ลางานเที่ยว "ภูเก็ต" ปี 2020

"ภูเก็ต" สถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้น ๆ ที่ทำเงินให้กับประเทศไทย และเป็นจุดที่ชาวต่างชาติให้ความนิยมกันเป็นอย่างมาก ในหมู่คนไทยเอง จะขึ้นชื่อว่าเป็นจังหวัดที่มีค่าครองชีพสูง ไปเที่ยวก็จะมีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่แพงมาก หลาย ๆ คนจึงบอกเล่าต่อกันว่า ไปจังหวัดใกล้เคียง หรือไปต่างประเทศเลยจะดีกว่า
บอกตามตรงว่าเราก็กลัว และคิดแบบคนอื่น ๆ ทั้งที่ไม่เคยไป และคำว่าไม่เคยไปนี่ล่ะ มันกลับทำให้อยากลอง อยากรู้สักครั้งหนึ่งในชีวิต ว่ามันจะแค่ไหนกันเชี๊ยววว~ ❓
ที่จะกล่าวต่อไปนี้ ไม่เน้นทะเลนะ เพราะทะเลสวย จบ!
เน้นของกิน ราคา ผู้คน คือมันเป็นความรู้สึกจากประสบการณ์โดยตรงที่เราได้เจอ แล้วทำให้เราหลงรัก "ภูเก็ต"
ในเมื่อเขาบอกว่าทุกอย่างมันแพง เราจึงต้องเตรียมตัวล่วงหน้ากันข้ามปีไปเลยจ้ะ เริ่มจากจองตั๋วเครื่องบินโปร 0 บาท ของแอร์เอเชียร์ และต่อด้วยการหาที่พัก หาบริษัทรถเช่า (ที่ไม่ต้องมัดจำวงเงินในบัตรเครดิต) ในงานไทยเที่ยวไทย เดินกันขาลากเลย บูทของโรงแรมที่ภูเก็ต มีอยู่สองสามบูทเองมั้ง ส่วนใหญ่มีแต่แบบเป็นบริษัททัวร์ที่นำเที่ยวแบบดำน้ำตามเกาะต่าง ๆ
ซึ่งทางเรานั้น ไม่อินค่ะ 😁
สรุปก็คือได้ที่พัก 1 คืน หรูหราหมาเห่า (ในแบบของเราอะนะ) และได้รถเช่าในงานนั้น ซึ่งแน่นอนว่าจะถูกกว่าการwalk-in หรือจองตามเว็บไซด์แหล่งรวบรวมโรงแรมต่าง ๆ สรุปทริปนี้ เราไป 3 วัน 2 คืนด้วยกัน

พอไปถึงความคิดแรกมาในหัว ราคาสูงจริงว่ะ เริ่มจากการเสียค่ารถที่พาเข้าไปดูเครื่องบิน คนละ 20 บาท ไปกลับก็ 40 บาทแล้ว นี่ไป2 คน ก็ 80 บาท วันนึงตั้งกี่คน โอโห! รายได้สะพัดมาก 💰
แต่นั่งไปแปปนึง เอ๊ะ! ไกลจัง ถ้าเดินก็คงไม่ไหวจริง ๆ เป็นกิโลๆ เลยอะ ให้เขาไปเหอะ ถือเป็นรายได้ให้ชาวบ้านเนอะ😊


อาหารมื้อแรก ร้านเก่าแก่ชื่อดังของจังหวัด ราคาสูงเลยจ้า มื้อนั้น2คน 450 บาท เรื่องรสชาติ ก็โอเคแหละ ใช้ได้ แต่นี่มื้อแรกก็ครึ่งพันแล้ว ต้องหามาม่าซะม้างงงง (คิดในใจ)


มื้อเย็นวันแรกเราไปฝากท้องที่หาดราไวย์ มื้อนี้เตรียมใจ และเตรียมเงินไปค่อนข้างสูง เพราะจากที่ดูรีวิวต่าง ๆ ที่นี่คือขึ้นชื่อเรื่องอาหารทะเล ของสด ที่เราสามารถไปซื้อของสดแต่ละอย่างมาเป็นกิโล แล้วไปนั่งร้านอาหาร
ให้ร้านเอาของสดที่เราเลือกมาไปทำอาหาร ในเมื่อเราไปถึงตรงนั้น กุ้งลายเสือ ล็อปเตอร์ก็ต้องมาแล้วปะ ฮ่าาา🤭 เดินไปถึงแปลกใจเหมือนกัน แม่ค้าwelcomeเรามาก บอกว่ามีราคาคนไทย ไปจบที่ร้านนึง แม้ค้าน่ารักนำเสนอสุดฤทธิ์ ได้ล็อบเตอร์ตัวเป็นๆ มาแบบตัวย่อม สี่ขีดกว่า 450บาท หมึกสายพวงละ 100 บาท และกุ้งครึ่งโลประมาณสามร้อยกว่าบาท รวมราคามา 950 บาท ถูกมาก (สำหรับเรานะ ไม่รู้ที่อื่นราคายังไงเหมือนกัน เพราะเผื่อใจล็อบเตอร์ ต้องหกเจ็ดร้อยแน่ ๆ ผิดคาด) 

ซื้อเสร็จก็ไปให้ร้านครัวคุณภาทำให้ อันนี้ก็ตามรีวิวเขาว่าอร่อยถูกปากคนไทย แม่ค้าแถวนั้นก็แนะนำร้านนี้
หน้าร้านจะมีพนักงานต้อนรับและชั่งน้ำหนักของสดที่เราซื้อไปและตีราคา รวมแล้ว 1กิโลครึ่ง คิด 150 บาท (ยังไม่จ่ายนะ รอจ่ายตอนกินเสร็จ) เข้าไปนั่งในร้านเขาจะมีเมนูมาให้เลยว่าจะให้เขาทำอะไร
นี่ก็ง่ายๆเลย ล็อบเตอร์นึ่งกระเทียม กุ้งเผา ปลาหมึกลวก เช็คบิลมาร้านนี้ คุณพระ!! 210 บาทจ้าาาาา คือเขาคิดค่าทำตามน้ำหนัก แล้วก็มีค่าน้ำเปล่า และค่าข้าวเปล่าที่เราสั่ง แค่นั้นเลยยยยยยย
นี่เตรียมใจไปว่าสองพันแน่ๆ หมดไปหนึ่งพันร้อยเอง ปลื้มมมม 👍


วันที่สองเราเช็คอินโรงแรมประมาณบ่ายสาม ท้องร้องมากวนใจ เลยกะว่าจะสั่งอาหารโรงแรมกินซะหน่อย เปิดเมนูดูแล้วปิดแทบไม่ทัน(เมนูอยู่ในห้องพัก) ราคาอาหารสองสามร้อยขึ้นทั้งนั้น ขนาดออเดิร์ฟง่าย ๆ ก็สองร้อยกว่าแล้วจ้า
ขับรถไปข้างนอกดีกว่าเนอะ เปิดรีวิวเหมือนเดิม 'ร้านปิ่นโต' เป็นร้านอาหารที่มีทั้งอาหารไทยพื้นบ้าน กลาง และอาหารอิตาเลียน ซึ่งทางเราก็แน่นอน อาหารพื้นบ้านค่ะ ฮ่าา หมูสับผัดตะไคร้ใส่สะตอ น้ำชุปหยำกุ้งมาพร้อมผักรวม และโป๊ะแตก ปริมาณแต่ละอย่างเยอะมากนะ รวมราคาแล้วก็ เกือบหกร้อยบาท อิ่มคุ้มอยู่แหละนะ

เล่นน้ำทะเลเสร็จดันหิวต่ออีก คราวนี้ตรงไปเซเว่นค่ะ กะว่าขอข้าวกล่องเซเว่นไปกินโรงแรมดีกว่า แต่ข้างเซเว่นดันมี 'ร้านอาหารตามสั่งป้าแคท' ซึ่งดูราคาแล้วก็พอไหว เราเลยสั่งกลับมา 3 กล่องเลย รวม 210 บาท ทะเลทุกกล่อง กล่องใหญ่มากนะ เป็นเหมือนกล่องใส่เป็ดย่าง ปริมาณก็เยอะด้วย กุ้งหมึก ใหญ่ ๆโต ๆ ทั้งนั้น อิ่มไปอีก 1 มื้อ



วันกลับเช็คเอ้าท์ตอนเที่ยง (ใช้เวลาในโรงแรมให้คุ้ม😅) แวะถ่ายรูปที่ชายหาดหน่อย เข้าเมืองซื้อของฝากสักเล็กน้อย สุดท้ายระหว่างรอเวลากลับ(ห้าทุ่มครึ่ง) เลยขอไปทิ้งตัว และกินข้าวเย็นที่หาดสุรินทร์ เมื่อไปถึงก็มองเตียงผ้าใบไว้ละ หามุมจะลงอยู่ กลัวแพง มีพ่อค้าแถวนั้นมารุมจีบว่า "นั่งตรงนี้เลยมั้ยครับ เดี๋ยวผมเอาโต๊ะเก้าอี้มาวางให้ฟรีเลย ไม่ต้องไปเสียค่าเตียงผ้าใบตั้งสองร้อย แล้วก็สั่งอะไรมากินก็ได้นิดหน่อย น้ำก็ได้ นั่งยาวๆ เลย" ไอ่เราก็เงอะงะ เอ่อ ๆ อ่า ๆ แล้วโต๊ะเก้าอี้ก็มาวางพร้อมแล้วจ้า
เอ่อ.. นั่งก็ได้วะ เก้าอี้ไม่ใช่พลาสติกสีๆกะโหลกกะลาเด้อ (ไม่ได้บูลลี่เก้าอี้นะ คืออยากเปรียบเทียบให้เห็นภาพอะ) มาเป็นเก้าอี้ผ้านั่งสวยๆ เลย มีเมนูวางมีชื่อร้านเขียนอยู่ 'The Tree' เอาวะ กินก็กิน เปิดเมนูมา เหยยย...ไม่แย่นะ ราคารับได้ เราสั่งต้มยำทะเล 150 ส้มตำกุ้งสด (ที่ขอเขาว่ากึ่งสุกกึ่งดิบ) 150 ข้าวผัดเขียวหวาน 80 แล้วก็น้ำผลไม้น้ำแก้วละ 50 ต่อด้วยขนมปังกระเทียม 80 ละจู่ๆ ก็มีแตงโมมาวาง 1 จาน เอ๋า! ไม่ได้สั่งเด้อ แม่ค้าบอกฟรีจ้า ปลื้ม~ ปลื้มอีกแล้ว 😜 จบด้วยราคา 500 บาทถ้วน เพราะบิลมาคือเขาลดราคาจากในเมนูหมดเลยแกร๊ อย่าง 150ก็เหลือ 120 น้ำปั่นก็เหลือ 40 (หรือเขาลดให้ทุกคนวะ😂) แต่วิวสวยแบบที่เขาบอกจริง ๆ พระอาทิตย์ตกตรงหน้าเราพอดีเป๊ะ! เอาใจไปเลย 🤟


สรุปคือ เราชอบมากนะ มีโอกาสจะไปอีกเพราะยังตามรีวิวไปไม่หมด เหลืออีกหลายที่เลย ... คือโอเคแหละ มันอาจจะแพงในบางอย่าง แต่เราว่ามันก็สถานที่ท่องเที่ยวอะ มาเที่ยวก็ต้องทำใจกะค่าใช้จ่ายแบบนี้ ละอาหารแต่ละอย่างที่เขาให้ มันเยอะมากนะ สมราคาอะ ถ้าใครมาเที่ยวแล้วรู้สึกว่าแพงไป หรืออยากประหยัดกว่านี้ก็สามารถเข้าร้านทั่วไปที่รีวิวไม่เยอะ หรือฝากท้องกับเซเว่นก็ได้ แต่ทางเราสะดวกแบบนี้ ซึ่งแม่ค้าพ่อค้าคือ welcomeเรามาก หรือเพราะตอนที่เราไป มันเป็นช่วงที่พี่จีนไม่มาเที่ยว เขาเลยมาสนใจคนไทยอย่างเรารึเปล่า อันนี้ก็ไม่แน่ใจ เพราะไม่เคยไป
แต่ครั้งแรกของเรามันดี ก็ต้องบอกว่าดีปะ 🏅❤
แล้วเจอกันใหม่ #ภูเก็ต
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่