หากพูดถึง Polyglot อาจจะดูเหมือนเป็นคำสมัยใหม่ ในยุคอินเตอร์เน็ต ที่หลายคนอาจยังไม่คุ้นเคย แต่หากพูดถึง Multilingual หรือ พหุภาษานั้น หลายคนคงรู้จักกันมากแล้ว
ความแตกต่างระหว่างสองคำนี้ คือ:
Polyglot [ อ่านว่า โพลีกลอต, Polyglots พหูพจน์ ] รากศัพท์มาจากภาษากรีก
Poly ที่แปลว่า มากมาย หลากหลาย Glot จาก Glossa ที่แปลว่าภาษา
หมายถึงตัวคนที่พูดได้หลายภาษา ส่วนใหญ่ 4 ภาษาขึ้นไป (เน้นที่คน และ พูด) ยังไม่มีการทัพศัพท์ หรือ บัญญัติคำเป็นภาษาไทย
(ไม่ใช่ Polygot โพลีกอต ที่เป็นยารักษาโรคไมเกรน) ในบทความนี้ผู้เขียนเลยจะใช้คำว่า Polyglot/Polyglots เป็นหลัก
Hyperpolyglot คือ คนที่พูดได้มากกว่า 20-50 ภาษา และ สามารถเรียนภาษาใหม่ๆอย่างง่ายดาย ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าคนเหล่านี้มีอยู่จริง! ตัวอย่าง Hyperpolyglot สมัยใหม่ เช่น Tim Doner Hyperpolyglot ยุคแรกของยูทูบ หรือ Ioannis Ikonomou นักแปลและล่ามชาวกรีกใน Europeam commission หรือ Dmitry Petrov ชาวรัสเซีย หรือ Richard Simcott เป็นต้น
Multilingualism หรือ Multilingual(agj) โดยทั่วไป ใช้บ่งบอกวัฒนธรรม (Multilingual Culture) หรือ การศึกษา (Multilinggual Education) และ สามารถใช้บ่งบอกบุคคลได้เช่นกัน
ส่วนระดับความสามารถ และ การสอบ หรือ การวัดระดับ ของแต่ละภาษายังไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนว่าต้องเก่งระดับไหนถึงจะนับเป็น Polyglot ได้ แต่โดยทั่วไปนับระดับ B2
......
ตามความเชื่อในพระคัมภีร์ไบเบิลมีการกล่าวถึง Tower of Babel หอคอยบาเบล ในหนังสือปฐมกาล อธิบายว่าเดิมทีประชากรโลกถึงพูดหลากหลายภาษา แต่ภายหลังเหตุการณ์น้ำท่วมโลก จากลูกหลานของโนอาห์ ได้ขยายพงศ์พันธุ์แผ่ไพศาลออกไป ผู้คนทั้งโลกเคยพูดภาษาเดียวกัน และมีศัพท์สำเนียงเดียวกัน พวกเขาได้สามัคคีกันร่วมกันสร้างหอคอยบาเบล เพื่อที่จะสร้างเป็นหอเทียมฟ้าที่มีจุดมุ่งหมายให้สูงไปถึงสวรรค์ เป็นแหล่งรวมอารยธรรมของมนุษย์ไว้ด้วยกัน สร้างความภาคภูมิใจให้กับมนุษยชาติ แต่กลับกลายเป็นการนำมาซึ่งความหยิ่งผยอง คิดท้าทายพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงบันดาลให้เกิดสายฟ้าผ่าทำให้หอคอยพังลง การก่อสร้างหอบาเบลจึงหยุดสร้างไป
พหุภาษา หรือ พหุวัฒนธรรม มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ทั้งในประเทศไทย และ ต่างประเทศ การอยู่รวมกันของชนกลุ่มน้อยๆต่าง ตั้งแต่เริ่มการมีการเดินทางติดต่อทางการค้า การเดินเรือ ผู้นำสามารถพูดได้หลายภาษา นอกจากภาษาถิ่น ภาษาทางการที่ใช้สื่อสาร ทั้งในด้านการค้า การเมืองระหว่างประเทศ ศาสนา การแลกเปลี่ยนความรู้ต่อกันกันได้แก่ ภาษาฮีบรู ภาษากรีก ภาษาละติน ภาษาอาหรับ เช่น คลีโอพัตรา สาวสวยผู้โด่งดัง ต่อมา ภาษาฝรั่งเศส กลายมาเป็น franca lingua ภาษากลางที่ใช้ติดต่อระหว่างประเทศ ก่อนที่ยุคสมัยของ ภาษาอังกฤษ จะเข้ามีมีบทบาทสำคัญ
การสร้างชาติโดยใช้ภาษาเป็นเอกลักษณ์ (Nation Language and Identity) ทำให้เรื่องนี้ความสำคัญของพหุภาษาถูกลดน้อยลงไป ในช่วงแห่งการอพยพสร้างชาติใหม่แบบอเมริกา หรือ ออสเตรเลีย หรือแม้แต่ประเทศไทยเราเอง ที่กว่าจะก็สร้าง Thai Identity ได้นั้น ก็ต้องลดความสำคัญของชนกลุ่มน้อย และ ภาษาท้องถิ่นไปไม่น้อย มีไม่กี่ชาติที่ให้ความสำคัญกับ พหุภาษา เช่น สิงคโปร์ อินเดีย หรือ สวิตเซอร์แลนด์ หรือ สหภาพยุโรปในปัจจุบันที่สนับสนุนให้พลเมืองศึกษาภาษาของสหภาพยุโรปเพิ่มเติมนอกเหนือไปจากภาษาอังกฤษ
ยุคโลกาภิวัฒน์( globalisation) ทั้งในโลกออนไลน์ และ การเดินทางที่มีเพิ่มมากขึ้น ทำให้ความสำคัญของพหุภาษากลับมาอีกครั้ง แม้ว่าในช่วงหลัง ปัญญาประดิษฐ์ (AI) นวัตกรรมสมัยใหม่ที่ทำให้การแปลภาษาง่ายขึ้น ถูกต้อง และ แม่นยำมากขึ้น กำลังทดสอบความสำคัญของพหุภาษาอีกครั้ง
คำถาม ที่หลายคนมักจะตั้งคำถามกันคือ จะเรียนภาษาอื่นๆไปอีกทำไม ในเมื่อ ภาษาอังกฤษก็เพียงพอแล้ว? ภาษาไหนเรียนง่ายกว่ากัน? เรียนแต่ละภาษาใช้เวลาเท่าไหร่?วิธีไหนดีที่สุด? คำตอบส่วนใหญ่ก็ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล มันอยู่ที่ว่า ผู้เรียนพูดภาษาไหน เรียนภาษาไหนมาก่อน ภาษาแม่เป็นยังไง ชอบเรียนแบบไหน เรียนได้วันละกี่ชั่วโมง ใครพูดภาษาไหน ก็คงมองโลกต่างกัน
ในเมืองไทยนั้น Polyglot หรือ คนที่พูดได้มากกว่า 4 ภาษา ยังไม่มี platform ไหนรวบรวมเรื่องนี้ และผู้เขียนไม่แน่ใจว่ามีการศึกษาในเรื่องนี้ระดับวิชาการแล้วมากน้อยเพียงใด มีการถามตอบในพันทิพอยู่บ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่คาดว่าคงจะมี Polyglots คนไทย อยู่จำนวนไม่น้อยทั้งที่อยู่ในประเทศไทยและที่อยู่ในต่างประเทศ มีคนที่อยู่ในพันทิพอบ้างแต่ก็ยังน้อย ส่วนใหญ่จะอยู่ที่สองหรือสามภาษา ในสมัยนี้ที่รู้จักและมีชื่อเสียงก็อาจจะมีดาราลูกครึ่งหลายคน
สำหรับ Polyglots คนไทย นั้น บัณฑิต อึ้งรังษี วาทยกร นักเขียน นักสร้างแรงบันดาลใจชื่อดังของเมืองไทย และ ภรรยาของเขา แมรี่อึ้งรังษี ที่สองคนรวมกันพูดได้มากกว่า 10 ภาษา
คุณ เบญจวรรณ ภูมิแสน ล่ามและนักแปลชื่อดังปัจจุบันอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา นักเขียน ที่มีผลงานเขียนหนังสือภาษาไทยให้ชาวต่างชาติและหนังสืออื่นๆ ที่พูดคล่องถึง 5 ภาษา
Polyglots ชาวไทยทั้งสองคนนี้ มีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตในต่างประเทศมานาน ผู้เขียนยังไม่พบ Polyglots คนไทยใน lists of
polyglots ใดๆ และพยายามหาตัวอย่างในอินเตอร์เน็ตหรือยูทูบยังไม่พบเช่นกัน อาจเป็นไปได้ว่า หรือเป็นเรื่องที่คนยังไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก หรือ ยังมีหลายคนที่ยังไม่เปิดเผยตัวตนในอินเตอร์เน็ต
สำหรับชาวต่างชาติ Polyglots ที่พูดภาษาไทยได้ เช่น Stuart Jay Raj หรือ บรูน่า สาวบราซิลหัวใจไทยและอีกมากมาย เช่น Artem Nazarov, Wouter Corduwen
ในวงการหนังสือภาษาไทยนั้น ส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญไปที่การเรียนภาษาอังกฤษและทวิภาษา Bilingual หรือ แบ่งแยกเป็นภาษาไป
ภาษาที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย รองจากภาษาอังกฤษ ส่วนใหญ่ คือ ฝั่งภาษาตะวันออก ภาษาจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ฝั่งภาษาตะวันตก ฝรั่งเศส เยอรมัน ดูได้จากจำนวนหนังสือ โรงเรียนมหาวิทยาลัยที่เปิดให้เรียน หรือ ช่องยูทูบหรือ social media สอนภาษา ทั้งในเฟสบุ๊คและอินสตาแกรม
มีหนังสือไม่กี่เรื่องที่เน้นความเป็นพหุภาษา หนังสือเล่มแรกที่ผู้เขียนหามาอ่านได้คือ “เก่งภาษา 50 ล้าน” ของ คุณบัณฑิต อึ้งรังษี และมีบทความของ คุณหนูดี วนิษา เรซ ที่ให้ความสำคัญของพหุภาษาออกมาบ้าง
ผู้เขียนต้องเริ่มหาอ่านหนังสือภาษาอื่นๆมากขึ้นโดยต่อยอดจากหนังสือของคุณบัณฑิต อึ้งรังษี ตามหาหนังสือเกี่ยวกับ Polyglots คนอื่นๆในอินเตอร์เน็ต จนเจอชีวิต Polyglots ยุครุ่นแรกของโลกนี้ที่ทุกคนต่างก็พูดถึง คือ:
Cleopatra (69 bc-30 bc) ราชินีจากดินแดนอียิปต์ ผู้เต็มไปด้วยเสน่ห์ทำให้ผู้ชายหลงไหล มีหลักฐานว่าเธอพูดได้ 14 ภาษา
Mezzofanti(1774-1849) ว่ากันว่าเขาคือ Hyperpolyglot คนแรกของโลกนักบวชชาวอิตาเลียนจากเมือง Bologna เริ่มต้นการเรียนภาษาจากศานาและคัมภีร์ไบเบิล ว่ากันว่าเขาสามารถสวดได้หลายภาษา
Kato Lomb (1909-2003) หญิงสาวชาวฮังกาเรียนที่เปลี่ยนจากการเรียนจบปริญญาเอกด้าน ฟิสิกส์และเคมี มาเป็นล่ามและนักแปลหญิงที่สำคัญในประวัติศาสต์ยุคใหม่ เธอแอบเรียนภาษาต่างประเทศด้วยตัวเอง(autodidact) จนมีความสามารถใน 22 ภาษาในระดับที่แตกต่างกัน ในยุคสมัยสังคมนิยมโซเวียตที่การเรียนภาษาต่างประเทศอื่นๆ หรือแม้แต่หนังสือภาษาต่างประเทศเป็นเรื่องต้องห้าม
ในประวัติศาสตร์ไทยมี เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ออกญาวิไชยเยนทร์ ชื่อเดิม คอนสแตนติน ฟอลคอน ,Constantine Folcon ซึ่งชื่อเดิมภาษากรีก Κωσταντής Γεράκης, ขอเรียกว่า นายเหยี่ยว ตามคำแปลนามสกุล,มีอายุอยู่ในช่วง 1647-1688 เป็นคนเชื้อสายกรีกจริง ภูมิสำเนาเดิมจากเกาะ Kefalonia แต่ออกไปกับเรืออังกฤษตั้งแต่สมัยยังเด็กอายุประมาณสิบสองร่ำเรียนวิชาต่างๆกับอังกฤษ สมัยช่วงตะวันตกเริ่มออกล่าอาณานิคมฝั่งเอเชีย จนไปถึงประเทศสยามเราในสมัยกรุงศรีฯ สมัยสมเด็จพระนารายณ์
บุคคลดังกล่าวเหล่านี้ เป็นเพียงไม่กี่คนในประวัติศาสตร์ซึ่งยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้อยู่จนถึงทุกวันนี้ หากท่านลองนึกดูว่า ในยุคเหล่านั้น การเดินทางไม่ได้รวดเร็วและสะดวกสบาย ไม่ได้มีหนังสือ เทคโนโลยี หรือ มีอินเตอร์เน็ตให้เรียนได้ง่ายดายเหมือนปัจจุบัน
จนมาถึงการศึกษาสมัยใหม่ในยุคอินเตอร์เน็ต และ ยูทูบเข้ามามีบทบาทสำคัญ มี Youtuber ที่เป็น Polyglots สมัยใหม่มากมาย เช่น Benny Lewis, Gabriel Wyner, Alex Rawlings ที่ผู้เขียนได้ติดตามทั้งในยูทูป และ ผลงานการเขียนของพวกเขา และยังมี Polyglots Youtuber อีกมากมายที่ผู้เขียนชอบติดตามเช่น Luca Lampariello, Lindie Bootes, Ikenna มีการจัด Polyglot Conferences กันเป็นประจำทุกปี โดยเปลี่ยนประเทศไปเรื่อยๆ
ซึ่งส่วนใหญ่ Polyglots แชร์หลักการเรียนเป็นแบบเดียวกัน คือ การเรียนด้วยตัวเอง แบบทฤษฎี Natural Approach การเรียนแบบธรรมชาติของ Stephen Krashen สรุปโดยย่อ คือ Language cannot be learned or teached but by acquiring it หมายถึง ภษาไม่สามารถสอนหรือเรียนกันได้ แต่ต้องผ่านการรับรู้หรือการซึมซับ(absorbing)นั่นเอง การเรียนรู้ภาษาที่ดีคล้ายกับการเรียนรู้แบบธรรมชาติของเด็กคือ นักเรียนจะต้องมี input(อ่าน ฟัง) ที่เข้าใจได้ง่ายก่อน มีช่วง passive ของการเรียนรู้ในช่วงแรก โดยในช่วงนี้ให้เน้นเรียนเรื่องที่อยากเรียนที่สนใจและสนุกกับมัน แล้วถ้านักเรียนพร้อมเมื่อไหร่ output(พูด เขียน) ก็จะออกมาเอง การเรียนแบบ traditional ในโรงเรียนที่เน้นการท่องคำศัพท์หรือแกรมม่านั้น ไม่ได้ทำให้ใครเก่งภาษา และ จะเป็นการฆ่าความสนุกจากการกลัวที่จะทำผิดหรือกลัวการสอบวัดผลในการเรียนภาษาในโรงเรียนด้วยซ้ำไป ภาษาคือการใช้ทักษะชนิดหนึ่ง เหมือนการเล่นกีฬาหรือการเล่นดนตรี อยากเก่งก็ต้องใช้ต้องฝึกฝน
ผู้เขียนได้ ค้นพบสิ่งสำคัญที่ Polyglots ทุกคนมี คือ ความชอบ ความสนุก มีเป้าหมาย มีทัศนคติที่ดี มีความต่อเนื่องกันทุกวันอย่างน้อยวันละ 30 นาทีต่อเนื่องกัน ทำซ้ำ มีวินัย แบ่งเวลา(dead time เช่น ระหว่างนั่งรถ ระหว่างทำกับข้าว ระหว่างทำงานบ้าน) แม้แต่จะต้องตื่นมาตอนตี 4 และ การทำให้ภาษาเหล่านั้นมาอยู่ในชีวิตประจำวัน และ ทำให้ การเรียนภาษาเป็นทักษะตลอดชีพ Use it or Lose It! และผู้คนเหล่านี้ชอบในการอ่าน และ การพัฒนาตัวเอง!
การฟังและการอ่านเป็นทักษะสำคัญ และ การฟังและการอ่านพร้อมกันเป็นวิธีการเรียนที่ดีที่สุดในเบื้องต้น เน้น resources ที่มีทั้งให้อ่านและให้ฟัง และมีความ authentic คือ เป็นภาษาที่ใช้จริง ไม่ใช่แค่ภาษาสำหรับบทเรียน แต่วิธีการเรียนของคนเราไม่เหมือนกัน บางคนต้องพูด บางคนต้องเห็นภาพ บางคนต้องอ่าน บางคนต้องใช้แกรมม่า โดยในขั้นแรกทุกคนมีวิธีจำคำศัพท์ที่แตกต่างกันไป เช่น flash cards หรือ gold list หรือ อ่านไปเก็บคำศัพท์ไปจาก context
สำหรับพวกเขา อายุไม่ใช่อุปสรรคในการเรียน เช่น Steve Kaufmann ที่ยังเรียนภาษาใหม่ๆในวัย 50+ เช่นเดียวกับ การไม่ได้เติบโตหรือไปอยู่ไม่ได้ในประเทศของเจ้าของภาษาก็ไม่สำคัญ หรือแม้แต่การล้มเหลวในการเรียนภาษาที่โรงเรียนในอดีต ก็ไม่ใช่ตัวตัดสินว่าใครจะเรียนภาษาต่างประเทศอื่นอีกไม่ได้ และการเรียนก็ไม่ต้องใช้เงินมากมาย หรือ ต้องเสียเวลาเดินทางไปเรียนในโรงเรียนให้ลำบาก
อินเตอร์เน็ตเป็นของขวัญล้ำค่า ของชาว Polyglots โลกไร้พรมแดน การเรียนออนไลน์ Application ต่างๆ การหาเพื่อน แฟน หรือคุณครูพูดคุยกับเจ้าของภาษาอย่าง italki หรือ Hellotalk เป็นไปอย่างง่ายดายขึ้น
หลายคนเรียนในยูทูบ หลายคนชอบใช้ วิธีการเรียนแบบ Assimil และ Rosette Stone
Applications แต่ก็มีเพียงแต่ภาษาหลักของโลกที่หาได้ง่าย เช่น อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาเลียน จีน Applications ชื่อดังคือ Duolingo,Babbel, Busu, Lingo Play, Linq แต่ก็ทำให้เข้าใจเบื้องต้นเท่านั้น
…...
Polyglot หรือ Multiligual คนที่พูดได้หลายภาษา
ความแตกต่างระหว่างสองคำนี้ คือ:
Polyglot [ อ่านว่า โพลีกลอต, Polyglots พหูพจน์ ] รากศัพท์มาจากภาษากรีก
Poly ที่แปลว่า มากมาย หลากหลาย Glot จาก Glossa ที่แปลว่าภาษา
หมายถึงตัวคนที่พูดได้หลายภาษา ส่วนใหญ่ 4 ภาษาขึ้นไป (เน้นที่คน และ พูด) ยังไม่มีการทัพศัพท์ หรือ บัญญัติคำเป็นภาษาไทย
(ไม่ใช่ Polygot โพลีกอต ที่เป็นยารักษาโรคไมเกรน) ในบทความนี้ผู้เขียนเลยจะใช้คำว่า Polyglot/Polyglots เป็นหลัก
Hyperpolyglot คือ คนที่พูดได้มากกว่า 20-50 ภาษา และ สามารถเรียนภาษาใหม่ๆอย่างง่ายดาย ซึ่งไม่น่าเชื่อว่าคนเหล่านี้มีอยู่จริง! ตัวอย่าง Hyperpolyglot สมัยใหม่ เช่น Tim Doner Hyperpolyglot ยุคแรกของยูทูบ หรือ Ioannis Ikonomou นักแปลและล่ามชาวกรีกใน Europeam commission หรือ Dmitry Petrov ชาวรัสเซีย หรือ Richard Simcott เป็นต้น
Multilingualism หรือ Multilingual(agj) โดยทั่วไป ใช้บ่งบอกวัฒนธรรม (Multilingual Culture) หรือ การศึกษา (Multilinggual Education) และ สามารถใช้บ่งบอกบุคคลได้เช่นกัน
ส่วนระดับความสามารถ และ การสอบ หรือ การวัดระดับ ของแต่ละภาษายังไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอนว่าต้องเก่งระดับไหนถึงจะนับเป็น Polyglot ได้ แต่โดยทั่วไปนับระดับ B2
......
ตามความเชื่อในพระคัมภีร์ไบเบิลมีการกล่าวถึง Tower of Babel หอคอยบาเบล ในหนังสือปฐมกาล อธิบายว่าเดิมทีประชากรโลกถึงพูดหลากหลายภาษา แต่ภายหลังเหตุการณ์น้ำท่วมโลก จากลูกหลานของโนอาห์ ได้ขยายพงศ์พันธุ์แผ่ไพศาลออกไป ผู้คนทั้งโลกเคยพูดภาษาเดียวกัน และมีศัพท์สำเนียงเดียวกัน พวกเขาได้สามัคคีกันร่วมกันสร้างหอคอยบาเบล เพื่อที่จะสร้างเป็นหอเทียมฟ้าที่มีจุดมุ่งหมายให้สูงไปถึงสวรรค์ เป็นแหล่งรวมอารยธรรมของมนุษย์ไว้ด้วยกัน สร้างความภาคภูมิใจให้กับมนุษยชาติ แต่กลับกลายเป็นการนำมาซึ่งความหยิ่งผยอง คิดท้าทายพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงบันดาลให้เกิดสายฟ้าผ่าทำให้หอคอยพังลง การก่อสร้างหอบาเบลจึงหยุดสร้างไป
พหุภาษา หรือ พหุวัฒนธรรม มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ทั้งในประเทศไทย และ ต่างประเทศ การอยู่รวมกันของชนกลุ่มน้อยๆต่าง ตั้งแต่เริ่มการมีการเดินทางติดต่อทางการค้า การเดินเรือ ผู้นำสามารถพูดได้หลายภาษา นอกจากภาษาถิ่น ภาษาทางการที่ใช้สื่อสาร ทั้งในด้านการค้า การเมืองระหว่างประเทศ ศาสนา การแลกเปลี่ยนความรู้ต่อกันกันได้แก่ ภาษาฮีบรู ภาษากรีก ภาษาละติน ภาษาอาหรับ เช่น คลีโอพัตรา สาวสวยผู้โด่งดัง ต่อมา ภาษาฝรั่งเศส กลายมาเป็น franca lingua ภาษากลางที่ใช้ติดต่อระหว่างประเทศ ก่อนที่ยุคสมัยของ ภาษาอังกฤษ จะเข้ามีมีบทบาทสำคัญ
การสร้างชาติโดยใช้ภาษาเป็นเอกลักษณ์ (Nation Language and Identity) ทำให้เรื่องนี้ความสำคัญของพหุภาษาถูกลดน้อยลงไป ในช่วงแห่งการอพยพสร้างชาติใหม่แบบอเมริกา หรือ ออสเตรเลีย หรือแม้แต่ประเทศไทยเราเอง ที่กว่าจะก็สร้าง Thai Identity ได้นั้น ก็ต้องลดความสำคัญของชนกลุ่มน้อย และ ภาษาท้องถิ่นไปไม่น้อย มีไม่กี่ชาติที่ให้ความสำคัญกับ พหุภาษา เช่น สิงคโปร์ อินเดีย หรือ สวิตเซอร์แลนด์ หรือ สหภาพยุโรปในปัจจุบันที่สนับสนุนให้พลเมืองศึกษาภาษาของสหภาพยุโรปเพิ่มเติมนอกเหนือไปจากภาษาอังกฤษ
ยุคโลกาภิวัฒน์( globalisation) ทั้งในโลกออนไลน์ และ การเดินทางที่มีเพิ่มมากขึ้น ทำให้ความสำคัญของพหุภาษากลับมาอีกครั้ง แม้ว่าในช่วงหลัง ปัญญาประดิษฐ์ (AI) นวัตกรรมสมัยใหม่ที่ทำให้การแปลภาษาง่ายขึ้น ถูกต้อง และ แม่นยำมากขึ้น กำลังทดสอบความสำคัญของพหุภาษาอีกครั้ง
คำถาม ที่หลายคนมักจะตั้งคำถามกันคือ จะเรียนภาษาอื่นๆไปอีกทำไม ในเมื่อ ภาษาอังกฤษก็เพียงพอแล้ว? ภาษาไหนเรียนง่ายกว่ากัน? เรียนแต่ละภาษาใช้เวลาเท่าไหร่?วิธีไหนดีที่สุด? คำตอบส่วนใหญ่ก็ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล มันอยู่ที่ว่า ผู้เรียนพูดภาษาไหน เรียนภาษาไหนมาก่อน ภาษาแม่เป็นยังไง ชอบเรียนแบบไหน เรียนได้วันละกี่ชั่วโมง ใครพูดภาษาไหน ก็คงมองโลกต่างกัน
ในเมืองไทยนั้น Polyglot หรือ คนที่พูดได้มากกว่า 4 ภาษา ยังไม่มี platform ไหนรวบรวมเรื่องนี้ และผู้เขียนไม่แน่ใจว่ามีการศึกษาในเรื่องนี้ระดับวิชาการแล้วมากน้อยเพียงใด มีการถามตอบในพันทิพอยู่บ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่คาดว่าคงจะมี Polyglots คนไทย อยู่จำนวนไม่น้อยทั้งที่อยู่ในประเทศไทยและที่อยู่ในต่างประเทศ มีคนที่อยู่ในพันทิพอบ้างแต่ก็ยังน้อย ส่วนใหญ่จะอยู่ที่สองหรือสามภาษา ในสมัยนี้ที่รู้จักและมีชื่อเสียงก็อาจจะมีดาราลูกครึ่งหลายคน
สำหรับ Polyglots คนไทย นั้น บัณฑิต อึ้งรังษี วาทยกร นักเขียน นักสร้างแรงบันดาลใจชื่อดังของเมืองไทย และ ภรรยาของเขา แมรี่อึ้งรังษี ที่สองคนรวมกันพูดได้มากกว่า 10 ภาษา
คุณ เบญจวรรณ ภูมิแสน ล่ามและนักแปลชื่อดังปัจจุบันอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา นักเขียน ที่มีผลงานเขียนหนังสือภาษาไทยให้ชาวต่างชาติและหนังสืออื่นๆ ที่พูดคล่องถึง 5 ภาษา
Polyglots ชาวไทยทั้งสองคนนี้ มีประสบการณ์ในการใช้ชีวิตในต่างประเทศมานาน ผู้เขียนยังไม่พบ Polyglots คนไทยใน lists of
polyglots ใดๆ และพยายามหาตัวอย่างในอินเตอร์เน็ตหรือยูทูบยังไม่พบเช่นกัน อาจเป็นไปได้ว่า หรือเป็นเรื่องที่คนยังไม่ได้ให้ความสนใจมากนัก หรือ ยังมีหลายคนที่ยังไม่เปิดเผยตัวตนในอินเตอร์เน็ต
สำหรับชาวต่างชาติ Polyglots ที่พูดภาษาไทยได้ เช่น Stuart Jay Raj หรือ บรูน่า สาวบราซิลหัวใจไทยและอีกมากมาย เช่น Artem Nazarov, Wouter Corduwen
ในวงการหนังสือภาษาไทยนั้น ส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญไปที่การเรียนภาษาอังกฤษและทวิภาษา Bilingual หรือ แบ่งแยกเป็นภาษาไป
ภาษาที่ได้รับความนิยมในประเทศไทย รองจากภาษาอังกฤษ ส่วนใหญ่ คือ ฝั่งภาษาตะวันออก ภาษาจีน ญี่ปุ่น เกาหลี ฝั่งภาษาตะวันตก ฝรั่งเศส เยอรมัน ดูได้จากจำนวนหนังสือ โรงเรียนมหาวิทยาลัยที่เปิดให้เรียน หรือ ช่องยูทูบหรือ social media สอนภาษา ทั้งในเฟสบุ๊คและอินสตาแกรม
มีหนังสือไม่กี่เรื่องที่เน้นความเป็นพหุภาษา หนังสือเล่มแรกที่ผู้เขียนหามาอ่านได้คือ “เก่งภาษา 50 ล้าน” ของ คุณบัณฑิต อึ้งรังษี และมีบทความของ คุณหนูดี วนิษา เรซ ที่ให้ความสำคัญของพหุภาษาออกมาบ้าง
ผู้เขียนต้องเริ่มหาอ่านหนังสือภาษาอื่นๆมากขึ้นโดยต่อยอดจากหนังสือของคุณบัณฑิต อึ้งรังษี ตามหาหนังสือเกี่ยวกับ Polyglots คนอื่นๆในอินเตอร์เน็ต จนเจอชีวิต Polyglots ยุครุ่นแรกของโลกนี้ที่ทุกคนต่างก็พูดถึง คือ:
Cleopatra (69 bc-30 bc) ราชินีจากดินแดนอียิปต์ ผู้เต็มไปด้วยเสน่ห์ทำให้ผู้ชายหลงไหล มีหลักฐานว่าเธอพูดได้ 14 ภาษา
Mezzofanti(1774-1849) ว่ากันว่าเขาคือ Hyperpolyglot คนแรกของโลกนักบวชชาวอิตาเลียนจากเมือง Bologna เริ่มต้นการเรียนภาษาจากศานาและคัมภีร์ไบเบิล ว่ากันว่าเขาสามารถสวดได้หลายภาษา
Kato Lomb (1909-2003) หญิงสาวชาวฮังกาเรียนที่เปลี่ยนจากการเรียนจบปริญญาเอกด้าน ฟิสิกส์และเคมี มาเป็นล่ามและนักแปลหญิงที่สำคัญในประวัติศาสต์ยุคใหม่ เธอแอบเรียนภาษาต่างประเทศด้วยตัวเอง(autodidact) จนมีความสามารถใน 22 ภาษาในระดับที่แตกต่างกัน ในยุคสมัยสังคมนิยมโซเวียตที่การเรียนภาษาต่างประเทศอื่นๆ หรือแม้แต่หนังสือภาษาต่างประเทศเป็นเรื่องต้องห้าม
ในประวัติศาสตร์ไทยมี เจ้าพระยาวิชาเยนทร์ ออกญาวิไชยเยนทร์ ชื่อเดิม คอนสแตนติน ฟอลคอน ,Constantine Folcon ซึ่งชื่อเดิมภาษากรีก Κωσταντής Γεράκης, ขอเรียกว่า นายเหยี่ยว ตามคำแปลนามสกุล,มีอายุอยู่ในช่วง 1647-1688 เป็นคนเชื้อสายกรีกจริง ภูมิสำเนาเดิมจากเกาะ Kefalonia แต่ออกไปกับเรืออังกฤษตั้งแต่สมัยยังเด็กอายุประมาณสิบสองร่ำเรียนวิชาต่างๆกับอังกฤษ สมัยช่วงตะวันตกเริ่มออกล่าอาณานิคมฝั่งเอเชีย จนไปถึงประเทศสยามเราในสมัยกรุงศรีฯ สมัยสมเด็จพระนารายณ์
บุคคลดังกล่าวเหล่านี้ เป็นเพียงไม่กี่คนในประวัติศาสตร์ซึ่งยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้อยู่จนถึงทุกวันนี้ หากท่านลองนึกดูว่า ในยุคเหล่านั้น การเดินทางไม่ได้รวดเร็วและสะดวกสบาย ไม่ได้มีหนังสือ เทคโนโลยี หรือ มีอินเตอร์เน็ตให้เรียนได้ง่ายดายเหมือนปัจจุบัน
จนมาถึงการศึกษาสมัยใหม่ในยุคอินเตอร์เน็ต และ ยูทูบเข้ามามีบทบาทสำคัญ มี Youtuber ที่เป็น Polyglots สมัยใหม่มากมาย เช่น Benny Lewis, Gabriel Wyner, Alex Rawlings ที่ผู้เขียนได้ติดตามทั้งในยูทูป และ ผลงานการเขียนของพวกเขา และยังมี Polyglots Youtuber อีกมากมายที่ผู้เขียนชอบติดตามเช่น Luca Lampariello, Lindie Bootes, Ikenna มีการจัด Polyglot Conferences กันเป็นประจำทุกปี โดยเปลี่ยนประเทศไปเรื่อยๆ
ซึ่งส่วนใหญ่ Polyglots แชร์หลักการเรียนเป็นแบบเดียวกัน คือ การเรียนด้วยตัวเอง แบบทฤษฎี Natural Approach การเรียนแบบธรรมชาติของ Stephen Krashen สรุปโดยย่อ คือ Language cannot be learned or teached but by acquiring it หมายถึง ภษาไม่สามารถสอนหรือเรียนกันได้ แต่ต้องผ่านการรับรู้หรือการซึมซับ(absorbing)นั่นเอง การเรียนรู้ภาษาที่ดีคล้ายกับการเรียนรู้แบบธรรมชาติของเด็กคือ นักเรียนจะต้องมี input(อ่าน ฟัง) ที่เข้าใจได้ง่ายก่อน มีช่วง passive ของการเรียนรู้ในช่วงแรก โดยในช่วงนี้ให้เน้นเรียนเรื่องที่อยากเรียนที่สนใจและสนุกกับมัน แล้วถ้านักเรียนพร้อมเมื่อไหร่ output(พูด เขียน) ก็จะออกมาเอง การเรียนแบบ traditional ในโรงเรียนที่เน้นการท่องคำศัพท์หรือแกรมม่านั้น ไม่ได้ทำให้ใครเก่งภาษา และ จะเป็นการฆ่าความสนุกจากการกลัวที่จะทำผิดหรือกลัวการสอบวัดผลในการเรียนภาษาในโรงเรียนด้วยซ้ำไป ภาษาคือการใช้ทักษะชนิดหนึ่ง เหมือนการเล่นกีฬาหรือการเล่นดนตรี อยากเก่งก็ต้องใช้ต้องฝึกฝน
ผู้เขียนได้ ค้นพบสิ่งสำคัญที่ Polyglots ทุกคนมี คือ ความชอบ ความสนุก มีเป้าหมาย มีทัศนคติที่ดี มีความต่อเนื่องกันทุกวันอย่างน้อยวันละ 30 นาทีต่อเนื่องกัน ทำซ้ำ มีวินัย แบ่งเวลา(dead time เช่น ระหว่างนั่งรถ ระหว่างทำกับข้าว ระหว่างทำงานบ้าน) แม้แต่จะต้องตื่นมาตอนตี 4 และ การทำให้ภาษาเหล่านั้นมาอยู่ในชีวิตประจำวัน และ ทำให้ การเรียนภาษาเป็นทักษะตลอดชีพ Use it or Lose It! และผู้คนเหล่านี้ชอบในการอ่าน และ การพัฒนาตัวเอง!
การฟังและการอ่านเป็นทักษะสำคัญ และ การฟังและการอ่านพร้อมกันเป็นวิธีการเรียนที่ดีที่สุดในเบื้องต้น เน้น resources ที่มีทั้งให้อ่านและให้ฟัง และมีความ authentic คือ เป็นภาษาที่ใช้จริง ไม่ใช่แค่ภาษาสำหรับบทเรียน แต่วิธีการเรียนของคนเราไม่เหมือนกัน บางคนต้องพูด บางคนต้องเห็นภาพ บางคนต้องอ่าน บางคนต้องใช้แกรมม่า โดยในขั้นแรกทุกคนมีวิธีจำคำศัพท์ที่แตกต่างกันไป เช่น flash cards หรือ gold list หรือ อ่านไปเก็บคำศัพท์ไปจาก context
สำหรับพวกเขา อายุไม่ใช่อุปสรรคในการเรียน เช่น Steve Kaufmann ที่ยังเรียนภาษาใหม่ๆในวัย 50+ เช่นเดียวกับ การไม่ได้เติบโตหรือไปอยู่ไม่ได้ในประเทศของเจ้าของภาษาก็ไม่สำคัญ หรือแม้แต่การล้มเหลวในการเรียนภาษาที่โรงเรียนในอดีต ก็ไม่ใช่ตัวตัดสินว่าใครจะเรียนภาษาต่างประเทศอื่นอีกไม่ได้ และการเรียนก็ไม่ต้องใช้เงินมากมาย หรือ ต้องเสียเวลาเดินทางไปเรียนในโรงเรียนให้ลำบาก
อินเตอร์เน็ตเป็นของขวัญล้ำค่า ของชาว Polyglots โลกไร้พรมแดน การเรียนออนไลน์ Application ต่างๆ การหาเพื่อน แฟน หรือคุณครูพูดคุยกับเจ้าของภาษาอย่าง italki หรือ Hellotalk เป็นไปอย่างง่ายดายขึ้น
หลายคนเรียนในยูทูบ หลายคนชอบใช้ วิธีการเรียนแบบ Assimil และ Rosette Stone
Applications แต่ก็มีเพียงแต่ภาษาหลักของโลกที่หาได้ง่าย เช่น อังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส อิตาเลียน จีน Applications ชื่อดังคือ Duolingo,Babbel, Busu, Lingo Play, Linq แต่ก็ทำให้เข้าใจเบื้องต้นเท่านั้น
…...