เทียบหัวคิดของคนสายวิทย์และสายศิลป์จากการเข้าร่วมประชุม และงานสัมมนาต่างๆ

มีโอกาสก็จะชอบไปฟังงานสัมมนาต่างๆมาก ทั้งได้ความรู้และได้ทานข้าวฟรี หลายแห่งมีทั้งอาหารกลางวัน ของว่างเช้า ของว่างบ่าย กาแฟ ขนม ข้าวบุฟเฟ่ในโรงแรมอย่างดี เรียกว่าวันนั้นฝากท้องได้เลย แต่ตอนบ่ายผมก็เข้าฟังต่อจนจบถึงเย็นนะ เพราะผมไม่ใช่นักกินฟรี แต่เป็นผู้เข้าฟังการสัมมนาเพื่อรับความรู้ ข่าวสาร

ฟังบ่อยๆก็เริ่มจับทางได้ ว่าคนสายวิทย์และสายศิลป์คิดต่างกันอย่างไร

สายศิลป์
1 จะมีคีเวิดหลักๆไปฟังต้องได้ยินชื่อเหล่านี้แน่นอน สตีฟ จอป กูเกิล เฟซบุค 5จี iot ฟังจนเบื่อแล้ว ทำไมชอบยกพวกนี้มาจัง cliche มากๆ เอ้อลืมไปมี บิลเกต อีกคน 
2 พูดได้สนุกน่าติดตาม บางคนมีอารมณ์ขัน ฟังเพลิน
3 ไม่ชอบพูดตัวเลข ชอบพูดเป็นความรู้สึก อารมณ์ แบบมันวัดไม่ค่อยได้
4 จินตนาการสูง คิดแปลกแหวกแนวมีไอเดียใหม่ๆตลอด
5 บางทีก็มีให้คนฟังลุกมาโบกมือ มาตะโกน หายง่วงได้เหมือนกัน แต่บางคนอาจจะไม่ชอบ

สายวิทย์
1 จะพูดเป็นตัวเลข ว่าจีดีพีโตเท่าไหร่จับต้องได้แน่ชัด
2 ส่วนใหญ่โมโนโทนฟังแล้วน่าเบื่อ
3 อ้างอิงแม่น จะพูดอะไรมีอ้างอิงเปเปอร์ ใส่การอ้างอิงแบบแวนคูเวอร์ลงสไลด์ด้วย เหตุผลประกอบก็จะยกการวิจัย การทดลองต่างสนับสนุน เหมือนถูกเทรนมาตอนปอโท ปอเอกให้เป็นแบบนี้ ซึ่งก็ดีนะแต่ถ้าคนฟังตามไม่ทันก็จะงงอีก บางคนสไลด์มาแบบสอบสามบท สอบห้าบทตอนเรียนเลย มันดูน่าเบื่อ 
4 ดูเป็น realist มากกว่าพวกเทคโนโลยีใหม่ๆที่จะมาก็จะพูดถึงสิ่งที่จับต้องได้ เป็นจริงแล้วเท่านั้น ไม่พยายามโฆษณาเกินจริง
5 สไลด์เยอะเกินไป

สรุปพวกสายศิลป์จะพูดเชิงนามธรรมจับต้องไม่ได้ แต่เล่าเรื่องเก่ง สื่อสารดี
พวกสายวิทย์จะชอบพูดเป็นตัวเลขมีอ้างอิง มีการทดลองประกอบ อ้างอิงแบบแวนคูเวอร์ เห็นได้ชัดเจน แต่บางทีก็น่าเบื่อ

ถ้าจับสายวิทย์กับสายศิลป์มาทำงานร่วมกันผมว่าต้องมีปัญหาแน่นอนเพราะแต่ละกลุ่มคิดไม่เหมือนกันเลย
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่