ความลับของธรรมชาติที่ซ่อนอยู่

กระทู้คำถาม
 “Bolton Strid” ลำธารเล็กๆ ในอังกฤษที่คร่าชีวิตผู้คนมาตั้งแต่ยุคกลาง


“Bolton Strid” หรือ “Strid” คือลำธารเล็กๆ ที่มีความกว้างไม่ถึง 2 เมตร ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่วิหารบอลตันแอบบี้ ในยอร์คเชียร์ ประเทศอังกฤษ ซึ่งหากมองเผินๆ แล้วจะเหมือนกับลำธารสวยๆ ธรรมดาซึ่งเหมาะแก่การเที่ยวคลายร้อนเป็นอย่างยิ่ง

แต่ลำธารที่ดูงดงามแสนบริสุทธิ์แห่งนี้ จริงๆ แล้วเป็นหนึ่งในสถานที่ที่อันตรายที่สุดในยอร์คเชียร์    แม้ว่า Bolton Strid จะมีความกว้างไม่ถึง 2 เมตร แต่ลำธารแห่งนี้ก็มีความลึกและเชี่ยวมากกว่าที่คิด จนถึงขั้นที่คนในพื้นที่บอกว่าคนที่ตกลงไปในลำธารสายนี้ ไม่มีใครเลยที่รอดชีวิตกลับมาได้
 
ความลับของลำธารสุดโหดสายนี้ มาจากการที่มันไหลมาจากต้นน้ำที่กว้างกว่า 9 เมตร ก่อนที่จะถูกบีบลงจนแคบจากลักษณะทางภูมิศาสตร์ในพื้นที่บอลตันแอบบี้ ซึ่งทำให้สายน้ำเชี่ยวและลึกขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ แถมที่ใต้น้ำนั้นยังมีสภาพเป็นถ้ำและอุโมงค์น้ำที่กว้างใหญ่
ลักษณะเช่นนี้เองทำให้ไม่มีใครสามารถบอกได้เลยว่าลำธารแห่งนี้นั้นจริงๆ แล้วลึกแค่ไหน และการจะช่วยเหยื่อที่ตกลงไปในน้ำแล้ว ก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย
ไม่มีใครทราบถึงตัวเลขจริงๆ ของคนที่ต้องมาเสียชีวิตไปในลำธารแห่งนี้ อย่างไรก็ตามนักโบราณคดีมีบันทึกว่า Bolton Strid นั้นคร่าชีวิตผู้คนมาตั้งแต่ในช่วงยุคกลาง จากบทกลอนชื่อ The Force of Prayer ซึ่งเขียนให้กับเด็กหนุ่มที่เสียชีวิตในที่แห่งนี้ตั้งแต่ในปี 1154
 
ส่วนคำว่า “Strid” ในชื่อลำธารนั้น เชื่อกันว่ามาจากคำว่า “Stride” ที่แปลว่าก้าวย่าง เนื่องจากตัวลำธารนั้นแคบมากจนคนส่วนใหญ่เชื่อว่าตัวเองเดินข้ามน้ำไปได้ จนจบชีวิตลงไปอย่างไม่คาดฝัน 
ที่มา amusingplanet, nytimes และ atlasobscura
Cr.https://www.catdumb.tv/bolton-strid-378/  By เหมียวศรัทธา

 แหวนไม้ ‘Secret Wood’ ที่ซ่อนความลับของธรรมชาติเอาไว้ข้างใน
 

ผลงานสิ่งประดิษฐ์ที่จับเอาแหวนกับความงดงามทางธรรมชาติทั้งหลาย มาผสมผสานย่อส่วนลงมาใส่ลงไปข้างในได้อย่างงดงาม

ผลงานนี้เป็นของบริษัท Secret Wood ที่แคนาดา โดยผู้สร้างเค้าบอกว่าแหวนเหล่านี้ไม่ธรรมดา เพราะมันเก็บซ่อนความลับของธรรมชาติเอาไว้
ซึ่งทำมาจากไม้ ยางสำหรับทำเครื่องประดับ และแว็กซ์ขี้ผึ้ง โดยทุกชิ้นเป็นงานฝีมือ แน่นอนว่าไม่มีแหวนวงไหนซ้ำกันสองวงแน่นอน งดงามจริงๆ เหมือนมีแง่งหินอยู่ข้างในเลย ราคาก็ไม่แพงเลย อยู่ที่ประมาณ 3,500 – 4,000 บาท ต่อวง
 
(ข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ https://www.mysecretwoods.com/products)
ที่มา : secret wood, boredpanda
Cr.https://www.catdumb.com/secret-wood-119/ By เหมียวหง่าว

ภูเขาจิ้งในเมืองฉูกวงของจีน สูงแค่ 60 เซ็นติเมตร


‘ยอดเขา Jingshan’ จากโซวกวง ประเทศจีน ยอดเขาเพียงแห่งเดียวในแถบโซวกวง ที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์ประจำภูมิภาคและกลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งหากย้อนกลับไปดูประวัติที่มีมากกว่า 100 ปี พร้อมกับตำแหน่งที่แม่นยำ ขนาดของภูเขาลูกนี้ นี่คือปลายยอดภูเขาที่ถูกทับถมอยู่ลึกใต้พื้นดิน

แม้ใครๆ ต่างก็อยากจะรู้ถึงความลึกที่แท้จริงของภูเขาลูกนี้ แต่ทางการได้ทำการปกป้องรักษาเอาไว้ตามกฎหมาย หากใครจะทำการขุดถือว่ามีความผิด   
ในอดีตที่ผ่านมาก็เคยมีคนลองขุดมาแล้ว  เพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่า Jingshan ไม่ใช่ภูเขาแต่เป็นเพียงแค่หินก้อนเดียวเท่านั้น และในปี 1958 ก็มีคนพยายามมาสานต่ออีกครั้งแต่ก็ล้มเหลวเพราะขุดไปไม่ถึงฐานภูเขาเสียที และหินก้อนนี้ก็ยังคงฐานะเป็นภูเขาดั่งเช่นในอดีตที่ผ่านมา

ทางด้านเว็บไซต์ China.org ได้ทำการรายงานไว้ว่า ภูเขา Jingshan นั้นมีระดับความสูงอยู่ที่ 48 เมตร แต่ส่วนใหญ่ของภูเขานั้นอยู่ในผิวดิน ส่วนที่พ้นพื้นดินเป็นปลายยอดภูเขามีความสูงเพียง 0.6 เมตร ยาว 1.24 เมตร และกว้าง 0.7 เมตร   ตามปกติแล้วที่สหราชอาณาจักร ก้อนหินที่จะได้รับการจัดให้เป็นภูเขานั้น ต้องมีความสูงกว่า 2 พันฟุต ส่วนที่สหรัฐ ยอดสูงสุดของภูเขาจะต้องสูงกว่า 1 พันฟุต

ที่มา : china.org, tribunnews, akurat, odditycentral
Cr.http://www.nextsteptv.com/พิชิตยอดเขาได้ด้วยก้าว/
Cr.https://www.catdumb.com/conquer-by-single-step-290/ By เหมียวเลเซอร์ 

Ica หุบเขาแห่งความลับ


แคว้นอิกา ตั้งอยู่กลางชายฝั่งของเปรู มีทะเลทรายและเนินทรายมากมาย รวมทั้งเส้นนัซกาลายเส้นโบราณลึกลับ จากวัฒนธรรมปารากัสและนัซกา ซึ่งเป็นวัฒนธรรมโบราณ อิกาถือว่าเป็นพื้นที่แห่งหุบเขา พระอาทิตย์ ชายหาด และเขตอนุรักษ์ธรรมชาติ มีพืชและสัตว์หลากหลายสปีชีส์ แล้วก็ยังมีเหล้าปิสโก ดนตรี Afro-Peruvian และโอเอซิสกลางทะเลทรายด้วย

ประวัติศาสตร์ของ Ica มันเต็มไปด้วยเหตุการณ์ความหายนะ แต่ยังเป็นตัวอย่างของการอยู่รอดและความเพียร Ica ตั้งอยู่ในหุบเขาแคบ ๆ ที่เกิดจากแม่น้ำ Ica ในเปรู.   เมืองนี้เป็นศูนย์กลางของการก่อตัวของภูเขาที่เรียกว่า El Gran Tablazo และเนินเขาทางตะวันตกของ Andean Cordillera.

ในปี ค.ศ. 1586 เกิดแผ่นดินไหวสั่นสะเทือนอย่าง Villa de Valverde ซึ่งเป็นชื่อของ Ica ในเวลานั้น.  ประชากรทั้งหมดถูกย้ายไปที่ปวยโบลวีโจหลังจากสูญเสียบ้าน เพื่อความอยู่รอดพวกเขาเริ่มปลูกพืชอ้อยในทะเลทรายลอโมลิโนส. วิวัฒนาการของการเก็บเกี่ยวและการเพิ่มความหลากหลายทำให้ประชากรเพิ่มขึ้นและสามารถสร้างเมืองขึ้นใหม่ได้.
อ้างอิง
Wikipedia (2007) Ica 2017 จากองค์กร Wikipedia เว็บไซต์: wikipedia.org
ประวัติของ Ica 2552, เทศบาลประจำจังหวัด Ica 2017 เว็บไซต์: muniica.jimdo.com
Cr.https://www.blesstraveler.com/post/__ica
Cr.https://th.thpanorama.com/articles/historia/historia-de-ica-caractersticas-ms-relevantes.html / เรื่องโดย Thpanorama

ความลับของหินยักษ์สุดอัศจรรย์


ตอนกลางของ Bosnia and Herzegovina ที่หมู่บ้าน Podubravlje พบก้อนหินทรงกลมขนาดยักษ์ถูกฝังอยู่ในป่า Semir Osmanagic นักโบราณคดีเชื่อว่านี่เป็นผลงานการสร้างของยุโรปโบราณ แต่นักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์ของอารยธรรมมนุษย์ส่วนใด

 Semir Osmanagic มีฉายาอินเดียน่าโจนส์แห่ง Bosnian ได้ค้นพบหินยักษ์ทรงกลมนี้มีเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 1.5 เมตร  เขาคิดว่าได้พบกับหินทรงกลมที่มนุษย์สร้างขึ้นและมีอายุเก่าแก่ที่สุดในโลก   เขาเคยทำการวิจัยพีรามิดที่หุบเขา Visocica มาก่อนและเขาคิดว่าพื้นที่นี้อาจจะมีพีรามิดที่เรายังไม่ได้ค้นพบหลงหลืออยู่ และการค้นพบหินยักษ์ก้อนนี้อาจจะบ่งบอกได้ถึงอารยธรรมเมื่อ1500ปีก่อนก็เป็นได้

ตามรายงานของ 「Daily Mail」 หินทรงกลมแบบนี้ไม่ได้พบแค่ที่นี่ที่เดียว ตามบันทึกอารยธรรมแล้วมันถูกค้นพบใน Costa Rica และ New Zealand เช่นเดียวกัน คนในท้องถิ่งบอกว่าใน Bosnia สมัยโบราณมีลูกบอลยักษ์เหล่านี้เป็นร้อยๆ ลูก แต่ต่อมาถูกพวกขุดทองทำลายหมด ตามที่ชาวบ้านแจ้งปัจจุบันนี้เหลือลูกบอลที่ยังมีรูปทรงสมบูรณ์เพียง 8 ลูกเท่านั้น คนจำนวนไม่น้อยยังเชื่อว่าเพียงแค่ได้จับต้องหินยักษ์นี้ก็จะสามารถได้รับพลังมากมาย    
Osmanagic เข้าไปสำรวจแล้วก็เปิดเผยออกมาว่า ก้อนหินที่นี่ใหญ่กว่าที่ Costa Rica ถึงสองเท่าและอุดมไปด้วยแร่เหล็กมากมาย

แต่ ดร. Mandy Edwards อาจารย์ภาควิชาธรณีวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ไม่เชื่อเช่นนั้น เขาคิดว่าหินก้อนกลมยักษ์นี้เป็นสิ่งที่เกิดจากการควบแน่นรวมตัวกันตามธรรมชาติของแร่ธาตุ บวกกับตะกอนและฝนจนกลายเป็นทรงกลม ไม่ใช่สิ่งก่อสร้างในสมัยโบราณ ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ยังคงถกกันเรื่องก้อนหินทรงกลมนี้อย่างไม่สิ้นสุด
แปลและเรียบเรียงโดย LIEKR
Cr.http://www.liekr.com/post_151719.html

Mono Lake ดินแดนแห่งความลับที่ไม่เคยเปิดเผย


Mono Lake คือชื่อเรียกของทะเลสาบน้ำเค็ม ตั้งอยู่ในรัฐ California ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นทะเลสาบที่มีความพิเศษ คือ มีความเข้มข้นของเกลือสูง ความเข้มข้นของเกลือนี้ค่อยๆ ก่อร่างสร้างตัวมาอย่างยาวนานอย่างน้อย 760,000 ปี ด้วยระยะเวลาอันยาวนานขนาดนี้ มันจึงสะสมความเค็มมาก จนกลายเป็นแหล่งเจริญพันธ์ของกุ้งน้ำเค็ม และมันจึงส่งผลให้มีนอพยพเข้ามาหากินเป็นจำนวนมาก

 นอกจากนี้ทางธรณีวิทยาพบว่า เมื่อตรวจสอบย้อนหลังไปในยุคโบราณ เกิดการระเบิดของภูเขาไฟ และเกิดตะกอนเถ้าจำนวนมหาศาล หล่นลงมาทับถมลงไปใต้ทะเลสาบ จึงทำให้ความตื้นเขินขึ้น โดยแต่เติมนั้นอาจมีความลึกถึง 270 เมตร 

เมื่อย้อนกลับไปที่การระเบิดของ Long Valley ตะกอนซึ่งอยู่ใต้ชั้นขี้เถ้า บอกเป็นนัยว่า Mono Lake อาจเป็นซากของทะเลสาบอันมีขนาดใหญ่กว่าและเก่ากว่า ครั้งหนึ่งเคยปกคลุมส่วนใหญ่ของ Nevada และ Utah เป็นทะเลสาบเก่าแก่สุดในอเมริกาเหนือ โดยแนวชายฝั่งเก่าเรียกว่า Strandlines ซึ่งนักธรณีวิทยาสามารถเห็นได้ทางตะวันตกของทะเลสาบ

Mono Lake หรือ An Alien Landscape เป็นทะเลสาบที่มีการปนเปื้อนของสารหนูในปริมาณมหาศาล ภายในทะเลสาบมีส่วนเป็นผืนน้ำ สลับกับโขดหินแหลมอันมีรูปร่างแปลกตา ทำให้นักเดินทางหลายคนที่เดินมาพบเห็นต่างตะลึง

ทะเลสาบนี้ที่ไม่มีทางออกสู่มหาสมุทร จึงทำให้น้ำในทะเลสาบสะสมความเค็มอยู่มาก ด้วยปริมาณเกลือในทะเลสาบแห่งนี้ จึงก่อให้เกิดสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการเจริญเติบโตของเหล่ากุ้งจำนวนมากมาย เพราะฉะนั้นในทุกฤดู จึงมีฝูงนกนับพันตัวเดินทางมาหากุ้งเพื่อกินเป็นอาหาร

สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของ Mono Lake คือ เสาหินปูนอันตั้งตระหง่านอยู่เหนือผิวน้ำ หอคอยหินปูนเหล่านี้ประกอบด้วยแร่แคลเซียมคาร์บอเนต เช่น แคลเซียมคาร์บอเนต เป็นหลัก หินปูนชนิดนี้เรียกว่า Tufa โดยเป็นคำที่ใช้สำหรับหินปูนซึ่งก่อตัวในอุณหภูมิต่ำถึงปานกลาง
Posted  by admin
Cr.https://www.nanotechnologyinstitute.org/mono-lake-ดินแดนแห่งความลับ/

ความลับเมล็ดแดนดิไลออนบินไกล


เมล็ดแดนดิไลออนสามารถบินไปได้ไกลมาก บางครั้งไปได้ระยะทางถึง 1 กิโลเมตร หรือมากกว่า แต่นักวิทยาศาสตร์ยังสงสัยถึงเหตุผลเบื้องหลังว่าทำไมมันถึงบินไปได้ไกลแบบนั้นทั้งที่ไม่ได้มีแรงผลักจากเครื่องยนต์ไอพ่นหรือใบพัดเหมือนในเครื่องบิน 

ในการศึกษาล่าสุดที่ตีพิมพ์ในวารสาร NATURE เดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 2018 ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเอดินบะระได้ทำการทดลองเพื่อทำความเข้าใจและค้นพบคำอธิบายแล้วว่าทำไมเมล็ดแดนดิไลออนสามารถบินไปได้ไกลทั้งที่โครงสร้างแบบร่มของมันนั้นส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ว่าง การวิวัฒนาการมาอย่างยาวนานทำให้พืชมีการพัฒนารูปทรงของเมล็ดเพื่อให้สามารถบินไปได้ระยะทางไกลสูงสุด  ซึ่งนักวิทยาศาสตร์อาจนำมาประยุกต์ใช้ในเทคโนโลยีการบินของมนุษย์ต่อไป

แดนดิไลออนมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Taraxacum officinale โดยเมล็ดแดนดิไลออน ส่วนมากจะตกในระยะ 2 เมตร จากต้นของมัน แต่ถ้าลมเหมาะสมและสภาพอากาศอบอุ่นและแห้ง เมล็ดสามารถไปได้ไกลกว่านั้นมาก เมล็ดจากสมาชิกของวงศ์ Asteraceae   ซึ่งเป็นวงศ์ของแดนดิไลออน บางเมล็ดสามารถไปได้ไกลถึง 150 กิโลเมตร และการที่เมล็ดไปได้ไกล 30 กิโลเมตรนั้นนับว่าเป็นเรื่องปรกติ ซึ่งถือว่าเป็นระยะทางที่ไกลมากเพราะ มันไม่มีเครื่องยนต์หรือแหล่งพลังงานในตัวมันมาเป็นแรงขับเคลื่อนเลย

เรียบเรียงโดย
ณัฐพล โชติศรีศุภรัตน์
ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ
อ้างอิง
https://www.nature.com/articles/d41586-018-07084-8
https://eurekalert.org/pub_releases/2018-10/uoe-dsr101618.php
https://www.nature.com/articles/s41586-018-0604-2
Cr.http://www.thaiphysoc.org/article/51/

(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่