ตรงข้ามกับคนไทยยุคนี้ที่สะบายกายแต่ใจเป็นทุกข์ แต่แปลความหมายสมัยก่อนคนสมัยนั้นไม่มีเทคโนโลจีอะไรทั้งนั้น
ต้องพึ่งพาธรรมชาติทุกสิ่งอย่าง การอยู่การกินใช้ชีวิตในแต่ละวันต้องอาสัยแรงกายเสียส่วนใหญ่ และอยู่ในขอบเขตจำกัด
ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวไปมาที่มีระยะทางไกล การเรียนรู้รับรู้มีขอบข่ายจำกัด เพราะแทบจะไม่อุปกรณ์สื่อสารอันใดที่จะเพิ่ม
ทักษะการเรียนรู้ที่จะก้วางไกลก่วาในพื้นถิ่นที่ตนเองอาศัยอยู่ เป็นชีวิตที่เรียบง่ายไม่เร่งรีบแข่งขัน ถ้าคนสมัยนี้มองอาจจะพูดว่า
"ไร้สีสรรของชีวิต" ผิดกับชีวิตในยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยเทคโนโลจีรอบตัว ดูสะดวกสะบายบรรเทิงเริงรมณ์ไม่ว่าจะกินจะอยู่ รวดเร็ว
สั่งแค่ปลายนิ้ว ในฐานะที่กลางเก่ากลางใหม่ได้เห็นรูปแบบของการใช้ชีวิตก็ไม่อาจจะบอกได้ว่า แบบไหน?มันสนองตอบกับธรรมชาติ
ของชีวิตของมนุษย์มากก่วากัน ก็เลยชี้ชัดไม่ได้ว่าแบบไหนมันดีก่วากัน....
คนไทยสมัยก่อนไม่สะบายกายแต่ใจเป็นสุข แต่สมัยนี้สะบายกายแต่ใจเป็นทุกข์ คิดว่าจริงไหม?
ต้องพึ่งพาธรรมชาติทุกสิ่งอย่าง การอยู่การกินใช้ชีวิตในแต่ละวันต้องอาสัยแรงกายเสียส่วนใหญ่ และอยู่ในขอบเขตจำกัด
ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวไปมาที่มีระยะทางไกล การเรียนรู้รับรู้มีขอบข่ายจำกัด เพราะแทบจะไม่อุปกรณ์สื่อสารอันใดที่จะเพิ่ม
ทักษะการเรียนรู้ที่จะก้วางไกลก่วาในพื้นถิ่นที่ตนเองอาศัยอยู่ เป็นชีวิตที่เรียบง่ายไม่เร่งรีบแข่งขัน ถ้าคนสมัยนี้มองอาจจะพูดว่า
"ไร้สีสรรของชีวิต" ผิดกับชีวิตในยุคปัจจุบันที่เต็มไปด้วยเทคโนโลจีรอบตัว ดูสะดวกสะบายบรรเทิงเริงรมณ์ไม่ว่าจะกินจะอยู่ รวดเร็ว
สั่งแค่ปลายนิ้ว ในฐานะที่กลางเก่ากลางใหม่ได้เห็นรูปแบบของการใช้ชีวิตก็ไม่อาจจะบอกได้ว่า แบบไหน?มันสนองตอบกับธรรมชาติ
ของชีวิตของมนุษย์มากก่วากัน ก็เลยชี้ชัดไม่ได้ว่าแบบไหนมันดีก่วากัน....