คือตอนแรกเราทำงานประจำอยู่ค่ะ
แต่ด้วยความเครียดและความกดดันหลายอย่าง บวกกับยิ่งทำก็ยิ่งไม่ใช่ เราเลยคุยกับผู้จัดการแล้วแจ้งออกล่วงหน้า
แล้วระหว่างนั้นเราเลยรีบหางานใหม่
ปรากฎว่าเราได้งานร้านหนังสือ ซึ่งเป็นงานที่เราค่อนข้างชอบมาก เพราะส่วนตัวจะชอบอยู่กับหนังสืออยู่แล้ว
ตอนที่เราไปส่งใบสมัคร เขาก็คุยรายละเอียดกับเรานิดหน่อยแล้วบอกจะติดต่อกลับ
หลังจากนั้นสัปดาห์นึง ก็มีโทรศัพท์บอกให้ไปเริ่มงานได้เลย
เราก็งง เพราะปกติแล้ว มันต้องนัดสัมภาษณ์ นัดเซ็นสัญญาก่อนไม่ใช่เหรอถึงจะได้เริ่มงาน
แต่ด้วยความที่ตอนนั้นดีใจมาก ที่ได้งานนี้ เราก็เลยไม่ได้อะไรมาก เพราะบริษัทก็มีชื่อ เขาอาจจะเรียกคุยรายละเอียดทีหลังก็ได้
พอวันไปทำงาน ไปถึงหัวหน้าก็เริ่มสอนงานเราเลย
ไม่ได้คุยรายละเอียด หรือสัญญาจ้างอะไร
พอเขาสอนงานเสร็จเราเลยลองถามเขาดู
เขาบอกที่นี่ไม่เคยมีการเซ็นสัญญานะ
เราก็ว่ามันแปลกๆละ
เลยลองถามเพื่อนพนักงานที่อยู่แผนกเดียวกัน
เขาบอกว่าตอนเข้ามา ก็ได้คุยได้เซ็นสัญญาก่อนเริ่มงานปกตินะ
เขาก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมผู้จัดการไม่ให้เราเซ็น เลยบอกว่าลองดูไปก่อน เขาอาจจะเรียกเซ็ญทีหลังก็ได้ เพราะตอนนี้ทุกคนยุ่งกันหมด
มันเป็นช่วงจัดอีเว้นท์พอดี
เราก็เออ ลองทำไปก่อน
สรุปทำมาได้ถึงวันที่ 7 เป็นวันสิ้นสุดอีเว้นท์
ผู้จัดการเดินมาบอกว่า ให้เราเป็น Part-Time นะ
ตามสัญญาคือทำงานสิ้นสุดวันนี้วันสุดท้าย
เขาบอกว่าพยายามทำสภาพเป็นพนักงานประจำให้เราแล้ว
แต่เหมือนว่าทางบริษัทแม่ไม่ยอมรับคนเพิ่มเลยต้องทำแบบนี้ ต้องขอโทษด้วย
สรุปคือเราก็ต้องออก ตอนนั้นเราเอ๋อมาก
ช่วงเวลาเหลืออีกหลายชั่วโมงกว่าจะเลิกงาน จากที่เคยมีความสุขกับการทำงานตรงนั้นกลับกลายเป็นไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรเลย
นับเวลารอเวลาเลิกงานตลอดเวลา ตอนนั้นเราเรียกได้เลยว่ากล้ำกลืนมาก จะร้องไห้ตลอดเวลา
ถ้าต้องออกแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าห้อง และตอนนั้นคือไม่มีใครสนใจเราเลย
จะมีก็แต่เพื่อนพนักงานแล้วก็พี่บางคนเท่านั้นที่เดินมาถาม แล้วก็กลับไปทำงานต่อ
เราทนทำไป พอถึงเวลาเลิกงานเรารีบกลับเลย
ไม่คิดว่างานที่อยากทำจะทำแบบนี้กับเราอ่ะ
ก็ว่าทำไมเขาไม่ให้เราเซ็นสัญญาตั้งแต่แรก
หรือไม่อย่างนั้นก็ช่วยรีบบอกกันก่อนก็ยังดี เราจะได้รีบหางานใหม่รอไว้
จนมาถึงตอนนี้เรายังไม่มีงานทำเลย
ได้เงินตอนสิ้นเดือน 7วันมาแค่2000 กว่าบาท รวมกับของที่เก่าที่เหลือปลายเดือนสุดท้าย
จ่ายค่าเช่าห้องพักกับค่ามือถือรายเดือนไปก็ไม่มีเหลือเลย
เราหาสมัครงานก็ยังไม่มีที่ไหนเรียก
เราเลยตัดสินใจขอยืมเพื่อนคนนึง มาก่อนส่วนหนึ่งเพื่อมาจ่ายค่าเช่าแผงขายของรายเดือนในตลาดกับลงทุนซื้อของมาขาย
เพื่อนเราก็ใจดีให้ยืม และยังอวยพรให้ขายดิบขายดี ตอนนั้นเราซาบซึ้งและดีใจมาก เลยกะว่าถ้าขายได้จะรีบคืนให้เลย
เราขายเป็นพวกนมสดสตรอว์เบอร์รี่ แต่พอเริ่มขายวันแรก ขายไปได้แค่ 3 แก้ว
อาจจะเป็นเพราะร้านเราดูไม่น่าเข้า เพราะของขายน้อยมาก แต่กำลังลงทุนเรามีแค่นี้จริงๆ กำไรยังไม่ได้คืน ทุนก็หมด ตังค์จะซื้อข้าวแทบจะไม่มีเลยค่ะ
มีแค่ข้าวสารที่พอจะหุงได้อีกแค่สองสามมื้อแค่นั้น
ตอนนั้นเราเดินยกของกลับห้องไปร้องไห้ไป
ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อดี ค่าห้องค่าอะไรต่างๆ ก็ต้องหามาจ่ายให้ได้สิ้นเดือน ตอนนี้ในหัวมีแต่เรื่องเครียด จนปัญญาจะคิดหาทางต่อจริงๆค่ะ
ใครพอจะมีวิธีแนะอยู่ให้รอดต่อไปได้บ้างไหมคะ
ขายของได้มาแค่ 60 บาท ก็ไม่กล้าเอาไปทำอะไร
จะลงทุนซื้อนมมาขายต่อก็กลัวจะขายไม่ได้อีก จะเอาไปซื้อข้าวกินก็คงจะได้แค่ 2-3 มื้อ แล้วก็คงไม่มีแล้ว
หรือเราควรจะไปซื้อนมฝืนขายต่อไปดีไหม ตอนนี้เครียดจนไม่รู้จะทำยังไงแล้วค่ะ เพื่อนๆพอมีทางแนะนำบ้างไหมคะ ท้อมากจริงๆ
จะกลับบ้านก็ไม่ได้ เพราะที่บ้านเราก็จะไม่ไหวเหมือนกัน
ได้ที่ทำงาน แต่ทำได้แค่ 7 วัน ผู้จัดการให้ออก
แต่ด้วยความเครียดและความกดดันหลายอย่าง บวกกับยิ่งทำก็ยิ่งไม่ใช่ เราเลยคุยกับผู้จัดการแล้วแจ้งออกล่วงหน้า
แล้วระหว่างนั้นเราเลยรีบหางานใหม่
ปรากฎว่าเราได้งานร้านหนังสือ ซึ่งเป็นงานที่เราค่อนข้างชอบมาก เพราะส่วนตัวจะชอบอยู่กับหนังสืออยู่แล้ว
ตอนที่เราไปส่งใบสมัคร เขาก็คุยรายละเอียดกับเรานิดหน่อยแล้วบอกจะติดต่อกลับ
หลังจากนั้นสัปดาห์นึง ก็มีโทรศัพท์บอกให้ไปเริ่มงานได้เลย
เราก็งง เพราะปกติแล้ว มันต้องนัดสัมภาษณ์ นัดเซ็นสัญญาก่อนไม่ใช่เหรอถึงจะได้เริ่มงาน
แต่ด้วยความที่ตอนนั้นดีใจมาก ที่ได้งานนี้ เราก็เลยไม่ได้อะไรมาก เพราะบริษัทก็มีชื่อ เขาอาจจะเรียกคุยรายละเอียดทีหลังก็ได้
พอวันไปทำงาน ไปถึงหัวหน้าก็เริ่มสอนงานเราเลย
ไม่ได้คุยรายละเอียด หรือสัญญาจ้างอะไร
พอเขาสอนงานเสร็จเราเลยลองถามเขาดู
เขาบอกที่นี่ไม่เคยมีการเซ็นสัญญานะ
เราก็ว่ามันแปลกๆละ
เลยลองถามเพื่อนพนักงานที่อยู่แผนกเดียวกัน
เขาบอกว่าตอนเข้ามา ก็ได้คุยได้เซ็นสัญญาก่อนเริ่มงานปกตินะ
เขาก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไมผู้จัดการไม่ให้เราเซ็น เลยบอกว่าลองดูไปก่อน เขาอาจจะเรียกเซ็ญทีหลังก็ได้ เพราะตอนนี้ทุกคนยุ่งกันหมด
มันเป็นช่วงจัดอีเว้นท์พอดี
เราก็เออ ลองทำไปก่อน
สรุปทำมาได้ถึงวันที่ 7 เป็นวันสิ้นสุดอีเว้นท์
ผู้จัดการเดินมาบอกว่า ให้เราเป็น Part-Time นะ
ตามสัญญาคือทำงานสิ้นสุดวันนี้วันสุดท้าย
เขาบอกว่าพยายามทำสภาพเป็นพนักงานประจำให้เราแล้ว
แต่เหมือนว่าทางบริษัทแม่ไม่ยอมรับคนเพิ่มเลยต้องทำแบบนี้ ต้องขอโทษด้วย
สรุปคือเราก็ต้องออก ตอนนั้นเราเอ๋อมาก
ช่วงเวลาเหลืออีกหลายชั่วโมงกว่าจะเลิกงาน จากที่เคยมีความสุขกับการทำงานตรงนั้นกลับกลายเป็นไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไรเลย
นับเวลารอเวลาเลิกงานตลอดเวลา ตอนนั้นเราเรียกได้เลยว่ากล้ำกลืนมาก จะร้องไห้ตลอดเวลา
ถ้าต้องออกแล้วจะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าห้อง และตอนนั้นคือไม่มีใครสนใจเราเลย
จะมีก็แต่เพื่อนพนักงานแล้วก็พี่บางคนเท่านั้นที่เดินมาถาม แล้วก็กลับไปทำงานต่อ
เราทนทำไป พอถึงเวลาเลิกงานเรารีบกลับเลย
ไม่คิดว่างานที่อยากทำจะทำแบบนี้กับเราอ่ะ
ก็ว่าทำไมเขาไม่ให้เราเซ็นสัญญาตั้งแต่แรก
หรือไม่อย่างนั้นก็ช่วยรีบบอกกันก่อนก็ยังดี เราจะได้รีบหางานใหม่รอไว้
จนมาถึงตอนนี้เรายังไม่มีงานทำเลย
ได้เงินตอนสิ้นเดือน 7วันมาแค่2000 กว่าบาท รวมกับของที่เก่าที่เหลือปลายเดือนสุดท้าย
จ่ายค่าเช่าห้องพักกับค่ามือถือรายเดือนไปก็ไม่มีเหลือเลย
เราหาสมัครงานก็ยังไม่มีที่ไหนเรียก
เราเลยตัดสินใจขอยืมเพื่อนคนนึง มาก่อนส่วนหนึ่งเพื่อมาจ่ายค่าเช่าแผงขายของรายเดือนในตลาดกับลงทุนซื้อของมาขาย
เพื่อนเราก็ใจดีให้ยืม และยังอวยพรให้ขายดิบขายดี ตอนนั้นเราซาบซึ้งและดีใจมาก เลยกะว่าถ้าขายได้จะรีบคืนให้เลย
เราขายเป็นพวกนมสดสตรอว์เบอร์รี่ แต่พอเริ่มขายวันแรก ขายไปได้แค่ 3 แก้ว
อาจจะเป็นเพราะร้านเราดูไม่น่าเข้า เพราะของขายน้อยมาก แต่กำลังลงทุนเรามีแค่นี้จริงๆ กำไรยังไม่ได้คืน ทุนก็หมด ตังค์จะซื้อข้าวแทบจะไม่มีเลยค่ะ
มีแค่ข้าวสารที่พอจะหุงได้อีกแค่สองสามมื้อแค่นั้น
ตอนนั้นเราเดินยกของกลับห้องไปร้องไห้ไป
ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงต่อดี ค่าห้องค่าอะไรต่างๆ ก็ต้องหามาจ่ายให้ได้สิ้นเดือน ตอนนี้ในหัวมีแต่เรื่องเครียด จนปัญญาจะคิดหาทางต่อจริงๆค่ะ
ใครพอจะมีวิธีแนะอยู่ให้รอดต่อไปได้บ้างไหมคะ
ขายของได้มาแค่ 60 บาท ก็ไม่กล้าเอาไปทำอะไร
จะลงทุนซื้อนมมาขายต่อก็กลัวจะขายไม่ได้อีก จะเอาไปซื้อข้าวกินก็คงจะได้แค่ 2-3 มื้อ แล้วก็คงไม่มีแล้ว
หรือเราควรจะไปซื้อนมฝืนขายต่อไปดีไหม ตอนนี้เครียดจนไม่รู้จะทำยังไงแล้วค่ะ เพื่อนๆพอมีทางแนะนำบ้างไหมคะ ท้อมากจริงๆ
จะกลับบ้านก็ไม่ได้ เพราะที่บ้านเราก็จะไม่ไหวเหมือนกัน