มีใครเป็นพี่คนโตบ้างครับ เหนื่อยไหมกับการที่ต้องเป็นผู้เสียสละอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ผมอายุ17 เป็นพี่คนโตในครอบครัวข้าราชการฐานะปานกลางขนาดย่อมครอบครัวหนึ่ง ที่ประกอบไปด้วย แม่ พ่อ น้องชาย น้องสาว ปู่ ย่า หมาสองตัว ตัวนึงตายไปแล้ว
และบรรดาเครือญาติจากทั้งฝั่งพ่อและแม่ ส่วนตากับยายเสียไปแล้วตั้งแต่เด็ก

ผมมีน้องชายที่อายุอ่อนกว่าผม5ปี และ มีน้องสาวที่อายุอ่อนกว่าผม11ปี

สมัยที่ผมยังเด็ก และผมเป็นลูกคนเดียว ผมมีความสุขมากที่ได้อยู่กับพ่อแม่มาตลอดในต่างจังหวัด พ่อกับแม่เต็มที่กับผมทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นโรงเรียนอนุบาลที่เรียน ก็ส่งผมเข้าเรียนโรงเรียนนานาชาติที่ดีที่สุดในจังหวัด หรือหนังสือและของเล่นเด็กสำหรับผม ก็จะเป็นของอย่างดีที่ราคาค่อนข้างสูงซึ่งบางชิ้นตกทอดมาถึงน้องสาวผมในปัจจุบันแล้วยังใช้ได้ด้วยครับ
เวลาผ่านไปจนผมมีน้องชาย ก็มีการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ครอบครัวผมวางแผนย้ายไปอยู่ที่กรุงเทพ ปลูกบ้านของตัวเองขึ้นมา1หลัง
และในระหว่างนั้นผมกับน้องก็ยังอยู่ที่ต่างจังหวัด
และพอบ้านเสร็จแล้ว พ่อแม่ก็ส่งน้องไปอยู่กับยายที่บ้านล่วงหน้าก่อน แล้วก็ย้ายทั้งครอบครัวไปที่กรุงเทพไปประจำตำแหน่งเป็นอัยการที่ที่ทำงานแถวๆเขต รัชดา-ศาลายาครับ
จากโรงเรียนนานาชาติอย่างดีที่เคยเรียน ผมถูกย้ายมาเรียนโรงเรียนเตรียมเข้าประถมเอกชนธรรมดาๆ
ส่วนน้องก็เข้าเนอร์สเซอรี่ ผมเห็นความเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ตอนนั้นและถามตัวเองว่า ทำไม ตลอด

แล้วก็ถึงตอนที่ผมเข้าประถม ผมได้เข้าเรียนโรงเรียนประถมของรัฐบาลที่ตอนนี้ยังพูดมาตลอดว่าขอบคุณที่อุตส่าห์จบมาได้ซักที
ประมาณสองหรือสามปีให้หลังน้องชายก็เข้าเรียนประถมที่โรงเรียนเอกชนสีน้ำเงินขาวครับ

ผมมีน้องสาวตอนป.6 ตอนนั้นผมต้องใช้ชีวิตลำบากกว่าเดิม พ่อแม่ น้องสองคนและผมต้องย้ายมาอยู่บ้านพักข้าราชการ เนื่องจากมีคำสั่งย้ายเขต เลยถูกทำให้ทำอะไรตามใจชอบไม่ได้
ผมเข้าใจเหตุผลว่าทำไมต้องย้ายมาอยู่ในที่แบบนี้แต่ผมก็อดไม่ได้ที่จะแอบคิดว่าผมต้องสูญเสียความสบายในชีวิต และเพื่อนๆที่ได้ทำความรู้จักกันที่ที่ทำงานเก่าที่ศาลายา เพื่อให้พ่อกับแม่ ทำงานใกล้โรงเรียนพวกผมและน้องให้ส่งได้สะดวก จนมาถึงตอนนี้ ที่ผมกำลังจะขึ้นม.6 ผมมีความชอบด้านการทำอาหาร แน่นอนว่าการทำอาหารต้องมีอุปกรณ์และพื้นที่ และด้วยความที่ผมอยู่ในบ้านพักข้าราชการ แน่นอนว่า แม้แต่ความชอบของผม ผมก็ยังไม่สามารถทำได้แบบเต็มที่ ด้วยความที่พื้นที่น้อย และไม่มีแม้แต่ที่เตรียมวัตถุดิบ ต้องไปเตรียมบนเครื่องซักผ้า หรือแม้แต่ซิ้งล้างจาน

สิ่งเหล่านี้ที่ผมกล่าวมา มันทำให้ผมเก็บกดอยู่ในใจลึกๆมาตลอด ว่าทำไมตัวเองถึงต้องมาอยู่ในสภาวะที่อยากทำอะไรแต่ก็ทำไม่ได้
คิดอยู่ในใจอยู่ตลอดว่าทำไมต้องมาเสียสละให้คนอื่นด้วย
เมื่อก่อนพ่อแม่ผมก็มีเงิน ซื้ออะไรให้ได้ตลอด บางทีไม่ต้องขอก็ให้แล้ว เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องขออะไรก็ได้ยินบ่นลอยๆว่าไม่มีเงินแล้ว มันทำให้ผมสับสนมาตลอด
ทุกวันนี้ หันไปเห็นเพื่อน บางคนไปต่างประเทศกับครอบครัวบ่อยมากๆ ส่วนผม ไม่ใช่ไม่เคยไป เคยไปครับ แต่ไม่มีครั้งไหนเลยที่เคยได้ไปกับครอบครัวครับ
และทุกครั้งที่ไป คือไปแค่ในเอเชียครับ เพื่อนๆไปไกลกันถึงยุโรป เมกากันหมดแล้ว เคยถามพ่อกับแม่ว่าทำไมไม่เคยพาไปโซนนั้นบ้าง ก็ได้เหตุผลมาว่า “น้อง”ยังไม่โตครับ
มีครั้งนึง ที่พ่อผมจับฉลากรางวัลอะไรสักอย่าง ได้ตั๋วไปญี่ปุ่น ก็ตั้งความหวังไว้ซะดิบดีว่าจะได้ไป แต่ก็มาตกม้าตาย เพราะว่าวันที่ไป “น้องชายสอบ” ครับ

เห็นไหมล่ะครับ สิ่งที่ผมพูดมาทั้งหมด “น้อง” มีส่วนทั้งนั้นเลยครับ ไม่มากก็น้อย

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

ไม่ใช่ว่าผมไม่รักน้องนะครับ รักครับ แต่ว่าไม่รู้ทำไมผมถึงไม่ชินกับการเสียสละ ทั้งทางตรงทางอ้อมแบบนี้สักที มันทำให้โอกาสหลายอย่างหายไป

ขอบ่นแค่นี้แหละ ประโยคไหนแรงไป ตรงไป ไม่ถูกใจท่านไหนก็ขออภัยด้วยครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่