พระพุทธดำรัส ว่า "สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา" ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา จึงหมายเฉพาะสังขารธรรมทั้งหลาย กับธรรมอื่นที่ไม่มีแก่นสารสาระในความเป็นของเที่ยง ในความเป็นสุขที่ถาวรแท้จริง และไม่มีสาระในความเป็นตัวตนเท่านั้น มิได้รวมถึง วิสังขาร คือ พระนิพพาน อันเป็นปรมัตถธรรม ที่มีสาระ (สารํ นิพฺพานํ) เป็นอสังขตธรรม (อสงฺขตํ นิพฺพานํ) และเป็นอมตธรรม (อมตํ นิพฺพานํ) ด้วยแต่ประการใด
จากพระไตรปิฎกบาลี ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ ๓๑ ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค ข้อ ๗๓๕ หน้า ๖๒๙-๖๓๔
เพราะเหตุดังนี้ ผู้สนใจศึกษาสัมมาปฏิบัติ พึงเข้าใจความหมายของคำว่า "อนัตตา" ว่าหมายถึง สภาวะของธรรมชาติทั้งปวงที่ไม่มีแก่นสารสาระ ในความเป็นของเที่ยง ในความเป็นสุขที่ถาวรแท้จริง และไม่มีสาระในความเป็นตัวตนของใครที่เที่ยงแท้ถาวรแต่ประการใดด้วย ดังปรากฏใน "คัมภีร์เนตติวิภาวินี" ว่า
"อนตฺตาติ นิจฺจสารสุขสารอตฺตสารรหิตตฺตา อสารกฏฺเฐน อนตฺตา, อวสวตฺตนฏฺเฐน วา อนตฺตา"
"ข้อว่า อนตฺตา ความว่า สภาวธรรมทั้งหลาย ที่ชื่อว่าอนัตตา เพราะปราศจากสาระว่าเป็นของเที่ยง ปราศจากสาระว่าเป็นสุข และปราศจากสาระว่าเป็นตัวตน
อีกอย่างหนึ่ง ที่ชื่อว่าอนัตตา เพราะอรรถว่าไม่เป็นไปในอำนาจ (ของตน)"
ดังนั้น พระนิพพานจึงมิใช่ "อนัตตา" เพราะมีสภาพเที่ยง (นิจฺจํ) เป็นบรมสุข (ปรมํ สุขํ) และยั่งยืน (ธุวํ) มีแก่นสารสาระในความเป็นตัวตน (อตฺตา) แท้ เป็นธรรมที่ไม่ตาย (อมตํ) ฯลฯ จึงเป็นบรมสุขและยั่งยืนตลอดไป สภาวะ "พระนิพพาน" เป็นอย่างนี้
"ธรรมกาย" ที่ตรัสรู้อริยสัจทั้ง ๔ แล้วบรรลุมรรคผลนิพพานนั่นแหละ เป็นผู้ทรงสภาวะนิพพาน เป็นธาตุล้วนธรรมล้วนที่ไม่ประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่ง ที่ชื่อว่า "วิสังขาร"
วิสังขารมี ๒ ระดับ
ระดับที่หนึ่ง คือ พระนิพพานธาตุที่ละสังโยชน์ ๑๐ และปล่อยวางอุปาทานในเบญจขันธ์ได้โดยเด็ดขาด แต่ยังครองเบญจขันธ์อยู่ คือยังไม่ตาย ชื่อว่า "สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ"
อีกระดับหนึ่ง คือ พระนิพพานธาตุที่เบญจขันธ์แตกทำลาย คือตายแล้ว ชื่อว่า "อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ"
นี่ ! พระนิพพานมี ๒ ระดับอย่างนี้
พระอรหันต์ที่ยังครองเบญจขันธ์อยู่ ชื่อว่าท่านได้บรรลุ "สอุปาทิเสสนิพพานธาตุ" ซึ่งเป็นวิสังขาร คือมีสังขารไปปราศแล้ว คือ เป็นธาตุธรรมที่บริสุทธิ์ ปราศจากกิเลส ตัณหา ราคะ เป็นเครื่องปรุงแต่ง เป็น "วิราคธาตุ-วิราคธรรม" เป็นธรรมธาตุที่ว่างเปล่าจากสังขารทั้งในขณะยังเป็นๆ อยู่ ชื่อว่า "อัคคสูญ" คือเป็นเลิศ เพราะเป็นธรรมที่ว่างเปล่าจากตัวตนโลกิยะ และสิ่งที่เนื่องด้วยตัวตนโลกิยะ
นั่นกล่าวคือ ท่านวางอุปาทานในเบญจขันธ์ด้วยตัณหาและทิฏฐิเสียได้แล้ว ไม่เห็นเบญจขันธ์อันเป็นตัวตนโลกิยะว่ามีสาระในความมีตัวตนที่แท้จริง จึงเห็นตัวตนโลกิยะหรือสังขารธรรมทั้งปวงเป็นสภาพที่ว่างเปล่านั้น ท่านวางอุปาทานได้อย่างนั้น
เหมือนมะขามล่อน ในส่วนของธรรมกายซึ่งบรรลุอรหัตผลเปรียบเหมือนเนื้อมะขาม ส่วนเบญจขันธ์ที่ท่านยังครองอยู่เหมือนเปลือกมะขามที่ล่อนไม่ติดเนื้อ คือ หากมีอะไรกระทบกระเทือนกายท่านก็ไม่มีทุกข์ที่ใจ นี่แหละ คืออาการของพระอรหันต์ ที่ท่านบรรลุพระอรหัตตผลโดยที่ยังครองเบญจขันธ์อยู่
วิสังขารอีกระดับหนึ่งคือ เมื่อเบญจขันธ์แตกทำลาย คือตายแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเบญจขันธ์ของมนุษย์ ของเทพยดา หรือของรูปพรหม เช่น รูปพรหมในชั้นสุทธาวาสที่กำลังบรรลุอรหัตตมรรค บรรลุอรหัตตผล แล้วเมื่อจะต้องสิ้นชีวิตในชั้นที่สถิตอยู่ เบญจขันธ์รูปพรหมของท่านก็แตกทำลาย คือตายเหมือนกัน ในกรณีเช่นนี้ชื่อว่า ท่านดับขันธ์เข้าปรินิพพานด้วย "อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ" มีแต่พระนิพพานธาตุคือธรรมกายที่บรรลุอรหัตตผลแล้วล้วนๆ เบญจขันธ์ตายแล้วนั่นแหละ ที่ชื่อว่า"อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ" คือพระนิพพานที่ไม่มีเบญจขันธ์ครองอยู่
ความสูญสิ้นหมดไปอย่างนี้ หมดทั้งกิเลส ตัณหา อุปาทาน และตัวสังขารได้แก่เบญจขันธ์ก็ไม่มี เพราะแตกทำลายไปแล้ว อย่างนี้ชื่อว่า "ปรมัตถสูญ" คือเป็นความสูญอย่างมีประโยชน์สูงสุด เพราะความไม่มีสังขาร คือไม่มีทั้งเบญจขันธ์และกิเลสตัณหาเครื่องปรุงแต่งทั้งปวง
คำว่า"พระนิพพานธาตุ" หรือ "นิพพาน"เฉยๆ จึงหมายถึงทั้งสภาวะนิพพาน และผู้ทรงสภาวะนิพพาน คือธรรมกายที่บรรลุพระอรหัตตผลแล้ว
พระอริยเจ้าที่ท่านบรรลุมรรคผลนิพพานนั้น ท่านอาจจะบรรลุทีละระดับๆ เป็นชั้นๆ ไป ตั้งแต่พระโสดาปัตติผล พระสกิทาคามิผล พระอนาคามิผล และพระอรหัตตผล
หรือในกรณีที่บุญบารมี อุปบารมี และปรมัตถบารมี ของท่านเต็มแล้วเพียงใด ท่านก็สามารถจะบรรลุมรรคผลนิพพานถึงระดับนั้นๆ รวดเดียวได้เลย โดยไม่ต้องบรรลุทีละขั้นๆ ก็ได้
และ "ผล-จิต-ญาณ" ของธรรมกายที่บรรลุอริยผลนั้น เป็นผู้พิจารณาพระนิพพาน และย่อมเห็นแจ้งทั้งสภาวะพระนิพพานและผู้ทรงสภาวะนิพพานคือธรรมกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธรรมกายที่บรรลุพระอรหัตตผลแล้วว่า มีสภาพเที่ยง (นิจฺจํ) เป็นบรมสุข (ปรมํ สุขํ) และยั่งยืน (ธุวํ) มีแก่นสารสาระในความเป็นตัวตน (อตฺตา) แท้ เพราะไม่ต้องแปรปรวน (อวิปริณามธมฺมํ) ไปตามเหตุปัจจัย มีสภาพคงที่ (ตาทิ) มั่นคง (สสฺสตํ) ยั่งยืน (ธุวํ) จึงไม่ต้องเคลื่อน (อจฺจุตํ) และไม่มีเหตุปัจจัยให้เกิดด้วย ก็เลยไม่ต้องเกิด เป็นธรรมฐิติ ดำรงอยู่อย่างนั้น ไม่แก่ ไม่เจ็บ และไม่ตาย (อมตํ) จึงเป็นบรมสุข และยั่งยืนตลอดไป นี่ ! สภาวะ "พระนิพพาน" เป็นอย่างนี้
ใครเป็นผู้ทรงสภาวะพระนิพพานอย่างนี้ ?
ไม่ใช่เบญจขันธ์แน่นอน เพราะเบญจขันธ์เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ต้องเป็นธาตุล้วนธรรมล้วน ก็คือธรรมกายที่บรรลุอรหัตตผลแล้วนั้นเอง นี่แหละ ธาตุล้วนธรรมล้วนเป็นผู้ทรงสภาวะนิพพาน เป็นตัวพระนิพพานเลย
สถิตอยู่ที่ไหน ?
ไม่สถิตอยู่ที่ไหนๆ ในจักรวาลนี้ ในภพสามนี้ ในโลกใดๆ ก็ไม่มี ที่ชื่อว่า "โลก" คือภพทั้งสามนี้อยู่ในจักรวาลนี้เท่านั้นจึงชื่อว่าโลก พ้นโลกไปเป็นพระนิพพาน พระนิพพานกับโลกอยู่คนละส่วน พระนิพพานนั้นพ้นโลกจึงชื่อว่า "โลกุตตระ" เป็นธรรมที่พ้นโลกจึงชื่อว่า "โลกุตรธรรม" นั่นแหละพระนิพพาน
พระอรหันต์ ท่านดับขันธ์เข้าปรินิพพานด้วย "อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ" นั้นไม่เรียกว่าโลก ไม่เรียกว่าภพ เพราะไม่มีภพ ไม่มีชาติ ไม่มีการเกิดด้วยเหตุปัจจัย ที่สถิตอยู่ของพระนิพพานธาตุเหล่านี้จึงชื่อว่า "อายตนะนิพพาน" ที่มีพระพุทธดำรัสใน "ปาฏลิคามิยวรรค" อุทาน นิพพานสูตร ว่า
"อตฺถิ ภิกฺขเว ตทายตนํ..."
ความว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายตนะนิพพานนั้นมีอยู่..." เป็นต้น
คำว่า "อายตนะ" (นิพพาน) นี้ หลวงพ่อสดวัดปากน้ำฯ มิได้บัญญัติขึ้นเอง อาตมา (หลวงป๋าเสริมชัย) ไม่ได้พูดขึ้นเอง แต่เป็นพระพุทธดำรัสอยู่ใน "นิพพานสูตร" ไปดูได้ตั้งแต่นิพพานสูตรที่ ๑ ไปทีเดียว มีพระพุทธดำรัสว่าด้วยอายตนะนิพพาน ว่าด้วยธรรมชาติที่ไม่ประกอบด้วยปัจจัยปรุงแต่งชื่อว่า "อสังขตธรรม" มีอยู่ในนิพพานสูตรทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นคำที่ว่า "เสร็จกิจสิบหกไม่ตกกันดาร เรียกว่านิพพานก็ได้" นี่ก็เพราะ พระโยคาวจรได้เจริญภาวนา มีสติพิจารณาเห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และเห็นธรรมในธรรม คืออริยสัจ ๔ ของแต่ละกาย ได้แก่ กายมนุษย์ กายทิพย์ กายรูปพรหม และกายอรูปพรหม นี้ก็จัดเป็นกิจแต่ละ ๔ แต่ละ ๔ ก็เป็นกิจ ๑๖ เพื่อให้บรรลุมรรคผลนิพพานตามระดับภูมิธรรมที่ปฏิบัติได้ กล่าวถึงเสร็จกิจรวบยอดของพระอรหันต์ก็เป็นกิจ ๑๖ นี่แหละที่หลวงพ่อสดท่านกล่าวว่า "เสร็จกิจสิบหกไม่ตกกันดาร เรียกว่านิพพานก็ได้"
เพราะฉะนั้น นี่เป็นความลึกซึ้งที่หลวงพ่อสดวัดปากน้ำฯ (พระมงคลเทพมุนี) ท่านกล่าวสอนไว้ ข้อความที่ท่านกล่าวแต่ละคำล้วนมีความหมายลึกซึ้ง หลวงพ่อสดท่านสามารถแสดงพระธรรมเทศนาโดยการยกพระบาลีขึ้นมาแสดง ท่านสามารถแสดงรายละเอียดทั้งพระพุทธพจน์และคำแปล และทั้งแสดงวิธีปฏิบัติธรรมพร้อมทั้งผลของการปฏิบัติธรรมด้วย ซึ่งเป็นผล (ปฏิเวธธรรม) ที่พิสูจน์ได้ด้วยการปฏิบัติพระสัทธรรมที่ถูกต้องและตรงประเด็นตามพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้า การแสดงพระธรรมเทศนาของพระเดชพระคุณหลวงพ่อวัดปากน้ำ โดยยกทั้งพระบาลีหรือพระพุทธพจน์ขึ้นแสดง แจกแจงคำแปลแต่ละคำๆ หรือแต่ละประโยค ก็แล้วแต่เหตุการณ์ พร้อมกับยกเอาผลของการปฏิบัติมาแสดงอย่างชัดเจนด้วย อย่างนี้เห็นมีไม่มาก
เกร็ดความรู้ : "วิชชาธรรมกาย" เป็นฝ่ายที่เข้าถึงเข้าใจในฝ่าย "อัตตา" ของพระนิพพานธาตุ เช่นเดียวกับสายมโนมยิทธิของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ และสายพุทโธสมัยหลวงปู่มั่น และครูบาอาจารย์โบราณอีกมากมาย
สำหรับสายพุทโธปัจจุบันนั้น จะเป็นกลางๆ แต่ในสมัย "หลวงปู่มั่น" แท้ๆ ท่านสอนไว้ชัดเจนว่านิพพานเป็น "อัตตา"
อย่าหลงผิด ดึงเอาพระนิพพานมาเป็น "อนัตตา"