[#BTS] ‘ON’ บทเพลงแห่งการปฏิวัติของ BTS

สวัสดีค่ะ สวัสดีทุกคน ตอนแรกคิดว่าจะไม่เขียนเรื่องนี้แล้ว แต่วิเคราะห์ไปซะเยอะแล้วเลยมาเขียนสักหน่อย
อย่างที่เรารู้กันว่าเพลง On ได้ปล่อย MV อีกตัวออกมาแล้วในตอนสี่ทุ่มเมื่อวานนี้ หลังจากดู MV ทั้งสองแล้ว
เราเลยอยากมาแชร์ในส่วนที่เข้าใจ(ไปเอง 55)ว่า MV ตัวนี้พูดเรื่องอะไรบ้าง และเนื้อเพลงนี้เกี่ยวข้องกับการปฏิวัติอย่างไร มาเริ่มกันเลยค่ะ
.
บอกตามตรงว่าควรใช้วิจารณญาณในการอ่านมากๆ นะคะ เพราะที่เราวิเคราะห์อาจเป็นเพียงเรื่องบังเอิญที่ไปตรงกันพอดี 
ยังไงก็ฟอร์เอนเตอร์เทนค่ะ เริ่ม!
คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ

อย่างแรกเลยต้องบอกว่า BTS หรือบังทันโซนยอนดัน มีหลากหลายเพลงที่ พูดถึงการเมืองมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นเพลง Baepsae ที่พูดถึงความเหลื่อมล้ำ ของสังคม ระหว่างพวกที่คาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด(Elite) กับพวกนกกระจิ้บนกกระจอก(Grassroots) หรือจะในเพลง Am I wrong ที่มีการเสียดสีคำพูดของเจ้าหน้าที่รัฐคนหนึ่งที่กล่าวว่ามันไม่แปลกที่จะปฏิบัติกับประชาชนเป็นเหมือนหมูเหมือนหมา และเพลงที่ epic มากๆ ทั้งเนื้อเพลงทั้ง MV อย่างเพลง Not Today ที่กล่าวถึงการต่อสู้ดิ้นรนของชนชั้นแรงงานที่เปรียบเหมือนเป็น underdog ในสังคม

จากเพลงที่ยกขึ้นมาจะเห็นได้ว่าบังทันเล่นประเด็นทางการเมือง ในสังคมมาเรื่อยๆ โดยไล่สเกลจากสังคมเล็กๆ อย่างสังคมในโรงเรียนจนมาถึงสังคมผู้ใหญ่วัยทำงาน และสำหรับเพลง On นี้ เป็นประเด็นที่ใหญ่มากกว่าเดิม โดยทั้งเนื้อเพลงและ MV มันถูกกล่าวถึงการปฏิวัติทางการเมืองโดยตรง

ก่อนอื่นเราจะเริ่มที่ตัวเนื้อหาของเพลง แน่นอนว่าเพลงแบบนี้จังหวะแบบนี้ มันเป็นเพลงที่มีการปลุกใจคนฟังขั้นสุด(โดยเฉพาะตอนที่บังเอิญปล่อยออกมาในช่วงที่การเมืองไทยกำลังเดือดจัดขนาดนี้ เรียกว่าเวลาดีต่อการสตรีมของเราเลยทีเดียว ยิ่งฟังยิ่งฮึกเหิม!) ตัวเนื้อหาของเพลงจะพูดถึงการดิ้นรนเพื่อการเปลี่ยนแปลง โดยเปิดด้วยการตั้งคำถามที่ว่า“ผมไม่เข้าใจเลยว่าทุกคนกำลังพูดเรื่องอะไรกันอยู่ แล้วต้องเดินไปตามจังหวะหรือเส้นทางของใคร” ในที่นี้เรามองไอ้จังหวะที่ว่าคือ อุดมการณ์’ หรือ การถูกชักจูงของใคร เงาที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ก้าวเดิน คือสิ่งที่พยายามยึดมั่นเอาไว้ของตัวเอง

ผมลืมตาตื่นขึ้นมาที่นี่มันที่ไหน? โซล นิวยอร์ก หรือว่าปารีส” ทั้งสามที่ที่กล่าวมามีการปฏิวัติเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ใหญ่ๆ อย่าง April Nineteenth Student Rovolution ในกรุงโซลที่นักศึกษาออกมาประท้วงกันอย่างหนัก หรือจะในฝรั่งเศสปี 1789 ที่ประชาชนส่วนใหญ่มีชีวิตการเป็นอยู่ในสลัมที่สิ้นหวัง แต่ภายในพระราชวังกลับทำทุกอย่างด้วยฟุ่มเฟือย อันเป็นหนึ่งในชนวนสำคัญที่นำไปสู่การปฏิวัติฝรั่งเศสในต่อมา โดยท่อนนี้ได้ร้องออกมาต่อมาว่า “ผมพยายามลุกขึ้นมาด้วยร่างกายที่สั่นเทา” ประหนึ่งเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้น และคล้ายคลึงกัน

ต่อมาในท่อนของ RM ที่เราว่ามันสื่อถึงการเป็นเพียงประชาชนคนตัวเล็กๆ คนหนึ่งในโลกได้ดีเลยคือท่อนที่บอกว่า “ก้มมองดูที่เท้า เงาที่เป็นเหมือนตัวผม ใช่มันหรือเปล่าที่กำลังสั่นไหว หรือเป็เท้าเล็กๆ ของผมเองที่กำลังสั่น” และต่อด้วย “ไม่ใช่ว่าผมไม่กลัว ทุกอย่างมันไม่ได้ดีหรอกผมรู้ ก็เพราะแบบนั้นและ ผมต้องไปต่อแม้จะกังวลแค่ไหน แต่ผมก็จะบินไปพร้อมสายลมที่มืดดำนั้น”

Do You Hear the People Sing? หลายๆ คนอาจจะรู้จักเพลงนี้ จากภาพยนต์เรื่อง Les Misérables ในปี 2012 โดยเพลง Do You Hear the People Sing? เป็นบทเพลงสะท้อนสภาพการกดขี่ข่มเหงประชาชนของผู้มีอำนาจ จนทำให้เกิดการลุกฮือขึ้นต่อสู้เรียกร้อง โดยในเพลงจะมีท่อนแรกที่บอกว่า “คุณได้ยินเสียงประชาชนขับร้องมั้ย นี่คือบทเพลงแห่งคลั่งโกรธ นี่คือเพลงของผู้คนที่จะไม่ยอมเป็นทาสต่อไปอีกแล้ว” และ “เมื่อจังหวะแห่งใจเต้นพ้อง สะท้อนเสียงกลองก้องไกลระรัว แล้วชีวิตหนึ่งจะเกิดขึ้นมายามรุ่งอรุ่ณ” ถามว่าทำไมเรายกเพลงนี้มาเกี่ยวข้อง เพราะในเพลง On ก็มีสิ่งที่คล้ายกับเพลงนี้ โดยเพลง On ได้ร้องว่า “มันต้องบ้าไปเลย ถึงจะเรียกว่าไม่บ้า” ประโยคนี้ก็คือ symbolic ของความโกรธที่ออกมาเหมือนกัน แล้วยังมีท่อนอย่าง “ไม่มีอะไรดึงตัวผมลงมาได้หรอก เพราะคุณก็รู้ว่าผมมันนักสู้ ผมจะก้าวเท้าเข้าไปในคุกอันสวยงามด้วยเท้าของผมเอง ตามหาผมให้เจอแล้วเราจะอยู่กับคุณเอง” และอีกสิ่งหนึ่งที่เราไม่รู้ว่าเป็นความตั้งใจหรือความบังเอิญ คือ ‘กลองที่ดังระรัว’ เราจะเห็นว่าใน perf. ของเพลง On มีแดนเซอร์ถือไม้กลองเป็นของใครของมันกันทุกคน แต่ในตัวกลับไม่มีกลองสแนร์? ตรงจุดนี้ก็ต้องหาคำตอบกันต่อไปว่าเป็น symbolic แบบไหนนั่นเอง

“Bring the pain เอาความเจ็บปวดออกมา” เอามาเลย เอามาเลยสิ! ประโยคแห่งความโกรธความกัดฟันสู้ไม่ถอยดังออกมา “ยังไงฝนมันก็ต้องตก ฟ้าก็ต้องถึงคราวถล่มทุกๆ วันอยู่ดี เอาเลยสิ เอาความเจ็บปวดออกมาเลย!” จากท่อนนี้ เราว่ามันก็ชัดเจนสุดๆ ไปเลยค่ะ

การต่อสู้ที่นำมาทั้งหยาดน้ำตา และหยดเลือด แต่ก็ยังไม่หวั่น เพราะมีวิธีมีชีวิตอยู่กับสิ่งเล็กๆ ต่อให้ต้องร่วงหล่นกี่ครั้งก็ต้องลุกขึ้นมา “ถึงจะล้มลงแต่ผมก็จะลุกขึ้นมาใหม่” เป็นประโยคที่ทั้งเจโฮปและชูก้าต่างร้องต่อกัน ประหนึ่งเป็นการตอกย้ำให้เห็นถึงความสำคัญว่า ไม่ว่ายังไงก็ต้องลุกขึ้นมา “นั่นคือสิ่งที่เราเป็นมาตลอด แม้ว่าเข่าจะทรุดกองลงไปกับพื้น ตราบใดที่ผมยังไม่ถูกกลบฝัง เรื่องแบบนั้นมันเกิดขึ้นได้ มันไม่สำคัญหรอก” จนกว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ระบบแย่ๆ สร้างขึ้นจะถูกกลืนหายไป “ผมต้องชนะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่ว่ายังไงผมก็ต้องชนะ ไม่ว่าคุณจะพูดอะไร ใครจะพูดยังไง ผมไม่สนหรอก ผมไม่แคร์ด้วย ไม่ให้ค่าหรอก” ตรงจุดนี้ต้องชูฮกให้มินพีดีเลยค่ะ

และท่อนของจองกุกที่เป็นเหมือนกับการสิ้นสุด มากระชากอารมณ์ให้เราหวนคิดถึงการสูญเสียที่เกิดขึ้นว่าไม่จะเป็น ‘เลือด’ หรือ ‘น้ำตา’ ที่ไหลออกมา ก็จะไม่มีความกลัวอีกต่อไป จะร้องเพลงนี้ให้ดังก้องต่อไป ให้คนพวกนั้น(?)รับรู้เอาไว้ว่าเราไม่ถอย เราจะสู้จนกว่าจะชนะนั่นเอง “ผมเลือกที่จะจู่โจมเข้าไปในเหวลึกที่มืดมิดนั่น ค้นหาผมสิและผมจะเสียเลือดเนื้อไปกับคุณ”

และมาถึงท่อนสุดท้าย คือมีประโยคที่เราชอบมากอย่าง “ทุกอย่างที่ผมรู้ คือผมต้องดำเนินต่อไป ต่อไปอีก ก้าวต่อไปอีก” มันสื่อถึงทุกอย่างมันไม่ได้จบสิ้น แม้ในคราวนี้หรือคราวหน้าเราจะแพ้หรือชนะยังไง ทุกสิ่งก็ต้องดำเนินต่อไป เพราะงั้น “เอาเลยสิ เอาความเจ็บปวดออกมาซะ”


(มีต่อ)
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่