แม่ขา..พ่อมาหา

สวัสดีค่ะเราชื่อฟ้า(นามสมมุติ)นะคะ ตอนนี้เราเป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว 
มีลูกสาวชื่อน้องสกาย อายุ 7 ขวบ  เราสองคนอาศัยอยูคอนโดแถวชานเมืองค่ะ 
เราสองคนแม่ลูก อยู่ด้วยกันแบบนี้มาได้ปีกว่าๆ แล้วหลังจากที่แม่เราเสีย
และเราเราก็เพิ่งเลิกลากับสามีไป ด้วยเหตุผลคลาสสิคเลยค่ะ นั่นคือ มันมีกิ๊ก 
เป็นน้องที่ทำงานเค้าแอบคบกันมานานเท่าไหร่เราไม่ทราบค่ะ
 รู้แต่ว่าเค้าทำงานด้วยกันมาเกือบสองปีแล้ว
เรากับสามีคบหาดูใจกันมาตั้งแต่สมัยเรียน ไม่ว่าจะเรื่องเมา เรื่องตบตีเราซึ่งบ่อยมาก
เรื่องใช้เงินฟุ่มเฟื่อย เราก็ไม่เคยเลิกกัน แต่ถ้าเรื่องนอกใจนี่มันไม่ไหวจริงๆ 
เขาใช้ความรุนแรงกับเรามากขึ้น เวลาที่จะเอาเงินจากเรา หลังๆ เริ่มทำต่อหน้าลูกด้วย
เราไม่อยากให้ลูกต้องโตมาในสภาพแบบนี้ บวกกับเรื่องที่เค้ามีคนใหม่อย่างออกหน้าออกตา
 เราทนไม่ได้จริงๆเรามองหน้าลูกสาวที่รักสุดหัวใจรวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี
ในฐานะลูกผู้หญิงคนหนึ่ง. บอกเลิกกับสามีอย่างเด็ดขาด ไม่เอาแล้วความรักที่เหนื่อยเหลือเกิน
 ผลที่ได้เขาก็ยอมค่ะเพราะเขาเองก็ไม่ได้รักเราอยู่แล้วแต่!! มีข้อแม้ว่าเขาต้องได้รถที่เขาใช้อยู่ 
กับเงินประกันที่แม่เราทำไว้ก่อนตายที่ค่อนข้างเยอะมากต้องแบ่งให้เขาครึ่งนึง 
เรายอมให้รถค่ะ แต่เงินของแม่เราเราไม่ให้เด็ดขาด 
เพราะเราคิดว่าเราไม่ได้จดทะเบียนสมรสของของเราเค้าไม่มีสิทธิ์ 
เค้าโมโหมากที่ไม่ได้ตามต้องการ ต่อว่าเราต่างๆ นาๆ เพราะเราอาศัยอยู่บ้านเค้า
 ซึ่งเป็นบ้านที่เราผ่อนแต่เป็นชื่อเค้าตอนกู้ซื้อ วันนั้นเราโดนซ้อมแบบคอมโบ้เซ็ตเลยค่ะ
 หน้าเราแทบไม่มีส่วนไหนเลยที่ไม่บวม ทั้งช้ำ ทั้งปูดจนตาแทบปิด มันหนักมากกว่าทุกครั้งที่เคยโดนมา
พอเขาซ้อมเราเสร็จเค้าก็ออกไปกินเหล้ากับเพื่อนเขาต่อ และเราเดาว่าคืนนี้ก็คงจะไม่กลับ 
เราหอบร่างกายสะบักสะบอมไปปลุกลูกที่กำลังหลับ พร้อมกับเก็บเสื้อผ้าและข้าวของที่จำเป็น
กับเอกสารส่วนตัว ด้วยกระเป๋าแค่สองใบ เราจะหนีค่ะ. เราเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว. 
เราเซ็งร้านเสื้อผ้าที่เราเปิดมานานตั้งแต่เราเริ่มท้องและลาออกจากงาน
ร้านนี้เรียกว่าทำให้เราลืมตาอ้าปากได้เลยก็ว่าได้แต่ก็ต้องยอมตัดใจเซ้ง
จนได้เงินมาก่อนหนึ่งบวกกับเงินประกันของแม่ที่เราจะสามารถ
ซื้อเวลาในการตั้งตัวใหม่ได้ไม่ลำบากเราคิดไว้อย่างนั้น 
เราทำเรื่องลาออกจากโรงเรียนให้ลูกเรียบร้อยแล้วโดยที่สามีเราไม่เคยทราบเรื่องนี้มาก่อน 
เราเดินออกมาจากบ้านหลังนั้นด้วยใจตุ้มๆต่อมๆ 
กลัวว่าถ้าสามีเราเขากลับมาเจอตอนเราหนีจะเป็นอย่างไร 
มองไปตามข้างทางที่มีแสงไฟส่องสว่างในยามค่ำคืน เห็นไฟรถยนต์คันไหนสาดไฟมา
ก็ต้องรีบหลบเข้าข้างทางตรงถังขยะใบใหญ่บ้าง เสาไฟฟ้าบ้าง
 ร่างกายที่เจ็บปวดไปด้วยรอยช้ำที่เกิดจากหมัดบ้างเท้าบ้าง 
เวลาขยับตัวทีเล่นเอาตัวสั่นเทาไปทั้งตัวเลยค่ะ. ตอนนั้นเรากลัวมากๆ 
ถ้าไม่เห็นสัญลักษณ์ป้ายแท็กซี่ เราไม่ไว้ใจเด็ดขาดกลัวเป็นรถสามีเราค่ะ. 
เราเดินมาได้สักพักก็ถึงถนนใหญ่ รอไม่ถึงสิบนาทีก็มีแท็กซี่ผ่านมา 
เราโบกรถด้วยความดีใจ พอพาลูกขึ้นแท็กซี่ได้เราก็รีบบอกที่หมายให้พี่แท็กซี่ขับไปโดยเร็วเลยค่ะ 
รถเคลื่อนผ่านไป  เราไม่หันหลังกลับไปมองซอยที่เราเพิ่งเดินออกมาเลยค่ะ. 
ได้แต่คิดในใจว่าต่อไปนี้เรากับลูกจะต้องมีชีวิตใหม่ที่มีความสุขให้ได้
จบสิ้นกันทีชีวิตคู่ที่เคยอยากมีมาตลอดของสาวช่างฝัน
 ชีวิตจริงไม่เหมือนในนิยาย และเจ้าชายในฝันก็เช่นกัน
 
เราได้เอาเงินมาซื้อคอนโดห้องเล็กๆ ด้วยเงินสด เพราะเราไม่มั่นใจในรายได้ต่อเดือน
ในอนาคตข้างหน้า และไม่อยากเสียดอกเบี้ย. ที่ตั้งคอนโดอยูใกล้กับโรงเรียนใหม่ของลูก 
เราสามารถไปรับไปส่งลูกเราได้โดยใช้การเดิน เพราะเราไม่มีรถใช้ 
ถ้าจะซื้อก็ดูจะยังไม่ค่อยจำเป็นเท่าไหร่ และเรื่องงานนั้นเราเปลี่ยนจาก
ขายเสื้อผ้าหน้าร้านเป็นขายออนไลน์ และไลฟ์สดขายของทุกวัน
เราไม่ได้ข่าวสามีเก่าเราเลยเพราะเราบล็อคการติดต่อทุกอย่าง.
 เรากลัวว่าเค้าจะยังโกรธเราอยู่  เรากลัวว่าเค้าจะมาทำร้ายเราอีก
 เราอยากมีชีวิตใหม่โดยไม่มีเค้า 
จนเดือนหนึงมีเบอร์โทรแปลกๆ โทรมาหาเรา ไม่ต้องเดาก็พอรู้ว่าใคร.
 "สามีเก่าเราเองค่ะ" เขาถามเราว่า "เราสบายดีใหม เป็นอย่างไรบ้างเขาคิดเรา คิดถึงลูก" 
เราไม่ตอบและรีบตัดสายทิ้ง และก็บล็อคเบอร์เลย. เราหวั่นใจเหมือนกัน
 กลัวตัวเองจะใจอ่อนถ้ากลับไปคืนดี สักวันก็ต้องเหมือนเดิมอีก  
เช้าวันต่อมาหลังจากไปส่งลูกไปโรงเรียนเราก็เอาของที่ขายส่งไปรษณีย์แถวๆ โรงเรียนลูก 
ระหว่างที่นั่งรอไปรษณีย์เปิด เพราะมาส่งลูกเช้ามาก เราเห็นพระท่านกำลังเดินมาบิณฑบาตร 
เราก็กะว่าจะใส่บาตรเป็นปัจจัยสักร้อยหนึง เพื่อเป็นการทำบุญสักหน่อย.
เรายืนรออยู่ริมทางเท้าหน้าไปรษณีย์กะว่าถ้าท่านเดินใกล้ๆมาถึงจะได้นิมนต์  
เราสบตากับท่านพอดีสักท่านทำหน้าเหมือนตกใจเล็กน้อยทำตาเลิกลั่ก 
แล้วท่านก็หยุดเดินสักครู่ก่อนจะเปลี่ยนเลนไปฝั่งตรงข้าม 
แล้วเดินผ่านเราไปอย่างไวทั้งสองรูป เราก็ได้แต่ยืนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 
ถนนก็ไม่ได้กว้างถึงขนาดที่พระท่านจะมองไม่เห็นเรา 
แต่เราเองก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากมายแล้วก็หันกลับมายืนรอไปรษณีย์เปิดตามเดิม
พอเข้าไปทำธุระที่ไปรษณีย์ พี่พนักงานทีสนิทกันเพราะคุยเล่นกันบ่อยเวลามาส่งของ
พี่เค้าก็เดินสวนเข้ามา แล้วหยุดคุยตามปกติ อยู่ๆ แกก็พูดขึ้นมา 
"น้องฟ้า พี่ว่าวันนี้น้องฟ้าไปทำอะไรมารึป่าวจ๊ะ"
เราก็งงเลยถามออกไปว่า
"ป่าวนี่คะพี่หนูมีอะไรผิดปกติหรอ" 
"คืออย่าหาว่าพี่อย่างนั้นอย่างนี้เลยนะ เราก็สนิทกันอะนะ
 พี่ว่าวันนี้น้องฟ้ากลิ่นตัวแรงมากเลย เลยอยากเตือนจะ"
เราก็ตกใจนะแล้วก็หันมาดมตามตัว แต่ให้ตายเถอะ เราพยายามสำรวจตัวเองเต็มที่แล้ว 
แต่เราไม่ได้กลิ่นอะไรเลย จึงหันไปบอกพี่แกว่า สงสัยกลิ่นเหงื่อน่ะพี่
เดี๋ยวหนูกลับบ้านไปอาบน้ำอีกรอบดีกว่าค่อยไปเอาผ้าที่ประตูน้ำ" 
แล้วเราก็รีบกลับ พลางก็คิดในใจเหม็นอะไรว่ะ ไม่เห็นจะได้กลิ่นเลย 
 
ตกตอนเย็นเราก็ไปรับน้องสกายกลับบ้าน
 น้องสกายวิ่งมาหาเราหลังจากครูเปิดประตู ขณะที่วิ่งมาจู่น้องก็เบรคตัวเองจนเกือบล้ม
ก่อนจะถลามากอดเรา แล้วก็บอกเราว่า
"แม่...พ่อมา".
 ก่อนจะชี้ไปทางข้างหลังเรา เราหันมองตามแต่ก็ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น
นอกจากกำแพงว่างเปล่ากับผูปกครองเด็กคนอื่นอีกสามสี่คน ที่เป็นผู้หญิงทั้งหมด 
เราเลยหันมาบอกลูกว่าสงสัยหนูจะตาฝาดน่ะ น้องเลยบอกเราอีกว่า
 "แม่...หนูคิดถึงพ่อ" 
เราจุกนี่ไปทั้งอกเลยค่ะ มันแน่นอยู่ในใจ นี่เราทำอะไรลงไป
 เรามองแต่มุมของเราที่ไม่อยากจะให้ลูกเห็นภาพพ่อแม่ ทะเลาะกัน
จนลืมความรู้ลึกของลูกไปเลย. อย่างไรเสียสามีของเราเค้าก็เป็นคุณพ่อที่น่ารักกับลูกสาวเสมอ 
ไม่เคยดุ ไม่เคยว่า เค้าก็ย่อมรักและผูกพันธ์กันด้วยสายใยพ่อลูกเป็นธรรมดา 
เราได้แต่กอดปลอบใจน้องสกาย แล้วบอกว่าเดี๋ยวถ้าวันไหนคุณพ่อว่าง
เดี๋ยวเรานัดคุณพ่อมากินข้าวกันเนาะ น้องสกาย ดีใจใหญ่ 
จูงมือเราเดินกลับบ้านอย่างอารมณ์ดี ผิดจากเราโดยสิ้นเชิง ที่ความคิดผสมปนเปกันไปหมด 
ใจหนึ่งก็คิดว่าเค้าน่าจะดีขึ้นแล้วคงคิดถึงเราจริงๆ เลยหาทางติดต่อเรามาเมื่อคืน 
แต่อีกใจมันก็กลัวเราอยู่อย่างนี้มาได้เป็นเดือนแล้ว จะกลับไปให้เค้าเหยียบย่ำน้ำใจอีกหรือ 
เราคิดเรื่องนี้อยู่ตลอดแม้ว่าจะตอนทำงานยุ่งๆ หรือตอนนั่งพักเฉยๆ 
จนคืนนั้นเราก็นอนหลับไปหลังจากไลฟ์สดขายของได้ไม่นาน 
 คืนนั้นเราฝันเห็นสามีค่ะ ในฝันเหมือนเรากำลังตากผ้าอยู่ที่ระเบียงคอนโด 
แล้วเค้ายืนอยู่ข้างล่างแล้วมองขึ้นมา แต่เหมือนไม่ไกลกันมาก เค้ามองเราด้วยสายตาเศร้า
 แล้วเขาก็ตะโกนถาม
 "ฟ้ากลับบ้านเถอะ พี่คิดถึงฟ้า พี่คิดถึงลูก กลับบ้านเราเถอะนะ แล้วเค้าก็ร้องไห้โฮเลยค่ะ " 
เราเองก็เหมือนตะโกนกลับไปว่า 
"ฟ้าไม่กลับ ไม่ต้องตามมาแล้วจบกันตรงนี้ดีกว่า
 ถ้าวันหนึ่งต่างคนต่างทำใจได้อย่างน้อยเราก็ยังไปมาหาสู่กันได้ในฐานะ
 พ่อและแม่ ของลูกนะพี่"
 ในความฝันในสามีของเราก็ก้มหน้าร้องไห้แล้วก็เงยหน้าขึ้นมาด้วยสายตาที่ดุดัน 
"กุบอกให้กลับ. กุสั่งให้กลับเดี๋ยวนี้" 
เราสะดุ้งตัวขึ้นจากความฝันทันที เหงื่อท่วมตัวไปหมด
 ใจเต้นระทึกทั้งกลัวทั้งตกใจ คิดว่านี่ตัวเองคิดมากเรื่องสามีจนเอาไปฝันหรือนี่ 
แต่แหมขนาดอยู่ในฝันของเราก็ยังไม่ทิ้งสันดานเดิมจริงๆ 
เรามองนาฬิกาเป็นเวลาตีสาม เลยล้มตัวลงนอนอีกรอบเพราะฟ้ายังไม่สางเลย 
แถมพรุ่งนี้เป็นวันหยุดน้องสกาย เลยไม่ต้องตื่นเช้ามาก 
 
พอตอนเช้าเราก็มาเตรียมอาหารเช้ากะว่าอาบน้ำแต่งตัว กินอะไรเรียบร้อย 
เราจะพาน้องสกายไปเดินเที่ยวห้างและไปทำบุญที่วัดเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศล
ให้กับแม่เราที่เพิ่งเสียไปก่อนหน้านี้สักหน่อย. น้องสกายงัวเงียตื่นพร้อมกับรีบเดินมาถามเราว่า
 "พ่อหละแม่" 
เราเลยถามว่า
"พ่ออะไรแม่..งง" 
น้องบอกว่า
 "พ่อมาหาบอกว่ามารับกลับบ้าน" 
เราก็แอ๊ะ!!!ชักจะยังไงแล้วนะถามน้องกลับว่า
"น้องสกายฝันหรือเปล่าลูก "
น้องก็บอกว่าพ่อมาจริงๆ แล้วก็งอแงจะหาพ่อถ้าเดียว
 เราก็แอบวิตกกังวลเล็กๆขึ้นมาเหมือนกันคิดไปว่าหรือสามีเราจะเป็นอะไรรึป่าว 
เลยตัดสินใจว่างั้นเปลี่ยนโปรมแกรมวันนี้กลับไปดูที่บ้านเก่าดีกว่า 
เลยชวนเพื่อนเราที่เป็นสาวสองไปเป็นเพื่อนด้วยเผื่อมีอะไรเกิดขึ้นก็ยังพอช่วยเหลือกันได้
พอสายๆ ทำอะไรเนียบร้อยก็เลยพวกเราก็นั่งแท็กซี่ไปบ้านเก่า
 รถเลี้ยวเข้าซอยมายังไม่ทันจะถึงจุดหมายก็เห็นคนมามุงอยู่เต็มหน้าบ้าน
 แล้วก็มีรถมูลนิธิแล่นมาพร้อมเสียงวี่ห่วอ วี่หว่อ มาแต่ไกล
 เราใจเต้นแรงขึ้นมาทันที มือไม้นี่สั่นแบบไม่ทันตั้งตัว 
รีบบอกให้เพื่อนอยู่กับลูกเราก่อนยังไม่ต้องเดินเข้าไป 
ในขณะที่เรากำลังเดินผ่าไทยมุงทั้งหลาย  เดินไปที่ประตูที่เจ้าหน้าที่กำลังงัดประตูบ้านอยู่ 
ได้ยินเสียงผู้คนอื้ออึงกำลังวิจารณ์ สถานะการณ์ที่เกิดขึ้น
เพราะมีกลิ่นเหม็นเน่าลอยโชยออกมาจนน่าคลื่นใส้ 
กลิ่นแรงมากจนต้องเอามือปิดจมูกไว้เลย. ใจเราก็พอจะเริ่มเดาได้แล้วหละว่าข้างในจะมีอะไร 
เราบอกเจ้าหน้าทีว่าไม่ต้องงัดหรอกค่ะ เรามีกุญแจ จากนั้นก็ไขกุญแจด้วยมือที่สั่นระริกจนแทบจะไม่เข้ารู 
 พอเปิดประตูได้ เราก็กริ๊ดลั่นเลยค่ะ เข่าอ่อนลงไปพับกับพื้นเลย 
ภาพที่เห็นตรงหน้าคือ ศพของสามีของเราที่เน่าอืด บวมเป่ง และน้ำหนองไหลออกมาเป็นทาง
 หน้าตาบวมปูดจนผิดรูปเหมือนโดนกระหน่ำตีด้วยของแข็ง 
สภาพเหมือนตะเกียกตะกายจะมาโทรศัพท์เพราะมือยังเหยียดเหมือนจะหยิบมือถือที่อยู่ห่างออกไป 
แต่คงจะสิ้นใจก่อน  เรารีบตะโกนบอกเพื่อนว่าอย่าให้น้องสกายเข้ามานะ 
จากนั้นก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจมาควบคุมสถานที่เกิดเหตุ 
และสอบถามผู้ที่เกี่ยวข้อง  และผู้พบเห็นสถานการณ์ก่อนหน้านี้ 
รวมทั้งเราและคนละแวกบ้าน เราอยู่ตรงนั้นก็เลยได้ยินคร่าวๆ 
จากที่ฟังเหมือนก่อนหน้านี้หลังจากที่เราหนีไป 
สามีเราก็ไปถามคนแถวนั้นเหมือนกันว่าเห็นเราออกไปตอนไหนมั๊ย 
แต่ก็ไม่มีใครอยากยุ่งเพราะเป็นเรื่องของผัวเมีย 
และบางคนก็สงสารเราด้วยที่เห็นเราโดนซ้อมบ่อยๆ 
สามีเราก็เลยตะโกนลั่นซอยเลยว่าอย่าให้รู้นะว่าใครช่วยเราหนี 
และยังบอกคนในซอยว่าเราหอบเงินเค้าหนีไป ณ ตรงนี้เราก็นึกขำอยู่ในใจเหมือนกัน เพราะนั่นมันเงินแม่รา
 แต่ก็ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้ใครต่อใครฟังหนิเราคิดอย่างนั้น. 
 ต่อค่ะจากนั้นอีกวันสามีเราก็พาผู้หญิงคนใหม่เข้าอยู่ในบ้านแทนที่เรา
 ก็คงจะเป็นกิ๊กที่ทำงานที่เค้าดูแลกันอยู่นั่นแหละค่ะ 
ชาวบ้านแถวนั้นเล่าว่าอยู่ได้อาทิตย์กว่าๆ ก็ได้ยินเสียงทะเลาะกันดังลั่นไปทั้งซอย 
เหมือนผู้หญิงจะด่าผู้ชายเรื่องเอารถไปขาย ผู้ชายก็เลยลงไม้ลงมือกับผู้หญิงคนใหม่
แทบจะวันเว้นวันเลย คือสามีเราเวลาเมาเค้าจะชอบหาเรื่องตบตีค่ะ กับเราก็ทำประจำ 
ชาวบ้านเค้าก็ไม่ได้สนใจอะไร จนอาทิตย์ก่อนก็ไม่ได้ยินเสียงอีกเลย 
และไม่เห็นเปิดไฟในบ้านเค้าก็เลยคิดว่าคงไม่อยู่บ้าน
แต่พอหลายวันเข้าก็เริ่มได้กลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่