ทำไมผู้ที่เดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยงที่ไม่มีอาการ จึงไม่ควรมาตรวจที่ รพ.
เช้าวันหนึ่งที่แสนยุ่งเหยิงกับการดูคนไข้ในตึกและรีบวิ่งมา ออก opd
พี่พยาบาล : หมอ มีเคสเดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยงจะขอมาตรวจ Covid-19
ผม : แล้วคนไข้มีอาการอะไรไหมครับ
พี่พยาบาล : ไม่มีเลยค่ะหมอแค่อยากมาตรวจเฉยๆ และอยากได้ใบรับรองแพทย์ไปให้ที่ทำงานว่าไม่เป็น Covid19
ผม : แล้วมีกี่เคสครับพี่
พี่พยาบาล : 4 เคส ค่ะ
ผม : แล้วนั่งอยู่ตรงจุดคัดกรอง ใช่ไหมครับเดี๋ยวลงไปตรวจ
พี่พยาบาล : ไม่ใช่หมอ เนื่องจากเคสนี้ไม่เข้าเกณฑ์ PUI พี่เลยเอาไปแยกไว้ตรงมุมนู้นที่คนไข้นั่งน้อยๆ หน่อย
จากบทสนทนาสั้นๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงเมื่อวานนี้ ก็บอกได้ว่าเฟส 3 อีกแปปนึงเจอกันนะจ้ะ
ทำไมถึงบอกแบบนี้ เรามาดูกัน
1. จากโพสเดิมที่โพสไว้
http://wow.in.th/sJtk
โอกาสในการตรวจเชื้อเจอต่ำมาก (ref1,2) นั่นคือ
ถ้าตรวจทุกราย 3000 ราย ถึงอาจจะเจอ 1 ราย
ในตจว.ถ้าไม่ตรงตามเกณฑ์ของกระทรวง ต่อให้เสียเงินเองก็ตรวจไม่ได้
ชุดตรวจ 1 ชุดราคา 10000 บาท(เพราะต้องConifrm 2 ที่ ทำให้ราคาคร่าวๆ ค่อนข้างแพง)
ใช้เวลาตรวจ 4-6 ชม.
ลงทุน 30 ล้าน(3000*10000) อาจจะเจอ 1 คน ซึ่งถ้าเจอก็ไม่รู้ว่าเป็นจริงไหม
เพราะมีโอกาสเจอผลบวกลวงสูง(False Positive) ดังนั้นมีงบเท่าไรก็คงไม่พอ
2. ผลการตรวจไม่บอกอะไร และ ไม่เปลี่ยนแนวทางการรักษา
เนื่องจากยังไม่มีงานวิจัยว่า หลังจาก Expose กลุ่มเสี่ยงกี่วันแล้วถึงจะตรวจเจอ
ถ้าตรวจไม่เจอ ก็อาจจะตรวจเจอในภายหลังก็ได้เหมือนเคสที่ มช. (Ref 3)
ดังนั้น ถ้าไม่พบเชื้อก็ต้อง self home quarantine อยู่ดี เหมือนไม่ได้ตรวจ
ถ้าเจอ ก็ยิ่งต้อง Self home quarantine
ดังนั้น ไม่ว่าจะบวก หรือ ลบ เจอหรือไม่เจอ ก็ทำตามแบบเดิม แล้วจะตรวจไปทำไมหล่ะเนี้ยยยย
3. ประเทศเรามีศักยภาพในการตรวจต่อวันจำกัด ถ้ามาตรวจทุกรายที่เดินทางกลับมาเกรงว่าเมื่อถึงระบาดจริง จะไม่เหลือชุดตรวจให้ใช้ ซึ่งเรามีประสบการณ์จากจีนมาแล้ว ที่ชุดตรวจหมดจนต้องกลับลำ ใช้แค่อาการแทนการตรวจ RT-PCR ขนาดประเทศที่กำลังการผลิตสูงสุดในโลกอย่างจีนยังกระสุนหมดคลัง แม้กระทั่งตอนนี้ที่ญี่ปุ่นก็กำลังมีปัญหานี้เช่นกัน
ที่สำคัญคือบุคลากรที่มีทักษะในการตรวจและอ่านผลก่อนรายงานแพทย์ ประเทศเราก็มีจำกัด
ถ้ามีการส่งตรวจมากเกินจะรับไหว ก็จะทำให้เคสที่เป็นจริงๆ ออกผลได้ช้าลงและทำให้แพร่กระจายมากขึ้นได้
อ่านเพิ่มได้ที่ :
https://www.facebook.com/kiratisin/posts/10156827005377761
4. วันนี้ อาการปกติ ผลลบ ไม่ได้หมายความว่า พรุ่งนี้จะไม่มีอาการ และทันที่มีอาการและตรวจซ้ำแล้วเจอเชื้อ
หมอ เจ้าหน้าที่ทุกคน และคนไข้ทุกคนที่ closed contact รอบตัว จะถูกกักกันโรคทันที 14 วัน
เพราะไม่ได้ใส่ชุดป้องกันเนื่องจากไม่เข้าเกณฑ์ PUI (ref4)
ถ้ามาตรวจแค่ 1 คน เชื้ออาจจะไม่มากพอที่จะทำให้ติดเชื้อ
แต่ยิ่งมากันเยอะ 4-5 คน แออัดกันก็ยิ่งทำให้ความเข้มข้นและปริมาณเชื้อรอบบริเวณนั้นสูง
ยิ่งเพิ่มโอกาสในการแพร่เชื้อสำเร็จ ทั้งแก่คนที่มาตรวจด้วยปัญหาเดียวกัน และทุกคนรอบตัว เหมือนกรณีเรือ Diamond Princess ที่ญี่ปุ่น
และถ้าแพร่เชื้อสำเร็จ คุณยังจะได้รับเกลียดเป็น First super spearder ที่แพร่กระจายในรพ. ซึ่งอาจจะทำให้มีคนเสียชีวิตจำนวนมาก
ในทางกลับกัน ถ้าคุณไม่ได้เป็น Covid-19 คุณก็อาจจะได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่จากรพ.เป็นของแถมที่คุณไม่อยากได้
จนคุณอาจจะเสียชีวิตด้วยไข้หวัดใหญ่ทีได้รับแถมจากรพ.ได้เช่นกัน
5.หมอก็ไม่รู้จะตรวจอะไรให้ เพราะคุณไม่มีอาการผิดปกติ ไม่มีไข้ หายใจปกติ ความดันก็ดี
การตรวจทั่วไป เช่น ดูคอหอย ฟังเสียงปอด ไม่สามารถช่วยในการแยกCovid-19 ออกจาก โรคหวัดทั่วไปได้
ดังนั้นจากเหตุผลทั้งหมดข้างต้น ถ้าเรากลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยงแล้วมา รพ.โดยที่ไม่มีอาการ
จะทำให้สถานการณ์ระบาดเลวร้ายและ อาจจะเข้าสู่ Phase 3 โดยเร็ววัน
สิ่งที่ควรจะทำคือ
** ประชาชนที่เดินทางกลับมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง ต้อง
- แจ้งประวัติเดินทางไปพื้นที่เสี่ยง ณ จุดคัดกรอง
- ถ้าไม่มีอาการ ก็ไม่ต้องมาตรวจที่โรงพยาบาล แต่ให้ Self home quarantine
- และเมื่อไร ที่มีอาการผิดปกติอันได้แก่ ไข้ เป็นหวัด หอบเหนื่อย ปวดเมื่อยตามตัว ให้รีบกลับมาตรวจ**
พี่ พยบ. + คนไข้ : แล้ว Self home quarantine ทำอย่างไร แค่พักงานแล้วอยู่บ้านเฉยๆ ใช่ไหมหมอ
ไม่ใช่จ้า หลักๆทำ 3 อย่าง คือ (Ref 5)
1. สวม mask ทำกิจกรรมทุกอย่างและของใช้ส่วนตัวทุกอย่าง แยกกับบุคคลภายในบ้านอย่างเด็ดขาด
2. ล้างมือบ่อยๆ ทำความสะอาดเสื้อผ้าส่วนตัวและพื้นที่ส่วนรวมในบ้าน อย่างสม่ำเสมอรวมถึงทำลายขยะติดเชื้อ อย่างถูกวิธี
3. งดเดินทางไปพื้นที่สาธารณะ และ งดเดินทางโดยขนส่งมวลชน
ถ้าจำยาก ขี้เกียจอ่าน ก็มี infographic สวยๆ cr. คุณหมอ Jiraruj Praise

พี่พยบ. : ไหน รมว.บอกว่า ไม่ต้อง self quarantine ก็ได้ หมอได้ดูข่าวป่าวเนี้ยย
ref:
https://www.one31.net/news/detail/19126
หมอ : ที่ท่าน รมว. พูดถึง น่าจะหมายถึง self monitoring
โดยถ้าอ้างอิงตามคำแนะนำของกรมควบคุมโรค ของสหรัฐ แบ่งเป็น ตามรูป Ref 7 คือ

1. Self Home quarantine ก็เหมือนกับข้อที่แล้ว ใช้ในรายที่ medium to high risk ต่างกันที่ความเข้มในการ restrict
2. Self monitoring คือการสังเกตอาการเฉยๆแต่ใช้ชีวิตได้ตามปกติ ใช้ในรายที่ Low risk
เช่นเดินทางภายในประเทศแต่ผ่านสถานที่คนพลุพล่าน
ดังนั้น 3 รัฐมนตรี + 1 สส.ของรัฐบาล ถ้าไม่ได้เดินทางเข้าไปเขตที่มีการระบาด
ไม่ได้ใช้ Public transport รร.ที่พักมีการทำความสะอาดฆ่าเชื้อก่อนเข้าพัก บุคคลที่ประชุมด้วยไม่มีความเสี่ยง
ก็อาจจะถือว่าเป็น Low risk ??? หรือเปล่าไม่รู้
การเดินทางกลับจากคนละประเทศ ความเสี่ยงก็เสี่ยงไม่เท่ากัน โดยดูว่าใครเสี่ยงมาก เสี่ยงน้อยได้จากรูปที่ 4

ไทยเราเสี่ยงต่ำสุด ช่วยและพยายามรักษาประเทศเราให้ไม่เสี่ยงมากขึ้น ด้วยความรับผิดชอบและจิตสำนึกต่อสังคม
พี่พยบ. : อ้อ เข้าใจแล้ว หมอๆ คนไข้เค้าขอลางาน + ใบรับรองแพทย์ด้วย
หมอ : อันที่จริง เรื่องนี้ควรจะเป็นหน้าที่ ของ ตม. ออกหนังสือรับรองว่าเดินทางไปประเทศกลุ่มเสี่ยง Covid 19
เพราะว่าไม่ได้ใช้ความรู้ทางการแพทย์ แต่ต้องใช้หลักฐานการเดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง นั้นก็คือ Passsport + ตม.
จึงเสนอว่า รัฐบาลควรทำงานแบบบูรณาการ ให้ ตม.ออกหนังสือรับรองการเดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง
เพื่อประกอบการลางานได้เลย โดยที่ไม่ต้องมา รพ.
รวมถึงแจ้งไปยังบริษัทขอความร่วมมือให้บังคับหยุดโดยใช้วันลาของเจ้าตัวเอง
พี่พย.บ. : หมอ ๆๆๆ ไม่ต้องพูดเยอะแล้วว รีบๆตรวจไวๆ คนไข้เหลือเยอะมาก เด่วไม่ได้กินข้าวเที่ยงกันนนนน
หมอ : ( T_T ) ครับพี่
Ref
1.
https://raw.githubusercontent.com/…/ncov/master/COVID-19.pdf
2.
https://jamanetwork.com/journals/jama/fullarticle/2762130
3.
https://www.innnews.co.th/regional-news/news_588892
4.
https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/file/guidelines/G38_1.pdf
5.
https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/file/introduction/introduction15_1.pdf
6.
https://www.one31.net/news/detail/19126
7.
https://www.cdc.gov/coronavirus/2019-ncov/php/risk-assessment.html
พึ่งกลับมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยงโดยที่ไม่มีอาการ ไม่ได้อยากมารพ. แต่แค่อยากตรวจว่าจะติดเชื้อCovid-19 ผิดด้วยหรอ
เช้าวันหนึ่งที่แสนยุ่งเหยิงกับการดูคนไข้ในตึกและรีบวิ่งมา ออก opd
พี่พยาบาล : หมอ มีเคสเดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยงจะขอมาตรวจ Covid-19
ผม : แล้วคนไข้มีอาการอะไรไหมครับ
พี่พยาบาล : ไม่มีเลยค่ะหมอแค่อยากมาตรวจเฉยๆ และอยากได้ใบรับรองแพทย์ไปให้ที่ทำงานว่าไม่เป็น Covid19
ผม : แล้วมีกี่เคสครับพี่
พี่พยาบาล : 4 เคส ค่ะ
ผม : แล้วนั่งอยู่ตรงจุดคัดกรอง ใช่ไหมครับเดี๋ยวลงไปตรวจ
พี่พยาบาล : ไม่ใช่หมอ เนื่องจากเคสนี้ไม่เข้าเกณฑ์ PUI พี่เลยเอาไปแยกไว้ตรงมุมนู้นที่คนไข้นั่งน้อยๆ หน่อย
จากบทสนทนาสั้นๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริงเมื่อวานนี้ ก็บอกได้ว่าเฟส 3 อีกแปปนึงเจอกันนะจ้ะ
ทำไมถึงบอกแบบนี้ เรามาดูกัน
1. จากโพสเดิมที่โพสไว้ http://wow.in.th/sJtk
โอกาสในการตรวจเชื้อเจอต่ำมาก (ref1,2) นั่นคือ
ถ้าตรวจทุกราย 3000 ราย ถึงอาจจะเจอ 1 ราย
ในตจว.ถ้าไม่ตรงตามเกณฑ์ของกระทรวง ต่อให้เสียเงินเองก็ตรวจไม่ได้
ชุดตรวจ 1 ชุดราคา 10000 บาท(เพราะต้องConifrm 2 ที่ ทำให้ราคาคร่าวๆ ค่อนข้างแพง)
ใช้เวลาตรวจ 4-6 ชม.
ลงทุน 30 ล้าน(3000*10000) อาจจะเจอ 1 คน ซึ่งถ้าเจอก็ไม่รู้ว่าเป็นจริงไหม
เพราะมีโอกาสเจอผลบวกลวงสูง(False Positive) ดังนั้นมีงบเท่าไรก็คงไม่พอ
2. ผลการตรวจไม่บอกอะไร และ ไม่เปลี่ยนแนวทางการรักษา
เนื่องจากยังไม่มีงานวิจัยว่า หลังจาก Expose กลุ่มเสี่ยงกี่วันแล้วถึงจะตรวจเจอ
ถ้าตรวจไม่เจอ ก็อาจจะตรวจเจอในภายหลังก็ได้เหมือนเคสที่ มช. (Ref 3)
ดังนั้น ถ้าไม่พบเชื้อก็ต้อง self home quarantine อยู่ดี เหมือนไม่ได้ตรวจ
ถ้าเจอ ก็ยิ่งต้อง Self home quarantine
ดังนั้น ไม่ว่าจะบวก หรือ ลบ เจอหรือไม่เจอ ก็ทำตามแบบเดิม แล้วจะตรวจไปทำไมหล่ะเนี้ยยยย
3. ประเทศเรามีศักยภาพในการตรวจต่อวันจำกัด ถ้ามาตรวจทุกรายที่เดินทางกลับมาเกรงว่าเมื่อถึงระบาดจริง จะไม่เหลือชุดตรวจให้ใช้ ซึ่งเรามีประสบการณ์จากจีนมาแล้ว ที่ชุดตรวจหมดจนต้องกลับลำ ใช้แค่อาการแทนการตรวจ RT-PCR ขนาดประเทศที่กำลังการผลิตสูงสุดในโลกอย่างจีนยังกระสุนหมดคลัง แม้กระทั่งตอนนี้ที่ญี่ปุ่นก็กำลังมีปัญหานี้เช่นกัน
ที่สำคัญคือบุคลากรที่มีทักษะในการตรวจและอ่านผลก่อนรายงานแพทย์ ประเทศเราก็มีจำกัด
ถ้ามีการส่งตรวจมากเกินจะรับไหว ก็จะทำให้เคสที่เป็นจริงๆ ออกผลได้ช้าลงและทำให้แพร่กระจายมากขึ้นได้
อ่านเพิ่มได้ที่ : https://www.facebook.com/kiratisin/posts/10156827005377761
4. วันนี้ อาการปกติ ผลลบ ไม่ได้หมายความว่า พรุ่งนี้จะไม่มีอาการ และทันที่มีอาการและตรวจซ้ำแล้วเจอเชื้อ
หมอ เจ้าหน้าที่ทุกคน และคนไข้ทุกคนที่ closed contact รอบตัว จะถูกกักกันโรคทันที 14 วัน
เพราะไม่ได้ใส่ชุดป้องกันเนื่องจากไม่เข้าเกณฑ์ PUI (ref4)
ถ้ามาตรวจแค่ 1 คน เชื้ออาจจะไม่มากพอที่จะทำให้ติดเชื้อ
แต่ยิ่งมากันเยอะ 4-5 คน แออัดกันก็ยิ่งทำให้ความเข้มข้นและปริมาณเชื้อรอบบริเวณนั้นสูง
ยิ่งเพิ่มโอกาสในการแพร่เชื้อสำเร็จ ทั้งแก่คนที่มาตรวจด้วยปัญหาเดียวกัน และทุกคนรอบตัว เหมือนกรณีเรือ Diamond Princess ที่ญี่ปุ่น
และถ้าแพร่เชื้อสำเร็จ คุณยังจะได้รับเกลียดเป็น First super spearder ที่แพร่กระจายในรพ. ซึ่งอาจจะทำให้มีคนเสียชีวิตจำนวนมาก
ในทางกลับกัน ถ้าคุณไม่ได้เป็น Covid-19 คุณก็อาจจะได้รับเชื้อไข้หวัดใหญ่จากรพ.เป็นของแถมที่คุณไม่อยากได้
จนคุณอาจจะเสียชีวิตด้วยไข้หวัดใหญ่ทีได้รับแถมจากรพ.ได้เช่นกัน
5.หมอก็ไม่รู้จะตรวจอะไรให้ เพราะคุณไม่มีอาการผิดปกติ ไม่มีไข้ หายใจปกติ ความดันก็ดี
การตรวจทั่วไป เช่น ดูคอหอย ฟังเสียงปอด ไม่สามารถช่วยในการแยกCovid-19 ออกจาก โรคหวัดทั่วไปได้
ดังนั้นจากเหตุผลทั้งหมดข้างต้น ถ้าเรากลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยงแล้วมา รพ.โดยที่ไม่มีอาการ
ไม่ใช่จ้า หลักๆทำ 3 อย่าง คือ (Ref 5)
1. สวม mask ทำกิจกรรมทุกอย่างและของใช้ส่วนตัวทุกอย่าง แยกกับบุคคลภายในบ้านอย่างเด็ดขาด
2. ล้างมือบ่อยๆ ทำความสะอาดเสื้อผ้าส่วนตัวและพื้นที่ส่วนรวมในบ้าน อย่างสม่ำเสมอรวมถึงทำลายขยะติดเชื้อ อย่างถูกวิธี
3. งดเดินทางไปพื้นที่สาธารณะ และ งดเดินทางโดยขนส่งมวลชน
ถ้าจำยาก ขี้เกียจอ่าน ก็มี infographic สวยๆ cr. คุณหมอ Jiraruj Praise
พี่พยบ. : ไหน รมว.บอกว่า ไม่ต้อง self quarantine ก็ได้ หมอได้ดูข่าวป่าวเนี้ยย
ref: https://www.one31.net/news/detail/19126
หมอ : ที่ท่าน รมว. พูดถึง น่าจะหมายถึง self monitoring
โดยถ้าอ้างอิงตามคำแนะนำของกรมควบคุมโรค ของสหรัฐ แบ่งเป็น ตามรูป Ref 7 คือ
1. Self Home quarantine ก็เหมือนกับข้อที่แล้ว ใช้ในรายที่ medium to high risk ต่างกันที่ความเข้มในการ restrict
2. Self monitoring คือการสังเกตอาการเฉยๆแต่ใช้ชีวิตได้ตามปกติ ใช้ในรายที่ Low risk
เช่นเดินทางภายในประเทศแต่ผ่านสถานที่คนพลุพล่าน
ดังนั้น 3 รัฐมนตรี + 1 สส.ของรัฐบาล ถ้าไม่ได้เดินทางเข้าไปเขตที่มีการระบาด
ไม่ได้ใช้ Public transport รร.ที่พักมีการทำความสะอาดฆ่าเชื้อก่อนเข้าพัก บุคคลที่ประชุมด้วยไม่มีความเสี่ยง
ก็อาจจะถือว่าเป็น Low risk ??? หรือเปล่าไม่รู้
การเดินทางกลับจากคนละประเทศ ความเสี่ยงก็เสี่ยงไม่เท่ากัน โดยดูว่าใครเสี่ยงมาก เสี่ยงน้อยได้จากรูปที่ 4
ไทยเราเสี่ยงต่ำสุด ช่วยและพยายามรักษาประเทศเราให้ไม่เสี่ยงมากขึ้น ด้วยความรับผิดชอบและจิตสำนึกต่อสังคม
พี่พยบ. : อ้อ เข้าใจแล้ว หมอๆ คนไข้เค้าขอลางาน + ใบรับรองแพทย์ด้วย
หมอ : อันที่จริง เรื่องนี้ควรจะเป็นหน้าที่ ของ ตม. ออกหนังสือรับรองว่าเดินทางไปประเทศกลุ่มเสี่ยง Covid 19
เพราะว่าไม่ได้ใช้ความรู้ทางการแพทย์ แต่ต้องใช้หลักฐานการเดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง นั้นก็คือ Passsport + ตม.
จึงเสนอว่า รัฐบาลควรทำงานแบบบูรณาการ ให้ ตม.ออกหนังสือรับรองการเดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง
เพื่อประกอบการลางานได้เลย โดยที่ไม่ต้องมา รพ.
รวมถึงแจ้งไปยังบริษัทขอความร่วมมือให้บังคับหยุดโดยใช้วันลาของเจ้าตัวเอง
พี่พย.บ. : หมอ ๆๆๆ ไม่ต้องพูดเยอะแล้วว รีบๆตรวจไวๆ คนไข้เหลือเยอะมาก เด่วไม่ได้กินข้าวเที่ยงกันนนนน
หมอ : ( T_T ) ครับพี่
Ref
1. https://raw.githubusercontent.com/…/ncov/master/COVID-19.pdf
2. https://jamanetwork.com/journals/jama/fullarticle/2762130
3. https://www.innnews.co.th/regional-news/news_588892
4. https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/file/guidelines/G38_1.pdf
5. https://ddc.moph.go.th/viralpneumonia/file/introduction/introduction15_1.pdf
6. https://www.one31.net/news/detail/19126
7. https://www.cdc.gov/coronavirus/2019-ncov/php/risk-assessment.html