่วงวัย 17-20 ปี เนื้อหาเพลงเรียบง่ายบวกกับดนตรีป๊อบร็อคนี่แหล่ะ เป็นอะไรที่ทำให้พวกเขาอินและเข้าถึงได้ไม่ยาก
พูดแบบนี้ เราไม่ได้ตำหนิโปรดิวเซอร์ค่ายนะ ถึงได้ออกตัวล่วงหน้าว่าส่วนตัวเข้าใจถึงเหตุผลการทำเพลงในช่วงอัลบั้มแรกๆ
เราแค่หวังว่า ในอนาคตค่ายจะมอบโอกาสให้พวกเขาได้ตะโกนความในใจผ่านบทเพลงที่เข้าถึงง่าย หรือไม่ก็ผ่านผลงานที่ตัวเองได้เขียนขึ้นไม่ช้าก็เร็ว เราเชื่อมั่นว่า ส่วนผสมของความเป็นวงบอยแบนด์ดนตรีป๊อบขนานแท้ของพวกเขา น่าจะสามารถไชน์ในเส้นทางของตัวเองได้อย่างแน่นอน
ปล. เขียนกระทู้ไปเรื่อยตามคำขอกลุ่มแฟนบอยทีเร้กที่บอกให้เรามาเขียนถึงบ่อยๆ ว่าแต่พวกเอ็งไปไหนกันหมด จะเข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว ไอ้หนิงมาแน่ๆ
ปล.2 แก้ไขเรียงเรียงประโยค 23.00 น.