'ธนาธร'ชี้โอกาสดีสุดในรอบ10ปี ร่วมกันเปลี่ยนแปลงปท.
https://www.dailynews.co.th/politics/761507
“ธนาธร” ลั่น 3 ภารกิจ “คณะอนาคตใหม่” 1. ลุยเลือกตั้งท้องถิ่น 2. รณรงค์ทางความคิด 3. ตั้งเครือข่ายประชาชน 77 จังหวัด ชี้แฟลชม็อบ น.ศ.ยังไม่หยุดแค่ “ประยุทธ์” ลาออก ต้องยุบสภา-เลือกตั้งใหม่เท่านั้น
เมื่อวันที่ 7 มี.ค. นาย
ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวในการบรรยายพิเศษในหัวข้อ “
เมื่อพรรคอนาคตใหม่เป็นอดีต:อะไรจะเกิดขึ้นกับฝ่ายค้านต่อไป” ในตอนหนึ่งว่า การตัดสินของศาลบังคับให้พวกเราต้องวิวัฒนาการ พรรคอนาคตใหม่กลายเป็นตัวขับเคลื่อนให้กับคนที่คิดว่า พอกันที และสำหรับคนที่รู้ว่า หากปราศจากการแทรกแซงของพลังอำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นในรูปของกองทัพ หรืออะไรก็ตาม ประเทศไทยคงจะดีกว่านี้ สำหรับกลุ่มคนที่ต้องการต่อสู้กับ [เผล่ะจัง] เพราะพวกเขารู้ดีว่า อนาคตของลูกหลานนั้น จะถูกกำหนดจากสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ตอนนี้ แม้ว่าพรรคจะถูกยุบ ทำให้ตัวขับเคลื่อนนั้นพังทลาย แต่ผู้คนจะยังคงเดินหน้าต่อไปสู่จุดมุ่งหมายที่เรามีร่วมกัน เราขอประกาศว่า จะไม่ยอมแพ้ พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบไปแล้ว แต่ประชาชนจะเดินทางต่อไปเพื่อให้ถึงจดมุ่งหมาย เราอยู่ทีนีและเราจะไม่ยอมแพ้ มันเร็วไปที่จะร้องไห้ หรือยอมแพ้ หลายพรรคการเมืองถูกยุบก่อนที่เราจะโดน พวกเขาคิดว่า การยุบพรรค คือ การทำลายฝ่ายตรงข้าม แต่เราจะพิสูจน์ว่า พวกเขาคิดผิด และช่วงเวลานี่จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มันไม่ใช่ตอนจบแบบที่พวกเขาต้องการ แต่เป็นเพียง การจบบทแรก และตอนนี้บทที่สอง กำลังเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
“
ตอนนี้ผมไม่ได้มีตำแหน่งทางการเมือง และไม่มีอำนาจที่จะเปลี่ยนอะไรได้ แต่นั้นก็หมายความว่า ผมก็ไม่มีข้อจำกัดใดๆ ตามที่กฎหมายพรรคการเมืองกำหนด ผมสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระมากขึ้น เพราะคิดแบบนี้ ผมจึงประกาศตั้ง คณะอนาคตใหม่ โดยเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มที่มีอุดมการณ์เดียวกัน มีความยืดหยุ่นสูง ไม่กำหนดตายตัว ไม่ได้เป็นนิติบุคคล เราเริ่มจากอดีตสมาชิพรรคอนาคตใหม่จากทุกเพศทุกวัย ที่ต้องการต่อต้าน [เผล่ะจัง] และสนับสนุนความเท่าเทียมและความเป็นประชาธิปไตยในสังคม” นาย
ธนาธร กล่าว
นาย
ธนาธร กล่าวว่า โดยมี 3 พันธกิจ ได้แก่
1. สู้ในสนามเลือกตั้งท้องถิ่น เราเชื่อว่า ที่ผ่านมาการเมืองท้องถิ่นไทยถูกผูกขาดโดยกลุ่มครบอครัวที่ใช้เงิน และความรุนแรงในการกินรวบอำนาจของตัวเองในท้องที่ หลายครั้งพบว่าครอบครัวการเมืองเหล่านี้ให้การสนุบสนุนการแทกแซงของทหาร เราเชื่อว่าด้วยนโยบายที่ดี ด้วยความตั้งใจที่แนวแน่ การยืนอยู่ตรงข้ามการซื้อเสียง และการใช้เทคโนโ,ยีมาช่วย เราจะสามารถเปิดศักราชใหม่ในการเมืองท้องถิ่นได้ แบบที่เราทำมาแล้วในการเมืองระดับชาติ หากเราเพิ่มการแข่งขันในการเมืองท้องถิ่นให้เข้มข้นขึ้น จะทำให้นักการเมืองท้องถิ่นต้องปรับวิธีการเล่นการเมือง มิฉะนั้นก็อาจจะแพ้
2. เพราะเราเชื่อว่า ความคิดแข็งแกร่งกว่าปืน บัตรเลือกตั้งแข็งแกร่งกว่ากระสุน เราจะรณรงค์อย่างหนักหน่วง ไม่หยุดหย่อน เพื่อสนับสนุนแนวคิดเสรีนิยม และแนวคิดแบบประชาธิปไตย เราจะรณรงค์เพื่อสนับสนุน สังคมที่รักสิ่งแวดล้อม และสังคมที่ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็น ในมหาวิทยาลัย ในชุมชน ในสมาคมการค้าต่างๆ และสมาพันธ์เกษตรกรณ์ ทั้งรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ โดยไปด้วยตัวเอง ซึ่งนี่คือการต่อสู้ทางความคิด ทั้งนี้ตนเชื่อว่า หากเราชนะสมรภูมิทางคิดได้ เราจะชนะทุกสมรภูมิ เพื่อจะเขียนประวัติศาสตร์ยุคหลัง พล.อ.ประยุทธ์
นาย
ธนาธร กล่าวต่อว่า ภารกิจสุดท้าย 3. คือสร้างเครือข่ายประชาชนทั้ง 77 จังหวัด เครือข่ายของคนที่ต้องงการต่อสู้เพื่อปกป้องประชาธิปไตย หากมีสิ่งหนึ่งที่ประเทศไทยสามารถสอนบทเรียนให้โลกได้ นั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับประชาธิปไตยที่มีอยู่ ทำให้เรารู้ว่า เสรีภาพมีราคาที่ต้องจ่าย เมื่อไม่มีใครยอมจ่ายในส่วนนี้ ทุกคนจึงสูญเสียเสรีภาพ นี่คือเหตุผลว่าทำไมต้องมีเครือข่ายประชาชน เพื่อต่อสู้กับอำนาจ [เผล่ะจัง] นี่คือ 3 พันธกิจของเรา
“
สองอาทิตย์ที่ผ่านมา ระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เราเปิดโปงหลักฐานที่ว่า กองทัพไทย มีการใช้ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารเพื่อโจมตีพรรคฝ่ายค้าน และบุคคลที่ต่อต้าน [เผล่ะจัง] โดยหลักแล้ว เป็นโครงการที่รัฐบาลให้การสนับสนุน โดยมีจุดมุ่หมายเพื่อสร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในสังคม โดยใช้ข้อมูล และข่าวปลอม จากการคำนวณคร่าวๆพบว่า มีเจ้าหน้าที่ในกองทัพหลายพันนาย ทำงานทั้งวันทั้งคืนเพื่อส่งข่าวปลอมและวาทะที่สร้างความเกลียดชังทั่วสังคมออนไลน์ เพื่อดิสเครดิตพวกเรา และนี่ทำให้เราได้คำตอบว่า ทำไมคนไทยที่มีความคิดทางการเมืองต่างกัน ถึงมีความเกลียดชังกันนัก เป็นเพราะว่า ความเกลียดชังไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่เกิดจากการผลิตขึ้นมาอย่างเป็นระบบ และอย่างตั้งใจ”นายธนาธร กล่าวและว่า พวกเขาต้องการให้เราเชื่อว่าประชาธิปไตยและการแตกแยกทางคิดทางการเมืองเป็นปัญหา และประชาธิปไตยไม่เหมาะกับประเทศไทย ดังนั้น การแทรกแซงของอำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง จึงมีความจำเป็นและทหาร คือ พระเอกขี่ม้าขาว นั่นคือสิ่งที่พวกเขาต้องการ" นาย
ธนาธร กล่าว
เมื่อถามถึงการเคลื่อนไหวของคณะอนาคตใหม่ ว่าจากนี้มีแนวทางอย่างไร นาย
ธนาธร กล่าวว่า การเคลื่อนไหวจากนี้คือการพยายามเข้าถึงคนรากหญ้า มาเป็นฐานเสียงของพรรคร่วมฝ่ายค้านพรรคอื่น และเน้นการทำการเมืองท้องถิ่น เพราะการเมืองท้องถิ่น คือสิ่งที่ใกล้ตัวคนที่สุด ขณะที่ในสภา เป็นแค่เพียงการผ่านกฎหมาย พวกเราต้องการพิสูจน์ให้คนเห็นว่า เราสามารถมีการเมืองที่ดีจะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น โดยการเคลื่อนไหวในลักษณะดังกล่าวสามารถเชื่อมโยงกับคนระดับรากหญ้า โดยตรง
“
ผมขอยกตัวอย่าง จ.เชียงใหม่ ที่ไม่เคยมีการดีเบตระหว่างผู้สมัครนายกเทศมนตรี เมืองเชียงใหม่มาก่อน ว่าเขาต้องการเห็นเมืองเชียงใหม่ในอีก 20 ปีข้างหน้าเป็นอย่างไร ผมต้องการที่จะสร้างการเมืองที่เข้มแข็งและสร้างสรรค์ ต้องการเพิ่มการแข่งขันให้เกิดขึ้นในการเมืองระดับท้องถิ่น แม้ว่าผมจะไม่สามารถส่งคนลงเลือกตั้งได้ด้วยตนเอง แต่ช่วยรณรงค์หาเสียง ผู้สมัครที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองแบบเดียวกันได้”” นาย
ธนาธร กล่าว
นายธนาธร ยังกล่าวถึงการออกมาชุมนุมแฟลชม็อบของนักศึกษาในหลายมหาวิทยาลัยในประเทศไทยว่า ตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องการกับเคลื่อนไหวดังกล่าว หากแต่สิ่งทีเกิดขึ้นเกิดจากจุดประกายทางความคิดและสร้างบันดาลใจกันและกัน และยอมรับว่า ตนประหลาดใจที่เห็นนักศึกษาเหล่านี้ออกมาเคลื่อนไหว ในอนาคตข้างหน้า เราจะต้องนำพาทุกภาคส่วนให้ร่วมมือกัน ออกมาเพื่อช่วยกันเปลี่ยนแปลงประเทศ ซึ่งครั้งนี้นับเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เราจะต้องทำมันให้สำเร็จ และต้องไม่เสียโอกาสนี้โดยเด็ดขาด สำหรับตนรูปแบบและวิธีสามารถยืดหยุ่นได้ แต่ที่สำคัญคือ อุดมการณ์ต้องไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าการชุมนุมของนักศึกษาจะไม่บานปลายเหมือนในฮ่องกง เพราะพวกเขารู้จักการชุมนุมอย่างสันติวิธี
นาย
ธนาธร กล่าวอีกว่า แต่คำถามที่สำคัญคือ อะไรจะเป็นข้อเรียกร้องร่วมกันที่ฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาลจะยอมรับร่วมกันได้ โดยข้อเรียกร้องทั่วไปมีอยู่ 2 ทางคือ
1. ให้พล.อ.
ประยุทธ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
และ 2. คือยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่
ซึ่งผมเชื่อว่าทางออกเดียวที่นักศึกษาจะพอใจ คือ ต้องยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ เพราะว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะอยู่หรือไม่อยู่ ก็ตาม ระบอบ [เผล่ะจัง] ก็ยังคงดำเนินต่อไป การเลือกตั้งที่ผ่านมา ประชาชนที่ออกมาเลือกตั้ง 35 ล้านเสียง 47% เลือกพรรคที่มีจุดยืนไม่เอาพล.อ.ประยุทธ์ 25% เลือกพรรรคที่สนับสนุน พล.อ.
ประยุทธ์ ขณะที่อีก 27 % เลือกพรรคที่ไม่แสดงจุดยืนว่าเอาหรือไม่เอา พล.อ.
ประยุทธ์ ซึ่งจะเห็นได้ว่า ระยะห่างระหว่างคนที่เอาหรือไม่ พล.อ.
ประยุทธ์ นั้นต่างกันเยอะมากแต่กลับกลายเป็นว่า พล.อ.
ประยุทธ์ ยังได้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่สะท้อผลการเลือกตั้ง ที่แท้จริงและไม่สะท้อนถึงความต้องการของประชาชน
เมื่อถามว่า หากต้องเข้าเรือนจำ นาย
ธนาธรวางแผนไว้อย่างไร นาย
ธนาธร กล่าวว่า เอาจริงๆ ก็ไม่อยากเข้าคุก เพราะลูกชายคนเล็กสุดอายุแค่ 15 เดือนและยังอยากดูลูกเติบโตต่อไป แต่หากต้องเข้าจริงๆ ก็ยืนยันว่า จะไม่หนี อย่างไรก็ตามรัฐพยายามใช้กระบวนการทางกฎหมาย เพื่อปิดปากฝ่ายตรงข้าม อย่างกรณีของนางสาว
พรรณิการ์ ที่ออกมาพูดเรื่อง 1MDB ส.ส.ร่วมพรรค และบรรดานักเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชน เนื่องจากรัฐมองว่าเป็นอุปสรรคในการครองอำนาจของรัฐ
เมื่อถามถึงความรู้สึกและบทเรียนที่ได้เรียนรู้จากการที่มี ส.ส.แปรพักตร์ไปอยู่กับรัฐบาล นาย
ธนาธร กล่าวว่า มีทั้งหมด 14 คนสิ่งที่ตนเรียนรู้อย่างเจ็บปวดคือ การหักหลังเป็นเรื่องธรรมดาในเกมการเมือง เนื่องจากมีเวลาหาตัวผู้สมัครส.ส.เพียงแค่ 3 เดือนทำให้ไม่สามารถรู้จักปูมหลังของ ผู้สมัครแต่ละคนได้มากกว่าข้อมูลที่ปรากฎบนใบสมัคร ซึ่งตนรู้สึกถูกหักหลังและผิดหวังเป็นอย่างมากกับ ส.ส. ที่แปรพักตร์ เพราะพรรครณรงค์อย่างเข้มข้นก่อนการเลือกตั้งว่า ไม่เอา [เผล่ะจัง] อย่างเด็ดขาด.
JJNY : ธนาธรชี้โอกาสดีร่วมเปลี่ยนแปลงปท./ตู่6ปี หว่าน3.51แสนล./พท.ชี้แจกเงินไม่ช่วย/แฉวิปรบ.ห้ามลงชื่อเปิดสภาแก้แฟลชม็อบ
https://www.dailynews.co.th/politics/761507
เมื่อวันที่ 7 มี.ค. นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวในการบรรยายพิเศษในหัวข้อ “เมื่อพรรคอนาคตใหม่เป็นอดีต:อะไรจะเกิดขึ้นกับฝ่ายค้านต่อไป” ในตอนหนึ่งว่า การตัดสินของศาลบังคับให้พวกเราต้องวิวัฒนาการ พรรคอนาคตใหม่กลายเป็นตัวขับเคลื่อนให้กับคนที่คิดว่า พอกันที และสำหรับคนที่รู้ว่า หากปราศจากการแทรกแซงของพลังอำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง และไม่เป็นประชาธิปไตย ไม่ว่าจะเป็นในรูปของกองทัพ หรืออะไรก็ตาม ประเทศไทยคงจะดีกว่านี้ สำหรับกลุ่มคนที่ต้องการต่อสู้กับ [เผล่ะจัง] เพราะพวกเขารู้ดีว่า อนาคตของลูกหลานนั้น จะถูกกำหนดจากสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้ ตอนนี้ แม้ว่าพรรคจะถูกยุบ ทำให้ตัวขับเคลื่อนนั้นพังทลาย แต่ผู้คนจะยังคงเดินหน้าต่อไปสู่จุดมุ่งหมายที่เรามีร่วมกัน เราขอประกาศว่า จะไม่ยอมแพ้ พรรคอนาคตใหม่ถูกยุบไปแล้ว แต่ประชาชนจะเดินทางต่อไปเพื่อให้ถึงจดมุ่งหมาย เราอยู่ทีนีและเราจะไม่ยอมแพ้ มันเร็วไปที่จะร้องไห้ หรือยอมแพ้ หลายพรรคการเมืองถูกยุบก่อนที่เราจะโดน พวกเขาคิดว่า การยุบพรรค คือ การทำลายฝ่ายตรงข้าม แต่เราจะพิสูจน์ว่า พวกเขาคิดผิด และช่วงเวลานี่จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มันไม่ใช่ตอนจบแบบที่พวกเขาต้องการ แต่เป็นเพียง การจบบทแรก และตอนนี้บทที่สอง กำลังเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
“ตอนนี้ผมไม่ได้มีตำแหน่งทางการเมือง และไม่มีอำนาจที่จะเปลี่ยนอะไรได้ แต่นั้นก็หมายความว่า ผมก็ไม่มีข้อจำกัดใดๆ ตามที่กฎหมายพรรคการเมืองกำหนด ผมสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระมากขึ้น เพราะคิดแบบนี้ ผมจึงประกาศตั้ง คณะอนาคตใหม่ โดยเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มที่มีอุดมการณ์เดียวกัน มีความยืดหยุ่นสูง ไม่กำหนดตายตัว ไม่ได้เป็นนิติบุคคล เราเริ่มจากอดีตสมาชิพรรคอนาคตใหม่จากทุกเพศทุกวัย ที่ต้องการต่อต้าน [เผล่ะจัง] และสนับสนุนความเท่าเทียมและความเป็นประชาธิปไตยในสังคม” นายธนาธร กล่าว
นายธนาธร กล่าวว่า โดยมี 3 พันธกิจ ได้แก่
1. สู้ในสนามเลือกตั้งท้องถิ่น เราเชื่อว่า ที่ผ่านมาการเมืองท้องถิ่นไทยถูกผูกขาดโดยกลุ่มครบอครัวที่ใช้เงิน และความรุนแรงในการกินรวบอำนาจของตัวเองในท้องที่ หลายครั้งพบว่าครอบครัวการเมืองเหล่านี้ให้การสนุบสนุนการแทกแซงของทหาร เราเชื่อว่าด้วยนโยบายที่ดี ด้วยความตั้งใจที่แนวแน่ การยืนอยู่ตรงข้ามการซื้อเสียง และการใช้เทคโนโ,ยีมาช่วย เราจะสามารถเปิดศักราชใหม่ในการเมืองท้องถิ่นได้ แบบที่เราทำมาแล้วในการเมืองระดับชาติ หากเราเพิ่มการแข่งขันในการเมืองท้องถิ่นให้เข้มข้นขึ้น จะทำให้นักการเมืองท้องถิ่นต้องปรับวิธีการเล่นการเมือง มิฉะนั้นก็อาจจะแพ้
2. เพราะเราเชื่อว่า ความคิดแข็งแกร่งกว่าปืน บัตรเลือกตั้งแข็งแกร่งกว่ากระสุน เราจะรณรงค์อย่างหนักหน่วง ไม่หยุดหย่อน เพื่อสนับสนุนแนวคิดเสรีนิยม และแนวคิดแบบประชาธิปไตย เราจะรณรงค์เพื่อสนับสนุน สังคมที่รักสิ่งแวดล้อม และสังคมที่ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วม ไม่ว่าจะเป็น ในมหาวิทยาลัย ในชุมชน ในสมาคมการค้าต่างๆ และสมาพันธ์เกษตรกรณ์ ทั้งรูปแบบออนไลน์และออฟไลน์ โดยไปด้วยตัวเอง ซึ่งนี่คือการต่อสู้ทางความคิด ทั้งนี้ตนเชื่อว่า หากเราชนะสมรภูมิทางคิดได้ เราจะชนะทุกสมรภูมิ เพื่อจะเขียนประวัติศาสตร์ยุคหลัง พล.อ.ประยุทธ์
นายธนาธร กล่าวต่อว่า ภารกิจสุดท้าย 3. คือสร้างเครือข่ายประชาชนทั้ง 77 จังหวัด เครือข่ายของคนที่ต้องงการต่อสู้เพื่อปกป้องประชาธิปไตย หากมีสิ่งหนึ่งที่ประเทศไทยสามารถสอนบทเรียนให้โลกได้ นั่นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับประชาธิปไตยที่มีอยู่ ทำให้เรารู้ว่า เสรีภาพมีราคาที่ต้องจ่าย เมื่อไม่มีใครยอมจ่ายในส่วนนี้ ทุกคนจึงสูญเสียเสรีภาพ นี่คือเหตุผลว่าทำไมต้องมีเครือข่ายประชาชน เพื่อต่อสู้กับอำนาจ [เผล่ะจัง] นี่คือ 3 พันธกิจของเรา
“สองอาทิตย์ที่ผ่านมา ระหว่างการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล เราเปิดโปงหลักฐานที่ว่า กองทัพไทย มีการใช้ปฏิบัติการข้อมูลข่าวสารเพื่อโจมตีพรรคฝ่ายค้าน และบุคคลที่ต่อต้าน [เผล่ะจัง] โดยหลักแล้ว เป็นโครงการที่รัฐบาลให้การสนับสนุน โดยมีจุดมุ่หมายเพื่อสร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้นในสังคม โดยใช้ข้อมูล และข่าวปลอม จากการคำนวณคร่าวๆพบว่า มีเจ้าหน้าที่ในกองทัพหลายพันนาย ทำงานทั้งวันทั้งคืนเพื่อส่งข่าวปลอมและวาทะที่สร้างความเกลียดชังทั่วสังคมออนไลน์ เพื่อดิสเครดิตพวกเรา และนี่ทำให้เราได้คำตอบว่า ทำไมคนไทยที่มีความคิดทางการเมืองต่างกัน ถึงมีความเกลียดชังกันนัก เป็นเพราะว่า ความเกลียดชังไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่เกิดจากการผลิตขึ้นมาอย่างเป็นระบบ และอย่างตั้งใจ”นายธนาธร กล่าวและว่า พวกเขาต้องการให้เราเชื่อว่าประชาธิปไตยและการแตกแยกทางคิดทางการเมืองเป็นปัญหา และประชาธิปไตยไม่เหมาะกับประเทศไทย ดังนั้น การแทรกแซงของอำนาจที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง จึงมีความจำเป็นและทหาร คือ พระเอกขี่ม้าขาว นั่นคือสิ่งที่พวกเขาต้องการ" นายธนาธร กล่าว
เมื่อถามถึงการเคลื่อนไหวของคณะอนาคตใหม่ ว่าจากนี้มีแนวทางอย่างไร นายธนาธร กล่าวว่า การเคลื่อนไหวจากนี้คือการพยายามเข้าถึงคนรากหญ้า มาเป็นฐานเสียงของพรรคร่วมฝ่ายค้านพรรคอื่น และเน้นการทำการเมืองท้องถิ่น เพราะการเมืองท้องถิ่น คือสิ่งที่ใกล้ตัวคนที่สุด ขณะที่ในสภา เป็นแค่เพียงการผ่านกฎหมาย พวกเราต้องการพิสูจน์ให้คนเห็นว่า เราสามารถมีการเมืองที่ดีจะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น โดยการเคลื่อนไหวในลักษณะดังกล่าวสามารถเชื่อมโยงกับคนระดับรากหญ้า โดยตรง
“ผมขอยกตัวอย่าง จ.เชียงใหม่ ที่ไม่เคยมีการดีเบตระหว่างผู้สมัครนายกเทศมนตรี เมืองเชียงใหม่มาก่อน ว่าเขาต้องการเห็นเมืองเชียงใหม่ในอีก 20 ปีข้างหน้าเป็นอย่างไร ผมต้องการที่จะสร้างการเมืองที่เข้มแข็งและสร้างสรรค์ ต้องการเพิ่มการแข่งขันให้เกิดขึ้นในการเมืองระดับท้องถิ่น แม้ว่าผมจะไม่สามารถส่งคนลงเลือกตั้งได้ด้วยตนเอง แต่ช่วยรณรงค์หาเสียง ผู้สมัครที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองแบบเดียวกันได้”” นายธนาธร กล่าว
นายธนาธร ยังกล่าวถึงการออกมาชุมนุมแฟลชม็อบของนักศึกษาในหลายมหาวิทยาลัยในประเทศไทยว่า ตนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องการกับเคลื่อนไหวดังกล่าว หากแต่สิ่งทีเกิดขึ้นเกิดจากจุดประกายทางความคิดและสร้างบันดาลใจกันและกัน และยอมรับว่า ตนประหลาดใจที่เห็นนักศึกษาเหล่านี้ออกมาเคลื่อนไหว ในอนาคตข้างหน้า เราจะต้องนำพาทุกภาคส่วนให้ร่วมมือกัน ออกมาเพื่อช่วยกันเปลี่ยนแปลงประเทศ ซึ่งครั้งนี้นับเป็นโอกาสที่ดีที่สุดในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา เราจะต้องทำมันให้สำเร็จ และต้องไม่เสียโอกาสนี้โดยเด็ดขาด สำหรับตนรูปแบบและวิธีสามารถยืดหยุ่นได้ แต่ที่สำคัญคือ อุดมการณ์ต้องไม่เปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม ตนเชื่อว่าการชุมนุมของนักศึกษาจะไม่บานปลายเหมือนในฮ่องกง เพราะพวกเขารู้จักการชุมนุมอย่างสันติวิธี
นายธนาธร กล่าวอีกว่า แต่คำถามที่สำคัญคือ อะไรจะเป็นข้อเรียกร้องร่วมกันที่ฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาลจะยอมรับร่วมกันได้ โดยข้อเรียกร้องทั่วไปมีอยู่ 2 ทางคือ
1. ให้พล.อ.ประยุทธ์ ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
และ 2. คือยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่
ซึ่งผมเชื่อว่าทางออกเดียวที่นักศึกษาจะพอใจ คือ ต้องยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ เพราะว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะอยู่หรือไม่อยู่ ก็ตาม ระบอบ [เผล่ะจัง] ก็ยังคงดำเนินต่อไป การเลือกตั้งที่ผ่านมา ประชาชนที่ออกมาเลือกตั้ง 35 ล้านเสียง 47% เลือกพรรคที่มีจุดยืนไม่เอาพล.อ.ประยุทธ์ 25% เลือกพรรรคที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ขณะที่อีก 27 % เลือกพรรคที่ไม่แสดงจุดยืนว่าเอาหรือไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งจะเห็นได้ว่า ระยะห่างระหว่างคนที่เอาหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ นั้นต่างกันเยอะมากแต่กลับกลายเป็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่สะท้อผลการเลือกตั้ง ที่แท้จริงและไม่สะท้อนถึงความต้องการของประชาชน
เมื่อถามว่า หากต้องเข้าเรือนจำ นายธนาธรวางแผนไว้อย่างไร นายธนาธร กล่าวว่า เอาจริงๆ ก็ไม่อยากเข้าคุก เพราะลูกชายคนเล็กสุดอายุแค่ 15 เดือนและยังอยากดูลูกเติบโตต่อไป แต่หากต้องเข้าจริงๆ ก็ยืนยันว่า จะไม่หนี อย่างไรก็ตามรัฐพยายามใช้กระบวนการทางกฎหมาย เพื่อปิดปากฝ่ายตรงข้าม อย่างกรณีของนางสาวพรรณิการ์ ที่ออกมาพูดเรื่อง 1MDB ส.ส.ร่วมพรรค และบรรดานักเคลื่อนไหวเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชน เนื่องจากรัฐมองว่าเป็นอุปสรรคในการครองอำนาจของรัฐ
เมื่อถามถึงความรู้สึกและบทเรียนที่ได้เรียนรู้จากการที่มี ส.ส.แปรพักตร์ไปอยู่กับรัฐบาล นายธนาธร กล่าวว่า มีทั้งหมด 14 คนสิ่งที่ตนเรียนรู้อย่างเจ็บปวดคือ การหักหลังเป็นเรื่องธรรมดาในเกมการเมือง เนื่องจากมีเวลาหาตัวผู้สมัครส.ส.เพียงแค่ 3 เดือนทำให้ไม่สามารถรู้จักปูมหลังของ ผู้สมัครแต่ละคนได้มากกว่าข้อมูลที่ปรากฎบนใบสมัคร ซึ่งตนรู้สึกถูกหักหลังและผิดหวังเป็นอย่างมากกับ ส.ส. ที่แปรพักตร์ เพราะพรรครณรงค์อย่างเข้มข้นก่อนการเลือกตั้งว่า ไม่เอา [เผล่ะจัง] อย่างเด็ดขาด.