เพียงเริ่มหลับตาได้ชั่วขณะหนึง...
ด้วยความเคยชินที่เคยนั่งสมาธิที่บ้านมาก่อนบ้างแล้วเราจึงเริ่มกำหนดจิตโดยใช้หน้าผากเป็นศูนย์กลางเป็นตัวกำหนดสมาธิและพอเข้าสมาธิได้เพียงชั่วหนึงก็เริ่มรู้สึกตึงๆตรงกลางหน้าผาก.
และพอนั่งผ่านไปอีกสักระยะเราก็เริ่มจินตนาการเหมือนตัวเองไปนั่งสมาธิอยู่ริมชายหาดมองเห็นแต่ทะเลสีฟ้าใส..ทำให้รู้สึกตัวเองเบาสบาย.
แต่เพียงสักครู่จิตเราก็ระลึกได้ว่า..เรากำลังออกไปไกลแล้ว..ควรดึงตัวเองกลับมา..จึงกำหนดจิตจากตรงกลางหน้าผากอีกครั้ง จนหน้าผากเริ่มตึงๆเราก็ได้สติรู้ตัวว่าขณะนี้ตัวเองกำลังนั่งสมาธิอยู่ในห้องเรียน ณ วัดธรรมมงคลแห่งนี้เอง.
และพอนั่งสมาธิไปอีกสักครู่ ก็เริ่มรู้สึกว่าที่ปลายหางตาด้านซ้ายได้เห็นแสงสีเขียวมรกตรูปร่างคล้ายคลีบปลาอะไรสักอย่างแต่พอเรากำหนดจิตเพ่งมองพิจารณาดูดีๆมันก็เหมือนส่วนปลาพญานาคตามโบราณกาล เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว เราก็ระลึกได้ว่าจิตเราคงกำลังปรุงแต่งอยู่แน่แท้ จึงดึงสติตัวเองอีกครั้งโดยใช้หน้าผากเป็นตัวหนดจิตตามความถนัดและเคยชินเพื่อเรียกตัวเองให้กลับมาจดจ่ออยู่กับสมาธิและลมหายใจตัวเองอีกครั้ง.
พอถึงตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าตัวเองจิตเริ่มนิ่งขึ้นจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจตัวเองอันแผ่วเบาและชัดเจนขึ้นจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจเข้า-ออก อย่างช้าๆและลึกมาก.
พอนั่งไปได้สักระยะหนึงเราก็เริ่มรู้สึกเหมือนเห็นการไหลเวียนของโลหิตในร่างกายตัวเราเองกำลังไหลเวียนแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายตั้งแต่หัวไปจรดเท้า จากบนไปล่าง และจากล่างล่างไปบน สลับกันไปมา แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย.
และพอผ่านไปได้สักพักก็รู้สึกเหมือนร่างกายตัวเองกำลังสั่นเทาเบาๆพร้อมๆกับเริ่มรู้สึกมีอาการชาไปทั่วร่างกายและปลายเท้าทั้งคู่ก็เริ่มชาหนักขึ้น..หนักขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะทนไม่ไหวและอยากจะออกจากสมาธิ.
แต่แล้วจิตก็นึกถึงคำที่หลวงพ่อวิริยังค์ พระอาจารย์แห่งวัดธรรมมงคลแห่งนี้ได้สอนไว้ว่า..การนั่งสมาธิ..บางครั้ง ก็คือวิธีการทรมานและฝึกตนเองอย่างหนึง เมื่อระลึกได้อย่างนี้แล้ว จึงบอกกับตัวเองว่านี่กระมังคือการฝึกตนเองอย่างที่หลวงพ่อบอก..เราจึงพยายามนั่งสมาธิต่อไป และพยายามกำหนดจิตอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกอีกครั้ง.
เพียงชั่วครู่อาการตัวสั่นเทานั้นได้ค่อยๆหายไปแล้ว แต่ยังคงมีอาการเหน็บชาตามร่างกายและปลายเท้าอยู่และ เราจึงเริ่มกำหนดจิตโดยใช้หน้าผากเป็นศูนย์กลางอีกครั้ง..เผื่อว่าอาจจะช่วยบรรเทาอาการเหน็บชาลงไปบ้าง
แต่พอนั่งไปได้สักระยะก็เริ่มรู้สึกว่าเหมือนร่างกายตัวเองครึ่งท่อนบนรู้สึกเหมือนเป็นหินไม่มีความรู้สึกใดๆเลย แต่ยังคงรู้สึกได้ถึงอาการเหน็บชาที่ปลายเท้าทั้ง2ข้างอยู่เท่านั้น..พอถึงตอนนี้ตัวเองก็ถามตัวเองว่า..นี่เรากำลังจะตายแล้วหรือนี่!ทำไมถึงร่างกายครึ่งท่อนบนจึงไม่รับรู้ใดๆคล้ายเป็นท่อนหิน..หรือบางทีก็รู้สึกเหมือนครึ่งท่อนบนได้หายไปเลย..แต่ยังคงรู้สึกได้เพียงลมหายใจ เข้า ออก อย่างแผ่วเบาและชัดเจนแบบไม่เคยรู้สึกได้ขนาดนี่มาก่อน
แล้วถ้าเราหายใจอยู่..เรากำลังจะตายได้อย่างไรแถมที่ปลายเท้าก็ยังมีอาการรู้สึกชาอย่างมากอีกด้วย แค่ร่างกายท่อนบนเท่านั้นที่เราไม่รู้สึกอะไรเลย...ขณะที่จิตกำลังพิจารณาตนเองอยู่นั่น....กริ๊งงงงงง
เสียงกระดิ่งให้ออกจากการนั่งสมาธิก็ดังขึ้น
เราก็ค่อยๆลืมตาและขยับร่างกายเปลี่ยนอริยบทตามปกติแต่อาการชาตามปลายเท้าทั้งสองข้างก็ยังชาอยู่มาก
นี่คือประสบการณ์ครั้งแรกกับการเรียนสมาธิ ที่วัดธรรมมงคล โดยหลวงพ่อวิริยังค์ ตลอด30 นาที ก็เป็นประการฉะนี้แล.
ที่มา...
https://www.facebook.com/budsaba.daosuk
📍บันทึกประสบการณ์ครั้งแรก จากการเรียนสมาธิ ณ วัดธรรมมงคล (สถาบันจิตตานุภาพ)
ด้วยความเคยชินที่เคยนั่งสมาธิที่บ้านมาก่อนบ้างแล้วเราจึงเริ่มกำหนดจิตโดยใช้หน้าผากเป็นศูนย์กลางเป็นตัวกำหนดสมาธิและพอเข้าสมาธิได้เพียงชั่วหนึงก็เริ่มรู้สึกตึงๆตรงกลางหน้าผาก.
และพอนั่งผ่านไปอีกสักระยะเราก็เริ่มจินตนาการเหมือนตัวเองไปนั่งสมาธิอยู่ริมชายหาดมองเห็นแต่ทะเลสีฟ้าใส..ทำให้รู้สึกตัวเองเบาสบาย.
แต่เพียงสักครู่จิตเราก็ระลึกได้ว่า..เรากำลังออกไปไกลแล้ว..ควรดึงตัวเองกลับมา..จึงกำหนดจิตจากตรงกลางหน้าผากอีกครั้ง จนหน้าผากเริ่มตึงๆเราก็ได้สติรู้ตัวว่าขณะนี้ตัวเองกำลังนั่งสมาธิอยู่ในห้องเรียน ณ วัดธรรมมงคลแห่งนี้เอง.
และพอนั่งสมาธิไปอีกสักครู่ ก็เริ่มรู้สึกว่าที่ปลายหางตาด้านซ้ายได้เห็นแสงสีเขียวมรกตรูปร่างคล้ายคลีบปลาอะไรสักอย่างแต่พอเรากำหนดจิตเพ่งมองพิจารณาดูดีๆมันก็เหมือนส่วนปลาพญานาคตามโบราณกาล เมื่อเห็นดังนั้นแล้ว เราก็ระลึกได้ว่าจิตเราคงกำลังปรุงแต่งอยู่แน่แท้ จึงดึงสติตัวเองอีกครั้งโดยใช้หน้าผากเป็นตัวหนดจิตตามความถนัดและเคยชินเพื่อเรียกตัวเองให้กลับมาจดจ่ออยู่กับสมาธิและลมหายใจตัวเองอีกครั้ง.
พอถึงตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าตัวเองจิตเริ่มนิ่งขึ้นจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจตัวเองอันแผ่วเบาและชัดเจนขึ้นจนรู้สึกได้ถึงลมหายใจเข้า-ออก อย่างช้าๆและลึกมาก.
พอนั่งไปได้สักระยะหนึงเราก็เริ่มรู้สึกเหมือนเห็นการไหลเวียนของโลหิตในร่างกายตัวเราเองกำลังไหลเวียนแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายตั้งแต่หัวไปจรดเท้า จากบนไปล่าง และจากล่างล่างไปบน สลับกันไปมา แผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย.
และพอผ่านไปได้สักพักก็รู้สึกเหมือนร่างกายตัวเองกำลังสั่นเทาเบาๆพร้อมๆกับเริ่มรู้สึกมีอาการชาไปทั่วร่างกายและปลายเท้าทั้งคู่ก็เริ่มชาหนักขึ้น..หนักขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะทนไม่ไหวและอยากจะออกจากสมาธิ.
แต่แล้วจิตก็นึกถึงคำที่หลวงพ่อวิริยังค์ พระอาจารย์แห่งวัดธรรมมงคลแห่งนี้ได้สอนไว้ว่า..การนั่งสมาธิ..บางครั้ง ก็คือวิธีการทรมานและฝึกตนเองอย่างหนึง เมื่อระลึกได้อย่างนี้แล้ว จึงบอกกับตัวเองว่านี่กระมังคือการฝึกตนเองอย่างที่หลวงพ่อบอก..เราจึงพยายามนั่งสมาธิต่อไป และพยายามกำหนดจิตอยู่ที่ลมหายใจเข้าออกอีกครั้ง.
เพียงชั่วครู่อาการตัวสั่นเทานั้นได้ค่อยๆหายไปแล้ว แต่ยังคงมีอาการเหน็บชาตามร่างกายและปลายเท้าอยู่และ เราจึงเริ่มกำหนดจิตโดยใช้หน้าผากเป็นศูนย์กลางอีกครั้ง..เผื่อว่าอาจจะช่วยบรรเทาอาการเหน็บชาลงไปบ้าง
แต่พอนั่งไปได้สักระยะก็เริ่มรู้สึกว่าเหมือนร่างกายตัวเองครึ่งท่อนบนรู้สึกเหมือนเป็นหินไม่มีความรู้สึกใดๆเลย แต่ยังคงรู้สึกได้ถึงอาการเหน็บชาที่ปลายเท้าทั้ง2ข้างอยู่เท่านั้น..พอถึงตอนนี้ตัวเองก็ถามตัวเองว่า..นี่เรากำลังจะตายแล้วหรือนี่!ทำไมถึงร่างกายครึ่งท่อนบนจึงไม่รับรู้ใดๆคล้ายเป็นท่อนหิน..หรือบางทีก็รู้สึกเหมือนครึ่งท่อนบนได้หายไปเลย..แต่ยังคงรู้สึกได้เพียงลมหายใจ เข้า ออก อย่างแผ่วเบาและชัดเจนแบบไม่เคยรู้สึกได้ขนาดนี่มาก่อน
แล้วถ้าเราหายใจอยู่..เรากำลังจะตายได้อย่างไรแถมที่ปลายเท้าก็ยังมีอาการรู้สึกชาอย่างมากอีกด้วย แค่ร่างกายท่อนบนเท่านั้นที่เราไม่รู้สึกอะไรเลย...ขณะที่จิตกำลังพิจารณาตนเองอยู่นั่น....กริ๊งงงงงง
เสียงกระดิ่งให้ออกจากการนั่งสมาธิก็ดังขึ้น
เราก็ค่อยๆลืมตาและขยับร่างกายเปลี่ยนอริยบทตามปกติแต่อาการชาตามปลายเท้าทั้งสองข้างก็ยังชาอยู่มาก
นี่คือประสบการณ์ครั้งแรกกับการเรียนสมาธิ ที่วัดธรรมมงคล โดยหลวงพ่อวิริยังค์ ตลอด30 นาที ก็เป็นประการฉะนี้แล.
ที่มา...https://www.facebook.com/budsaba.daosuk