คือผมเป็นเด็ก ม.6 ที่กำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย ช่วงเวลาที่สอบเริ่มตั้งแต่ 22 ก.พ. ถึง 15 มี.ค. (เฉพาะ ส.-อาทิตย์)
.
ผมเครียดมากกับเรื่องสอบ กลัวสอบไม่ติดในคณะที่หวังไว้ ช่วงเวลานี้คือยอมรับว่าคิดมาก กลัวทำข้อสอบไม่ได้ จนบางครั้งการคิดมากมีผลทำให้ผมไม่มีสมาธิในการอ่านหนังสือและทบทวนเนื้อหา
.
อีกอย่างคือเมื่อวานมีการปัจฉิมนิเทศที่โรงเรียน สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกหดหู่ใจ คือ ผมจะต้องจากกับเพื่อน ซึ่งแน่นอนว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการจากกันเพื่อไปตามความฝันของตัวเองในมหาวิทยาลัย
.
การมีงานปัจฉิมนิเทศ ทำให้ผมรู้สึกได้อย่างนึงว่า ผมคงจะไม่ได้มาอยู่กับเพื่อนกลุ่มนี้อีกต่อไป จนทำให้ผมรู้สึกแย่ และบางครั้งก็น้อยใจลึก ๆ ที่มีเพื่อนในกลุ่มส่วนใหญ่ได้อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน
.
ผมไม่กล้าบอกกับเพื่อนว่าผมมีความรู้สึกแบบนี้ เพราะผมรับรู้ได้ว่าเพื่อนน่าจะเริ่มรำคาญแล้ว เพราะที่ผ่านมาบ่นเรื่องเครียด น้อยใจ ในทวิตเตอร์บ่อยมาก และเพื่อนถามก็ไม่กล้าตอบ
.
จริง ๆ รายละเอียดมีมากกว่านี้นะครับ แต่ก็สรุปคร่าว ๆ เพราะหลัก ๆ มี 2 เรื่อง คือ เรื่องสอบ กับเรื่องเพื่อน
ทำอย่างไรให้เลิกคิดมาก และสามารถยอมรับหรือพร้อมที่จะเดินหน้าไปต่อได้ และทำอย่างไรไม่ให้เรื่องที่คิดมากมีผลกับเราเกินไป
.
ผมเครียดมากกับเรื่องสอบ กลัวสอบไม่ติดในคณะที่หวังไว้ ช่วงเวลานี้คือยอมรับว่าคิดมาก กลัวทำข้อสอบไม่ได้ จนบางครั้งการคิดมากมีผลทำให้ผมไม่มีสมาธิในการอ่านหนังสือและทบทวนเนื้อหา
.
อีกอย่างคือเมื่อวานมีการปัจฉิมนิเทศที่โรงเรียน สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกหดหู่ใจ คือ ผมจะต้องจากกับเพื่อน ซึ่งแน่นอนว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการจากกันเพื่อไปตามความฝันของตัวเองในมหาวิทยาลัย
.
การมีงานปัจฉิมนิเทศ ทำให้ผมรู้สึกได้อย่างนึงว่า ผมคงจะไม่ได้มาอยู่กับเพื่อนกลุ่มนี้อีกต่อไป จนทำให้ผมรู้สึกแย่ และบางครั้งก็น้อยใจลึก ๆ ที่มีเพื่อนในกลุ่มส่วนใหญ่ได้อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน
.
ผมไม่กล้าบอกกับเพื่อนว่าผมมีความรู้สึกแบบนี้ เพราะผมรับรู้ได้ว่าเพื่อนน่าจะเริ่มรำคาญแล้ว เพราะที่ผ่านมาบ่นเรื่องเครียด น้อยใจ ในทวิตเตอร์บ่อยมาก และเพื่อนถามก็ไม่กล้าตอบ
.
จริง ๆ รายละเอียดมีมากกว่านี้นะครับ แต่ก็สรุปคร่าว ๆ เพราะหลัก ๆ มี 2 เรื่อง คือ เรื่องสอบ กับเรื่องเพื่อน