เรื่องมันเกิดเมื่อราว เมษายน ปี 61 ช่วงหลังสงกรานต์ปีนั้น ผมค่อนข้างมีเวลาว่างจากงานพอสมควร อันด้วยมาจากสภาวะเศรษฐกิจที่ทำให้ การทำงานของผมจำเป็นต้องถูกลดลง บวกกับ ปัญหาต่างๆรุมเร้ามาในช่วงเวลาเดียวกันอย่างเลี่ยงไม่ได้
ผมจึงพยายามเข้าหาธรรมะเพื่อลดความเครียด และ ละสิ่งรุมเร้าจิตใจต่างๆ ให้เบาบางลง ผมจึงตัดสินใจ เข้าไปปฏิบัติธรรม ณ สถานปฏิบัติธรรมในวัดแห่งหนึ่ง ใน จังหวัด ชลบุรี ซึ่งเป็นที่ที่ทำให้ผม จิตใจสงบลงไปได้อย่างมาก
หากแต่เมื่อเข้าไปปฏิบัติธรรม กิจกรรม พื้นฐานของผมมีเพียง การทำสมาธิ สวดมนต์ ระลึกสติให้จิตใจอยู่ในธรรม คิดและพิจารณาสิ่งต่างๆรอบตัว ภายในวัดแห่งนั้น และหากมีธุระใดๆ ภายใน ผมก็จะออกแรงในการช่วยทำ
ด้วยองค์ความรู้และ ทักษะที่ผมมี จึงคิดว่า อาจเป็นประโยชน์ ต่อวัดและ สังคมได้ไม่มากก็น้อย เช่น การ กวาดพื้น หรือ ซ่อมท่อประปา ซ่อมแซมอาคารวัดอื่นๆ เท่าที่ผมพอจะสามารถทำได้
จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อ คณะสงฆ์ นำโดยท่าน เจ้าอาวาส มีกิจนิมนต์ นำคณะสงฆ์ ไปเจริญธรรม โดยมี ญาติโยม มาขอนิมนต์ ให้ไป ที่ที่ ญาติโยมแจ้งไว้ คณะสงฆ์ ได้เดินทางไปด้วย รถตู้ประจำวัด หากแต่ จู่ๆ รถเกิดมีปัญหา ไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ ทำให้ คณะสงฆ์ ต้องยุ่งยาก หายืมรถอื่นๆมาเปลี่ยนแปลงการเดินทาง
หากแต่ด้วยผม พอมีความรู้เชิงช่างในการตรวจสอบ ซ่อมแซมรถ จึงขอเป็นธุระในการตรวจสอบรถตู้คันดังกล่าวให้ ซึ่งเมื่อตรวจสอบเบื้องต้น ถือว่า อยู่ในวิสัยที่ผมสามารถจัดการได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องไปพึ่งพา อู่ให้เสียเงิน เสียเวลา ผมจึงอาสา ดำเนินการจัดการให้ ซึ่งกว่าจะแล้วเสร็จ ก็ตกเย็น ณ วันนั้นเอง
เมื่อซ่อมแซม เปลี่ยนอะไหล่บางตัวแล้ว ตรวจสอบ ทดลองติดเครื่องยนต์ ก็สามารถกลับมาใช้งานได้อย่างปกติ ท่านเจ้าอาวาสที่ผมเคารพนับถือ ท่านได้เข้ามา ขอบใจและสอบถามผมต่อว่า หากผมสามารถตรวจสอบ ซ่อมแซมรถได้แล้วนั้น
ทางวัด มีรถอยู่คันหนึ่ง ซึ่งจอดเสียไว้นานแล้ว แต่ไม่สามารถดำเนินการต่อได้ ดูภายนอก ก็ยังไม่เป็นอะไรมาก หากแต่ มันไม่สามารถใช้งานปกติ ท่านได้ไหว้วาน ให้ผมพิจารณา หรือหากมีค่าใช้จ่ายใดๆ ก็สามารถเบิกเอากับทางวัดได้
แต่เบื้องต้น ผมได้แจ้งไปว่า ขอผมพิจารณาก่อนเป็นลำดับแรก หากพบว่า การซ่อมบำรุง ไม่มากนัก กำลังที่ผมมีพอไหว ไม่ถึงกับ ต้องกู้หนี้ยืมสิน ผมจะถือเป็นการอนุโมทนาบุญไปในคราวเดียวกันนี้เลย จึงได้นัดแนะกับท่าน ในอีก สอง สาม วันให้หลัง เพื่อผมจะได้เตรียมเครื่องมือให้พร้อมกว่านี้ เพื่อจะได้ตรวจสอบได้ในทีเดียว
และเมื่อผ่านไปอีก สามวัน ผมได้กลับมายังวัด และ ทำกิจต่างๆ ทางสงฆ์ ทาง ฆาราวาสแล้วเสร็จ ช่วงหลังเพล ประมาณ ได้ สิบโมงกว่า ผมจึงทักถาม ท่านเจ้าอาวาส ถึง รถคันดังกล่าวเพื่อจะได้อาศัย แสงแดด ในการพิจารณาเบื้องต้น ท่านจึงได้วานให้เด็กวัดนำพาผมไปยัง อาคารเก็บรถคันดังกล่าว
อาคารที่จอดรถ อยู่ด้านท้ายกุฏิ เป็นอาคารสังกะสีเก่า ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ และเมื่อเปิดบานสังกะสีด้านหน้า ที่สามารถดันค้างได้ด้วย ท่อนไม้ใหญ่ ค้ำยันไว้ทั้งบาน
และเมื่อเปิดบานเต็มออกมา ก็จะเห็นได้ว่า ภายในเป็นที่เก็บอุปกรณ์พระเก่าๆ จำพวก เครื่องสังฆทาน ตาลาปัฎ อุปกรณ์เก่าๆ ที่ชำรุด หรือ ไม่ได้เอามาใช้งานปกติ ทั่วไป โดยมีผ้าคลุมรถคันหนึ่งไว้อย่างชัดเจนภายใน แสงแดดที่สาดส่องทะลุรูรั่วของสังกะสี ด้านบนที่มุงเป็นหลังคาไว้ และ ถึงแม้จะมี ร่มจากกิ่งก้านของต้นโพธิ์ใหญ่ ก็ตามที
ผ้าคลุมรถทำด้วยเศษจีวร และ ผ้าขนหนูที่คลุมไว้ โดยเย็บติดกันอย่างลวกๆ เพื่อยึดผ้าผืนต่อผืนเข้าด้วยกัน ทำให้เห็นเป็นรูปทรงของรถกระบะคันหนึ่ง ผมกับ เด็กวัด จึงค่อยๆม้วนตะหลบผ้า จากด้านหน้า ไปยังด้านหลัง โดยมีฝุ่นจับ ฟุ้งเป็นหย่อมๆ กระจาย จำต้องเอามือปัด ปิด ป้องจมูก ก่อนที่เหล่าฝุ่นละอองจะเข้าจมูกให้ระคายเคือง
เมื่อผ้าหลุดออก เผยให้เห็นรถทั้งคัน วินาทีนั้น ผมค่อนข้างมั่นใจอย่างมาก รถคันนี้ เป็นรถที่ผม
“เอาไปขายเองกับมือ”
ผมมั่นใจว่า ผมจำมันได้ไม่ผิดตัวอย่างแน่นอน แม้ล้อกับ ทะเบียนจะเปลี่ยนแปลง หากแต่ พวงมาลัย สี ตำหนิต่างๆ ทั้งภายในภายนอก มันยังคงไว้เป็นรถคันที่ผม ตัดใจเอาเป็นขายเอง เมื่อราว 6 ปีก่อน หรือช่วงปี 2555 -2556 โดยประมาณ แต่แน่นอน ผมเป็นคนที่เอามันไปขายยังเต็นท์รถ พรรคพวกกันแห่งหนึ่งใน จังหวัด ชลบุรีนี้เอง
ผมขายมันด้วยราคาที่ถูกแสนถูก เรียกว่า ให้ฟรีก็ไม่ต่าง ด้วยเหตุผลเดียว
“เจ้าของรถ ต้องการ ให้มันหายไปจากชีวิต”
วินาทีนั้น ผมนึกย้อนไปถึง สาเหตุที่ผมต้องเอารถกระบะคันนี้ ไปขาย มันเริ่มต้น เมื่อราว ห้า ถึง หกปี ก่อนหน้านี้ มันเป็นเรื่องราวที่ สยอง และ น่ากลัว หากแต่แฝงไปด้วยความเศร้า และ ความอิ่มเอม
เรื่องราวมันเกิดขึ้น
จากความทรงจำที่ยังหนักแน่นที่ผมมีอยู่
โลกกลม
ผมจึงพยายามเข้าหาธรรมะเพื่อลดความเครียด และ ละสิ่งรุมเร้าจิตใจต่างๆ ให้เบาบางลง ผมจึงตัดสินใจ เข้าไปปฏิบัติธรรม ณ สถานปฏิบัติธรรมในวัดแห่งหนึ่ง ใน จังหวัด ชลบุรี ซึ่งเป็นที่ที่ทำให้ผม จิตใจสงบลงไปได้อย่างมาก
หากแต่เมื่อเข้าไปปฏิบัติธรรม กิจกรรม พื้นฐานของผมมีเพียง การทำสมาธิ สวดมนต์ ระลึกสติให้จิตใจอยู่ในธรรม คิดและพิจารณาสิ่งต่างๆรอบตัว ภายในวัดแห่งนั้น และหากมีธุระใดๆ ภายใน ผมก็จะออกแรงในการช่วยทำ
ด้วยองค์ความรู้และ ทักษะที่ผมมี จึงคิดว่า อาจเป็นประโยชน์ ต่อวัดและ สังคมได้ไม่มากก็น้อย เช่น การ กวาดพื้น หรือ ซ่อมท่อประปา ซ่อมแซมอาคารวัดอื่นๆ เท่าที่ผมพอจะสามารถทำได้
จนกระทั่งวันหนึ่ง เมื่อ คณะสงฆ์ นำโดยท่าน เจ้าอาวาส มีกิจนิมนต์ นำคณะสงฆ์ ไปเจริญธรรม โดยมี ญาติโยม มาขอนิมนต์ ให้ไป ที่ที่ ญาติโยมแจ้งไว้ คณะสงฆ์ ได้เดินทางไปด้วย รถตู้ประจำวัด หากแต่ จู่ๆ รถเกิดมีปัญหา ไม่สามารถใช้งานได้ตามปกติ ทำให้ คณะสงฆ์ ต้องยุ่งยาก หายืมรถอื่นๆมาเปลี่ยนแปลงการเดินทาง
หากแต่ด้วยผม พอมีความรู้เชิงช่างในการตรวจสอบ ซ่อมแซมรถ จึงขอเป็นธุระในการตรวจสอบรถตู้คันดังกล่าวให้ ซึ่งเมื่อตรวจสอบเบื้องต้น ถือว่า อยู่ในวิสัยที่ผมสามารถจัดการได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องไปพึ่งพา อู่ให้เสียเงิน เสียเวลา ผมจึงอาสา ดำเนินการจัดการให้ ซึ่งกว่าจะแล้วเสร็จ ก็ตกเย็น ณ วันนั้นเอง
เมื่อซ่อมแซม เปลี่ยนอะไหล่บางตัวแล้ว ตรวจสอบ ทดลองติดเครื่องยนต์ ก็สามารถกลับมาใช้งานได้อย่างปกติ ท่านเจ้าอาวาสที่ผมเคารพนับถือ ท่านได้เข้ามา ขอบใจและสอบถามผมต่อว่า หากผมสามารถตรวจสอบ ซ่อมแซมรถได้แล้วนั้น
ทางวัด มีรถอยู่คันหนึ่ง ซึ่งจอดเสียไว้นานแล้ว แต่ไม่สามารถดำเนินการต่อได้ ดูภายนอก ก็ยังไม่เป็นอะไรมาก หากแต่ มันไม่สามารถใช้งานปกติ ท่านได้ไหว้วาน ให้ผมพิจารณา หรือหากมีค่าใช้จ่ายใดๆ ก็สามารถเบิกเอากับทางวัดได้
แต่เบื้องต้น ผมได้แจ้งไปว่า ขอผมพิจารณาก่อนเป็นลำดับแรก หากพบว่า การซ่อมบำรุง ไม่มากนัก กำลังที่ผมมีพอไหว ไม่ถึงกับ ต้องกู้หนี้ยืมสิน ผมจะถือเป็นการอนุโมทนาบุญไปในคราวเดียวกันนี้เลย จึงได้นัดแนะกับท่าน ในอีก สอง สาม วันให้หลัง เพื่อผมจะได้เตรียมเครื่องมือให้พร้อมกว่านี้ เพื่อจะได้ตรวจสอบได้ในทีเดียว
และเมื่อผ่านไปอีก สามวัน ผมได้กลับมายังวัด และ ทำกิจต่างๆ ทางสงฆ์ ทาง ฆาราวาสแล้วเสร็จ ช่วงหลังเพล ประมาณ ได้ สิบโมงกว่า ผมจึงทักถาม ท่านเจ้าอาวาส ถึง รถคันดังกล่าวเพื่อจะได้อาศัย แสงแดด ในการพิจารณาเบื้องต้น ท่านจึงได้วานให้เด็กวัดนำพาผมไปยัง อาคารเก็บรถคันดังกล่าว
อาคารที่จอดรถ อยู่ด้านท้ายกุฏิ เป็นอาคารสังกะสีเก่า ใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ และเมื่อเปิดบานสังกะสีด้านหน้า ที่สามารถดันค้างได้ด้วย ท่อนไม้ใหญ่ ค้ำยันไว้ทั้งบาน
และเมื่อเปิดบานเต็มออกมา ก็จะเห็นได้ว่า ภายในเป็นที่เก็บอุปกรณ์พระเก่าๆ จำพวก เครื่องสังฆทาน ตาลาปัฎ อุปกรณ์เก่าๆ ที่ชำรุด หรือ ไม่ได้เอามาใช้งานปกติ ทั่วไป โดยมีผ้าคลุมรถคันหนึ่งไว้อย่างชัดเจนภายใน แสงแดดที่สาดส่องทะลุรูรั่วของสังกะสี ด้านบนที่มุงเป็นหลังคาไว้ และ ถึงแม้จะมี ร่มจากกิ่งก้านของต้นโพธิ์ใหญ่ ก็ตามที
ผ้าคลุมรถทำด้วยเศษจีวร และ ผ้าขนหนูที่คลุมไว้ โดยเย็บติดกันอย่างลวกๆ เพื่อยึดผ้าผืนต่อผืนเข้าด้วยกัน ทำให้เห็นเป็นรูปทรงของรถกระบะคันหนึ่ง ผมกับ เด็กวัด จึงค่อยๆม้วนตะหลบผ้า จากด้านหน้า ไปยังด้านหลัง โดยมีฝุ่นจับ ฟุ้งเป็นหย่อมๆ กระจาย จำต้องเอามือปัด ปิด ป้องจมูก ก่อนที่เหล่าฝุ่นละอองจะเข้าจมูกให้ระคายเคือง
เมื่อผ้าหลุดออก เผยให้เห็นรถทั้งคัน วินาทีนั้น ผมค่อนข้างมั่นใจอย่างมาก รถคันนี้ เป็นรถที่ผม
“เอาไปขายเองกับมือ”
ผมมั่นใจว่า ผมจำมันได้ไม่ผิดตัวอย่างแน่นอน แม้ล้อกับ ทะเบียนจะเปลี่ยนแปลง หากแต่ พวงมาลัย สี ตำหนิต่างๆ ทั้งภายในภายนอก มันยังคงไว้เป็นรถคันที่ผม ตัดใจเอาเป็นขายเอง เมื่อราว 6 ปีก่อน หรือช่วงปี 2555 -2556 โดยประมาณ แต่แน่นอน ผมเป็นคนที่เอามันไปขายยังเต็นท์รถ พรรคพวกกันแห่งหนึ่งใน จังหวัด ชลบุรีนี้เอง
ผมขายมันด้วยราคาที่ถูกแสนถูก เรียกว่า ให้ฟรีก็ไม่ต่าง ด้วยเหตุผลเดียว
“เจ้าของรถ ต้องการ ให้มันหายไปจากชีวิต”
วินาทีนั้น ผมนึกย้อนไปถึง สาเหตุที่ผมต้องเอารถกระบะคันนี้ ไปขาย มันเริ่มต้น เมื่อราว ห้า ถึง หกปี ก่อนหน้านี้ มันเป็นเรื่องราวที่ สยอง และ น่ากลัว หากแต่แฝงไปด้วยความเศร้า และ ความอิ่มเอม
เรื่องราวมันเกิดขึ้น
จากความทรงจำที่ยังหนักแน่นที่ผมมีอยู่