Message การเล่าเรื่อง mv หรือแม้กระทั่งคำแปลเนื้อเพลง So what นี้ จะคล้ายกับ Butterfly เพลงก่อน แต่เล่าในมุมมองที่ต่างกัน ซึ่ง Butterfly จะปลุกพลังให้คนกล้าแสดงความตัวของตัวเอง ทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเกิดมาเชื้อชาติไหน
ในขณะที่ So what จะสื่อถึงกลุ่มคนอีกประเภทหนึ่งที่ถูกสังคมตัดสินว่าเป็นคนไม่ดี ให้กล้าแสดงจุดยืนของตัวเอง แม้ว่าจะขัดกับธรรมเนียมปฏิบัติ (social norm) ก็ตาม ดังที่ปรากฏในเนื้อเพลงว่า I’m so bad (ฉันหนะร้าย), So what (แล้วไงหละ?)
ดังนั้นเนื้อหาใน mv นี้จึงเป็นการชวนหลุดจากกรอบค่านิยมทางสังคม แล้วเป็นตัวเองอย่างมั่นใจ
หรืออีกนัยหนึ่งคือ การเป็นตัวเองอย่างแตกต่าง ไม่ใช่เรื่องผิด
ซึ่งการเล่าเรื่องนี้ก็เป็นการขับเคลื่อนทางสังคมอีกครั้ง เสมือนเป็น Butterfly เวอร์ชั่น Dark
โดยผีเสื้อ (Butterfly) เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลง (Change)
นอกจากนี้การแสดงโชว์ So what ยังแอบแฝงผีเสื้อในท่าเต้นอีกด้วย แต่มีท่วงท่าที่ต่างไปจากเพลงเดิม Butterfly

cr. mnet, peach and cream
ในการตีความ mv Loona – So what จะขอเล่าตามลำดับ ดังนี้
คห.0 – ปฐมบท
คห.1 – แยกย้าย
คห.2 – ทำลาย
เริ่มกันเลย!
ก่อนอื่น เรามาดูสิ่งน่าสนใจใน Description ของ Butterfly และ So what
Butterfly
· เริ่มต้น “Coincidence meets coincidence in LOOΠΔ to make each other’s fate.”
· ลงท้าย “LOOΠΔ collides fate into destiny to create coincidence.”
So what
· เริ่มต้น “Fate collides fate in LOOΠΔ to make coincidence.”
· ลงท้าย “LOOΠΔ discovered destiny in coincidence and fate.”
กล่าวถึง 3 อย่างวนไปวนมา คือ “Fate, Destiny และ Coincidence”
- Fate (โชคชะตา) = สิ่งที่กำหนดมาแล้วในอนาคต
- Destiny (พรหมลิขิต) = มีสิทธิเกิดขึ้นในอนาคต
- Coincidence (ความบังเอิญ) = ไม่ได้วางแผนว่าจะเกิด
ดังนั้นเมื่อนำมาถอดความจึงหมายความว่า หญิงสาวทั้ง 12 คน ไม่ได้จงใจที่จะเจอกันตั้งแต่ต้น แต่เป็นความบังเอิญที่นำพามาให้พบกัน และทำให้โชคชะตาของแต่ละคนเปลี่ยนไป เกิดเป็นพรหมลิขิตที่มารวมตัวกันเป็น LOONA
และบัดนี้ LOONA ได้รู้เกี่ยวกับโชคชะตาที่ลิขิตพวกเธอแล้ว และพวกเธอจะมาทำลายสิ่งนั้น!
เริ่ม mv – So what
สามารถทบทวนการดู mv ได้ที่นี่
เจาะลึก part Intro
- Do not accept the fate of the moon
สื่อถึง “โชคชะตา” ของคนถูกกำหนดมาแล้ว ให้ตั้งอยู่ใน social norm ที่ถือมั่นในสังคม ให้ผู้คนปฏิบัติแบบเดียวกัน (Möbius strip)
- Get off the track
หลุดจากกรอบความคิดเดิมๆ ซึ่งเปรียบดั่งโซ่ที่พันธนาการเราอยู่ (ออกจาก Möbius strip)

เหมือนกับที่วีวี่กล้าวิ่งออกจาก loop ลู่วิ่งใน Loona 1/3 – Love & Live เพื่อสร้าง Destiny ให้กับตัวเอง ทำให้ตอนท้าย mv วีวี่กลับมาเป็นคน เธอกลับมามีอารมณ์ความรู้สึกอีกครั้ง สังเกตได้ว่าเธอรู้สึกเหนื่อย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยเหนื่อยเลย
- Reveal the world that hidden inside
แสดงความเป็นตัวเองออกมา โชว์ให้โลกเห็น
(สอดคล้องกับธีม the back of the moon โชว์ด้านหลังของแต่ละคน แล้วค่อยๆหันหน้ามา
แต่ตรงนี้มีวีวี่คนเดียวที่หันหน้าอยู่ก่อนแล้ว นั่นเพราะจะบอกว่าวีวี่เป็นคนที่ออกจาก loop แล้วนั่นเอง)
- Burn yourself
(เผาเปลือกนอกของคุณ) = มีอิสระในการใช้ชีวิตตามที่คุณต้องการ
ซึ่งเราได้เห็นโอลิเวีย เป็นคนแรกที่เผาอดีตตัวเองทิ้งใน Egoist ไปแล้ว
ดังนั้นถ้ามองในบริบทภาพรวม message แต่ละอัลบั้ม จะเป็นดังนี้
+ + = ออกจาก loop
x x = เป็นตัวของตัวเอง
# = ทำลาย loop
(ต่อ)
[ชวนดู] วิเคราะห์ mv Loona – So What 🤷
ในขณะที่ So what จะสื่อถึงกลุ่มคนอีกประเภทหนึ่งที่ถูกสังคมตัดสินว่าเป็นคนไม่ดี ให้กล้าแสดงจุดยืนของตัวเอง แม้ว่าจะขัดกับธรรมเนียมปฏิบัติ (social norm) ก็ตาม ดังที่ปรากฏในเนื้อเพลงว่า I’m so bad (ฉันหนะร้าย), So what (แล้วไงหละ?)
ดังนั้นเนื้อหาใน mv นี้จึงเป็นการชวนหลุดจากกรอบค่านิยมทางสังคม แล้วเป็นตัวเองอย่างมั่นใจ
หรืออีกนัยหนึ่งคือ การเป็นตัวเองอย่างแตกต่าง ไม่ใช่เรื่องผิด
ซึ่งการเล่าเรื่องนี้ก็เป็นการขับเคลื่อนทางสังคมอีกครั้ง เสมือนเป็น Butterfly เวอร์ชั่น Dark
โดยผีเสื้อ (Butterfly) เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนแปลง (Change)
นอกจากนี้การแสดงโชว์ So what ยังแอบแฝงผีเสื้อในท่าเต้นอีกด้วย แต่มีท่วงท่าที่ต่างไปจากเพลงเดิม Butterfly
cr. mnet, peach and cream
ในการตีความ mv Loona – So what จะขอเล่าตามลำดับ ดังนี้
คห.0 – ปฐมบท
คห.1 – แยกย้าย
คห.2 – ทำลาย
เริ่มกันเลย!
ก่อนอื่น เรามาดูสิ่งน่าสนใจใน Description ของ Butterfly และ So what
Butterfly
· เริ่มต้น “Coincidence meets coincidence in LOOΠΔ to make each other’s fate.”
· ลงท้าย “LOOΠΔ collides fate into destiny to create coincidence.”
So what
· เริ่มต้น “Fate collides fate in LOOΠΔ to make coincidence.”
· ลงท้าย “LOOΠΔ discovered destiny in coincidence and fate.”
กล่าวถึง 3 อย่างวนไปวนมา คือ “Fate, Destiny และ Coincidence”
- Fate (โชคชะตา) = สิ่งที่กำหนดมาแล้วในอนาคต
- Destiny (พรหมลิขิต) = มีสิทธิเกิดขึ้นในอนาคต
- Coincidence (ความบังเอิญ) = ไม่ได้วางแผนว่าจะเกิด
ดังนั้นเมื่อนำมาถอดความจึงหมายความว่า หญิงสาวทั้ง 12 คน ไม่ได้จงใจที่จะเจอกันตั้งแต่ต้น แต่เป็นความบังเอิญที่นำพามาให้พบกัน และทำให้โชคชะตาของแต่ละคนเปลี่ยนไป เกิดเป็นพรหมลิขิตที่มารวมตัวกันเป็น LOONA
และบัดนี้ LOONA ได้รู้เกี่ยวกับโชคชะตาที่ลิขิตพวกเธอแล้ว และพวกเธอจะมาทำลายสิ่งนั้น!
เริ่ม mv – So what
สามารถทบทวนการดู mv ได้ที่นี่
เจาะลึก part Intro
- Do not accept the fate of the moon
สื่อถึง “โชคชะตา” ของคนถูกกำหนดมาแล้ว ให้ตั้งอยู่ใน social norm ที่ถือมั่นในสังคม ให้ผู้คนปฏิบัติแบบเดียวกัน (Möbius strip)
- Get off the track
หลุดจากกรอบความคิดเดิมๆ ซึ่งเปรียบดั่งโซ่ที่พันธนาการเราอยู่ (ออกจาก Möbius strip)
เหมือนกับที่วีวี่กล้าวิ่งออกจาก loop ลู่วิ่งใน Loona 1/3 – Love & Live เพื่อสร้าง Destiny ให้กับตัวเอง ทำให้ตอนท้าย mv วีวี่กลับมาเป็นคน เธอกลับมามีอารมณ์ความรู้สึกอีกครั้ง สังเกตได้ว่าเธอรู้สึกเหนื่อย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยเหนื่อยเลย
- Reveal the world that hidden inside
แสดงความเป็นตัวเองออกมา โชว์ให้โลกเห็น
(สอดคล้องกับธีม the back of the moon โชว์ด้านหลังของแต่ละคน แล้วค่อยๆหันหน้ามา
แต่ตรงนี้มีวีวี่คนเดียวที่หันหน้าอยู่ก่อนแล้ว นั่นเพราะจะบอกว่าวีวี่เป็นคนที่ออกจาก loop แล้วนั่นเอง)
- Burn yourself
(เผาเปลือกนอกของคุณ) = มีอิสระในการใช้ชีวิตตามที่คุณต้องการ
ซึ่งเราได้เห็นโอลิเวีย เป็นคนแรกที่เผาอดีตตัวเองทิ้งใน Egoist ไปแล้ว
ดังนั้นถ้ามองในบริบทภาพรวม message แต่ละอัลบั้ม จะเป็นดังนี้
+ + = ออกจาก loop
x x = เป็นตัวของตัวเอง
# = ทำลาย loop
(ต่อ)