มีเพียงมติของคณะกรรมการควมคุมโรคติดต่อ เมื่อวันที่ 24 ก.พ. ว่ามีมติเป็นเอกฉันท์ให้ Covid-19 เป็นโรคติดต่อร้ายแรง
แต่ยังไม่มีการลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา จนถึงขณะที่ตั้งกระทู้นี้ 27 ก.พ.
ผลคืออะไร ?
ผลก็คือ ในทางกฎหมาย ยังไม่ถือว่า Covid19 เป็นโรคติดต่อร้ายแรง
อำนาจของทางการที่จะใช้ต่อ ผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ หรือคนที่เป็นโรคนี้ หรือผู่ควบคุมยานพาหนะ เจ้าของอาคาร โรงแรม ว่าต้องแจ้งข้อมูล ต้องให้ข้อมูล ยังไม่มี
ช้าไปหน่อยครับ ต้องเร็วกว่านี้ โรคนี้มันมาเป็นเดือนกว่าๆ แล้ว เค้ารู้กันทั้งโลกแล้ว่ว่าเป็นโรคติดต่ออันตราย แต่ไทยเพิ่งจะมีมติวันที่ 24 กพ ว่าโรคนี้เป็นโรคติดต่อร้ายแรง และยังตรวจร่างประกาศเพื่อลงพิมพ์ราชกิจจาไม่เสร็จ ทั้งที่ประกาศนี้พิมพ์ครึ่งชม.ก็เสร็จ ส่งเสนอเจ้ากระทรวงลงนามได้ทันที เพราะมันมีเทมเพลตอยู่แล้ว แต่ใช้เวลา 3 วัน ก็ยังไม่ได้ลงพิมพ์ราชกิจจา ทั้งที่เป็นเรื่องเร่งด่วน (ทีประกาศอื่น กม.อื่นที่ไม่เร่งด่วน แต่ดันลงพิมพ์ในราชกิจจาฯ ได้เร็วกว่านี้เยอะ)
และต้องอออกประกาศหรือคำสั่งลูกที่อาศัยอำนาจของ พรบ.นี้ ออกมาในทันทีเลย ว่าใครมีหน้าที่อย่างไร ใครต้องแจ้งข้อมูล ใครต้องถูกกักกันตัว หรือแยกกันกันตัว
จนถึงขณะนี้ Covid-19 ยังไม่มีผลตามกฎหมายที่ถือว่าเป็น "โรคติดต่อร้ายแรง" ตาม พรบ. โรคติตต่อ 2558
แต่ยังไม่มีการลงประกาศในราชกิจจานุเบกษา จนถึงขณะที่ตั้งกระทู้นี้ 27 ก.พ.
ผลคืออะไร ?
ผลก็คือ ในทางกฎหมาย ยังไม่ถือว่า Covid19 เป็นโรคติดต่อร้ายแรง
อำนาจของทางการที่จะใช้ต่อ ผู้ต้องสงสัยว่าจะเป็นโรคนี้ หรือคนที่เป็นโรคนี้ หรือผู่ควบคุมยานพาหนะ เจ้าของอาคาร โรงแรม ว่าต้องแจ้งข้อมูล ต้องให้ข้อมูล ยังไม่มี
ช้าไปหน่อยครับ ต้องเร็วกว่านี้ โรคนี้มันมาเป็นเดือนกว่าๆ แล้ว เค้ารู้กันทั้งโลกแล้ว่ว่าเป็นโรคติดต่ออันตราย แต่ไทยเพิ่งจะมีมติวันที่ 24 กพ ว่าโรคนี้เป็นโรคติดต่อร้ายแรง และยังตรวจร่างประกาศเพื่อลงพิมพ์ราชกิจจาไม่เสร็จ ทั้งที่ประกาศนี้พิมพ์ครึ่งชม.ก็เสร็จ ส่งเสนอเจ้ากระทรวงลงนามได้ทันที เพราะมันมีเทมเพลตอยู่แล้ว แต่ใช้เวลา 3 วัน ก็ยังไม่ได้ลงพิมพ์ราชกิจจา ทั้งที่เป็นเรื่องเร่งด่วน (ทีประกาศอื่น กม.อื่นที่ไม่เร่งด่วน แต่ดันลงพิมพ์ในราชกิจจาฯ ได้เร็วกว่านี้เยอะ)
และต้องอออกประกาศหรือคำสั่งลูกที่อาศัยอำนาจของ พรบ.นี้ ออกมาในทันทีเลย ว่าใครมีหน้าที่อย่างไร ใครต้องแจ้งข้อมูล ใครต้องถูกกักกันตัว หรือแยกกันกันตัว