- สิ่งแรกที่รู้สึกหลังดูจบคือ หนังมัน Inspire เราในแง่มุมที่ดีใช้ได้ แต่ทำไมตลอดทั้งเรื่องมันถึงดูพยายามที่จะพาเราไปแตะเป้าหมายที่อยากให้ไป เหมือนแบบมีคนอยากให้เราเข้าเส้นชัย แต่ไม่ได้ให้เราวิ่งเอง ให้ความรู้สึกในลักษณะที่มีคนคอยผลักอยู่ตลอด
- หนัง Based On เรื่องนี้เล่าถึง Bethany Hamilton (AnnaSophia Robb) เด็กสาววัยใสที่ฝันและรักที่จะเป็นนักโต้คลื่นหญิง (เธอมีตัวตนจริงๆ) แต่แล้ววันนึงในขณะที่กำลังซ้อมเพื่อเข้าแข่งขันในรายการนึง ไอ้หลามที่

โหดพอๆกับไอ้ Jaws ก็มางับเข้าที่แขนของ Bethany โชคดีที่เธอรอดมาได้ ถึงกระนั้นเธอก็เสียแขนไปข้างนึง คำถามที่ตามคือ เธอจะใช้ชีวิตต่ออย่างไร ยิ่งกับสิ่งที่เธอรักที่สุดอย่างการโต้คลื่น เธอจะยังเดินตามฝัน หรือทิ้งมันไว้?
- พล็อตเรื่องฟังแค่นี้ สำหรับคนที่ดูหนังมาพอสมควรก็น่าจะรู้แล้วล่ะว่า หึหึ เข้า Type ที่บ้านผมเรียก "หนังให้กำลังใจ" ที่ส่วนใหญ่แล้วมักจะออกมาดี ด้วยเรื่องเล่าที่มาจากชีวิตจริง และอารมณ์ร่วมที่หนังประเภทนี้ชอบทำออกมาแบบบีบๆ แต่กับเรื่องนี้กลับให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป
- ประการแรกของความรู้สึกที่หนังเรื่องนี้มัน Inspire เราแบบพยายามคือน้อง AnnaSophia Robb แอคติ้งแววตาน้องมันจะให้ความรู้สึกที่น้องคิดอะไรอยู่ตลอด แล้วด้วยเครดิตงานน้องมันมีแต่หนังสวยงาม หนุกหนานๆ แบบปล่อยสมองดู ภาพจำน้องกับงานดราม่ามันเลยดูไม่เข้ากัน (อารมณ์คงคล้ายๆ Tom Hanks รับบทตัวร้าย... นึกภาพไม่ออกกันใช่ไหมล่ะ?)
- ประการต่อมาคือ ตัวสมทบที่ไม่มีอิมแพ็คอะไรเลยกับหนัง ที่ชัดเจนที่สุดคือ Tom Hamilton พ่อของ Bethany ที่รับบทโดย "คุณลุงยิ้มกว้าง" Dennis Quaid สารภาพตามตรง ผมเกลียดรอยยิ้มแกมาก แกพยายามดีไซน์ยิ้มแกกับสถานการณ์ต่างๆอยู่นะ เช่น ยิ้มปนเศร้าที่ต้องปลอบประโลมลูกสาว , ยิ้มภาคภูมิใจในตัวลูกสาว , ยิ้มดีใจที่ลูกโต้คลื่นได้เก่งกาจ , ยิ้มเพื่อแสดงความรักกับภรรยา ทุกๆรอยยิ้ม

เหมือนกันหมด แล้วยิ้มแม่งกว้างกว่า Joker อีก
- เหตุผลส่งเสริมที่มีน้ำหนักที่สุดก็คงเป็นเพราะเครดิตส่วนตัวของ Sean McNamara ผกก. ที่เครดิตต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก ตัวหนังจึงออกมาไม่ค่อยชัดเจนในด้านต่างๆ ทั้งๆที่บทมัน Based On ไหนจะช่วง Credit ที่มีการเปิดเผยภาพวีดีโอฟุตเทจของจริง ซึ่งเราจะเก็ทว่า "อ๋อ ตัวหนังให้ความเคารพฟุตเทจพวกนี้ด้วยนี่หว่า" หมายถึงลอกมาทั้งดุ้น แต่ให้ตายเหอะ ฟุตเทจยังดูดีกว่าหนัง ทั้งๆที่ภาษาภาพยนต์มันสื่ออะไรออกมาได้มากกว่า
- ถ้าจะให้ชมอะไรบ้าง ก็คงจะเป็นปลายทางที่หนังพยายามพาเราไปแหละ เพราะถึงแม้มันจะเป็นการบังคับเราไปแบบไม่อิน แต่เราเก็ท Point ที่หนังพยายามจะสื่อ ซึ่งมันก็แค่การต่อสู้กับอุปสรรคทางร่างกายและจิตใจที่ได้รับผลกระทบ ถ้าหากเราอยู่กับมันได้ มันจะทำให้เราแข็งแกร่งกว่าหลายๆคนซะอีก อีกทั้งเรายังเป็นแรงบันดาลใจให้คนทั้งโลกได้ แต่(อีกล่ะ)ก็นั่นแหละ อย่างที่บอก หนังมันพยายามเกินไปอ่ะ
- สรุป หนังมีฉากการแข่งขันโต้คลื่นที่โดดเด่นและสนุกมากเรื่องนึง เป็นหนังที่สนุกในภาพรวม แต่ไม่สนุกในรายละเอียด บทที่มีแบบอย่างแต่ยังรังสรรค์ออกมาได้ไม่ดีพอ นักแสดงที่ไม่สามารถทำให้เกิดความรู้สึกร่วมได้ และ Visual Effect ที่คุณต้องร้อง "เชี้ยไรเนี้ย!" ทำให้หนังอาจยิ้มและมีกำลังใจในชีวิต แต่นานๆเข้าตัวหนังจะถูกลืมเมื่อเทียบกับหนังเรื่องอื่นใน Gerne เดียวกัน
6/10
อยากรีวิว #01 Soul Surfer : หนัง Based On ที่ดูพยายามในทุกๆจุด
- หนัง Based On เรื่องนี้เล่าถึง Bethany Hamilton (AnnaSophia Robb) เด็กสาววัยใสที่ฝันและรักที่จะเป็นนักโต้คลื่นหญิง (เธอมีตัวตนจริงๆ) แต่แล้ววันนึงในขณะที่กำลังซ้อมเพื่อเข้าแข่งขันในรายการนึง ไอ้หลามที่
- พล็อตเรื่องฟังแค่นี้ สำหรับคนที่ดูหนังมาพอสมควรก็น่าจะรู้แล้วล่ะว่า หึหึ เข้า Type ที่บ้านผมเรียก "หนังให้กำลังใจ" ที่ส่วนใหญ่แล้วมักจะออกมาดี ด้วยเรื่องเล่าที่มาจากชีวิตจริง และอารมณ์ร่วมที่หนังประเภทนี้ชอบทำออกมาแบบบีบๆ แต่กับเรื่องนี้กลับให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป
- ประการแรกของความรู้สึกที่หนังเรื่องนี้มัน Inspire เราแบบพยายามคือน้อง AnnaSophia Robb แอคติ้งแววตาน้องมันจะให้ความรู้สึกที่น้องคิดอะไรอยู่ตลอด แล้วด้วยเครดิตงานน้องมันมีแต่หนังสวยงาม หนุกหนานๆ แบบปล่อยสมองดู ภาพจำน้องกับงานดราม่ามันเลยดูไม่เข้ากัน (อารมณ์คงคล้ายๆ Tom Hanks รับบทตัวร้าย... นึกภาพไม่ออกกันใช่ไหมล่ะ?)
- ประการต่อมาคือ ตัวสมทบที่ไม่มีอิมแพ็คอะไรเลยกับหนัง ที่ชัดเจนที่สุดคือ Tom Hamilton พ่อของ Bethany ที่รับบทโดย "คุณลุงยิ้มกว้าง" Dennis Quaid สารภาพตามตรง ผมเกลียดรอยยิ้มแกมาก แกพยายามดีไซน์ยิ้มแกกับสถานการณ์ต่างๆอยู่นะ เช่น ยิ้มปนเศร้าที่ต้องปลอบประโลมลูกสาว , ยิ้มภาคภูมิใจในตัวลูกสาว , ยิ้มดีใจที่ลูกโต้คลื่นได้เก่งกาจ , ยิ้มเพื่อแสดงความรักกับภรรยา ทุกๆรอยยิ้ม
- เหตุผลส่งเสริมที่มีน้ำหนักที่สุดก็คงเป็นเพราะเครดิตส่วนตัวของ Sean McNamara ผกก. ที่เครดิตต่ำเตี้ยเรี่ยดินมาก ตัวหนังจึงออกมาไม่ค่อยชัดเจนในด้านต่างๆ ทั้งๆที่บทมัน Based On ไหนจะช่วง Credit ที่มีการเปิดเผยภาพวีดีโอฟุตเทจของจริง ซึ่งเราจะเก็ทว่า "อ๋อ ตัวหนังให้ความเคารพฟุตเทจพวกนี้ด้วยนี่หว่า" หมายถึงลอกมาทั้งดุ้น แต่ให้ตายเหอะ ฟุตเทจยังดูดีกว่าหนัง ทั้งๆที่ภาษาภาพยนต์มันสื่ออะไรออกมาได้มากกว่า
- ถ้าจะให้ชมอะไรบ้าง ก็คงจะเป็นปลายทางที่หนังพยายามพาเราไปแหละ เพราะถึงแม้มันจะเป็นการบังคับเราไปแบบไม่อิน แต่เราเก็ท Point ที่หนังพยายามจะสื่อ ซึ่งมันก็แค่การต่อสู้กับอุปสรรคทางร่างกายและจิตใจที่ได้รับผลกระทบ ถ้าหากเราอยู่กับมันได้ มันจะทำให้เราแข็งแกร่งกว่าหลายๆคนซะอีก อีกทั้งเรายังเป็นแรงบันดาลใจให้คนทั้งโลกได้ แต่(อีกล่ะ)ก็นั่นแหละ อย่างที่บอก หนังมันพยายามเกินไปอ่ะ
- สรุป หนังมีฉากการแข่งขันโต้คลื่นที่โดดเด่นและสนุกมากเรื่องนึง เป็นหนังที่สนุกในภาพรวม แต่ไม่สนุกในรายละเอียด บทที่มีแบบอย่างแต่ยังรังสรรค์ออกมาได้ไม่ดีพอ นักแสดงที่ไม่สามารถทำให้เกิดความรู้สึกร่วมได้ และ Visual Effect ที่คุณต้องร้อง "เชี้ยไรเนี้ย!" ทำให้หนังอาจยิ้มและมีกำลังใจในชีวิต แต่นานๆเข้าตัวหนังจะถูกลืมเมื่อเทียบกับหนังเรื่องอื่นใน Gerne เดียวกัน
6/10