ผมเข้าใจนะเวลาที่มีการให้ตัวอย่างเช่น
เวลาที่คนซื้อของราคาปกติ แล้ววันต่อมา ห้างลดราคาโละสต็อก คนซื้อก็ต้องทำใจไป
ใครๆ ก็คิดแบบนั้นใช่ไหมครับ คงไม่มีใครไปประท้วงร้านที่มาลดราคา
หรือยกตัวอย่างเช่นการซื้อรถ ที่เพิ่งซื้อมาอาทิตย์เดียว
แต่ตัวปรับอุปกรณ์ใหม่หรือรุ่นใหม่เปิดก็ออกมา
หรือแม้แต่การลดราคาแบบยุค Subaru XV ที่มีราคาขึ้นราคาลงเป็นหุ้นเลย ติดดอยกันเป็นแถวๆ
แต่มองอีกด้านนึง ก็น่าเห็นใจคนที่ซื้อ Captiva ไปในราคาเต็ม
เพราะว่ารถเพิ่งเปิดตัว ใหม่มากๆ เรียกได้ว่า เปิดตัวปั๊บ ก็ประกาศปิดบริษัทปุ๊บ
แบบนี้ผมว่าใครโดนไปก็คงร้องไม่ออก
ถ้าสมมติเหตุการณ์ว่า บริษัทรู้อยู่ว่าจะปิดตัว (สมมติว่ารู้) แล้วเปิดรุ่นใหม่มาราคาแพง
เพื่อมาลดราคา 50% จะได้มีลูกค้ามาเหมาเยอะๆ จนหมดทั้งล็อต
คนที่ซื้อไปช่วงต้นก็เท่ากับว่าโง่โดนบริษัทนั้นหลอกได้ใช่หรือไม่?
ผมว่ามันเป็นคนละกรณีกับเรื่องลดแลกแจกแถม หรือการเปิดตัวรุ่นใหม่อย่างมาก
เพราะผู้ซื้อเรียกว่าอยู่ในสถานะผู้เสียหายได้ และเหมือนอยู่ในเกมของการหลอกล่อทางธุรกิจ
สมมติว่าเชฟโรเลตไทยแลนด์ไม่รู้ตัวเลยว่าบริษัทกำลังจะปิด ก็จัดงานโชว์รุ่นใหม่ก่อน
หน้าเปิดขายมาเกือบปี พอเปิดขายไป ก็เพิ่งโดนคำสั่งฟ้าผ่าให้ปิดบริษัท
แบบนี้ก็ต้องเท่ากับว่า ผู้บริโภคซวยเองรึเปล่า?
จริงๆ แล้ว Chevrolet ก็ไม่ได้เจ๊งไปซะทั้งหมด จริงอยู่ที่ไทยจะเจ๊ง
แต่บริษัทแม่ก็หอบเงินจากที่ขายโรงงานไปทำอย่างอื่น (สมมติ) เช่นการเปิดโรงงานรถไฟฟ้าในอเมริกา
แน่นอนว่ามีความสามารถที่จะชดเชยอะไรได้ เพราะไม่ใช่ว่าปิดตัวแล้วกลายเป็นบริษัทติดหนี้
ล้มละลายซะที่ไหน
จริงๆ การขายโละสต็อกเพื่อปิดบริษัทมันก็ทำได้ไม่ผิด
แต่จังหวะที่พอดีกันขนาดที่ว่าขายมา 1-2 เดือน คนยังเพิ่งเห็นรีวิวยูทูปด้วยซ้ำ
แล้วมาชิงปิดตัวเสียดื้อๆ มันเป็นสิ่งที่โหดร้าย (หรือจะสอนว่าโลกนี้มันก็โหดร้ายแบบนี้แหล่ะ)
Chevrolet ไทยจริงๆ ก็มีสิทธิ์ที่จะไม่รับผิดชอบใดๆ
แต่อย่างที่ได้อธิบายไป คนซื้อที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่โหดร้ายแบบนี้ จะต้องจำไว้เลย
ว่าบริษัทไหนขายรถไม่ดี ระวังอย่าไปซื้อ เพราะบริษัทนั้นอาจจะใกล้ปิดตัว
ซึ่งมันไม่เป็นผลดีต่อบรรยากาศของตลาดรถในประเทศเลย
คิดดูว่า ต่อไปนี้คนที่คิดเยอะ ก็ต้องยึดหลักว่าไม่ว่ายังไงก็ต้องซื้อเจ้าตลาด
ค่ายรองๆ ก็ขายไปกันแบบเงียบๆ แบบเจียมเนื้อเจียมตัว (เช่น Suzuki)
ถ้ามีผู้บริหารที่รู้แกวตั้งแต่แรก แต่ยังจัดกิจกรรมการเปิดตัวรถแบบนี้ได้หน้าตาเฉย
และมาตัดราคา 50% แบบนี้ ผู้บริหารที่ทำแบบนี้ ส่วนตัวผมว่า เลวร้ายมากๆ
หนำซ้ำ ยังมาตัดราคา 50% อยู่รุ่นเดียวอีก หากมองในฝั่งผู้บริโภค กับสินค้าระดับราคานี้
และกับบริษัทระดับโลกแบบนี้ มันโคดไม่แฟร์อย่างมาก
ทำไมถ้าบริษัทจะเจ๊ง จะต้องดึงเอาคนซื้อให้เจ๊งตามไปด้วย
ทำไมไม่เจ๊งไปคนเดียว จริงไหม? แล้วคนที่ต้องเสียเงินไปครึ่งล้านเขาก็เสียหาย
กันมากกว่าที่บริษัทระดับโลกเสียหาย เพราะมันเป็นชีวิตของคน ผมไม่อยากมองนะ
ว่าคนที่ซื้อ Captiva จะรวย และคงไม่เดือดร้อนเท่าไหร่
สิ่งที่ Chevrolet ควรทำแต่แรก ถ้ารู้ว่าจะเลิกกิจการ ก็ควรขายราคา 50%
ตั้งแต่แรก หรือถ้าเพิ่งรู้ คนกลุ่มแรกที่ต้องซื้อราคาเต็มไปก็ควรได้รับเงินส่วนต่างคืน
เชฟอาจจะต้องควักเงิน 4-5 ร้อยล้าน มันก็ควรนะ เพิ่งกี่เดือนมาเอง
แต่บริษัทระดับโลกขนาดนี้ จะไม่รู้มาก่อนเลยหรือ? ว่าตัวเองจะปิดตัว
อย่างน้อยก็ต้องผู้บริหารรู้
มองในอีกด้านหนึ่ง ก็ควรเห็นใจคนที่ซื้อ Captiva กลุ่มแรกนะครับ เปิดขายแค่ไม่กี่เดือน บริษัทก็ปิดตัว
ผมเข้าใจนะเวลาที่มีการให้ตัวอย่างเช่น
เวลาที่คนซื้อของราคาปกติ แล้ววันต่อมา ห้างลดราคาโละสต็อก คนซื้อก็ต้องทำใจไป
ใครๆ ก็คิดแบบนั้นใช่ไหมครับ คงไม่มีใครไปประท้วงร้านที่มาลดราคา
หรือยกตัวอย่างเช่นการซื้อรถ ที่เพิ่งซื้อมาอาทิตย์เดียว
แต่ตัวปรับอุปกรณ์ใหม่หรือรุ่นใหม่เปิดก็ออกมา
หรือแม้แต่การลดราคาแบบยุค Subaru XV ที่มีราคาขึ้นราคาลงเป็นหุ้นเลย ติดดอยกันเป็นแถวๆ
แต่มองอีกด้านนึง ก็น่าเห็นใจคนที่ซื้อ Captiva ไปในราคาเต็ม
เพราะว่ารถเพิ่งเปิดตัว ใหม่มากๆ เรียกได้ว่า เปิดตัวปั๊บ ก็ประกาศปิดบริษัทปุ๊บ
แบบนี้ผมว่าใครโดนไปก็คงร้องไม่ออก
ถ้าสมมติเหตุการณ์ว่า บริษัทรู้อยู่ว่าจะปิดตัว (สมมติว่ารู้) แล้วเปิดรุ่นใหม่มาราคาแพง
เพื่อมาลดราคา 50% จะได้มีลูกค้ามาเหมาเยอะๆ จนหมดทั้งล็อต
คนที่ซื้อไปช่วงต้นก็เท่ากับว่าโง่โดนบริษัทนั้นหลอกได้ใช่หรือไม่?
ผมว่ามันเป็นคนละกรณีกับเรื่องลดแลกแจกแถม หรือการเปิดตัวรุ่นใหม่อย่างมาก
เพราะผู้ซื้อเรียกว่าอยู่ในสถานะผู้เสียหายได้ และเหมือนอยู่ในเกมของการหลอกล่อทางธุรกิจ
สมมติว่าเชฟโรเลตไทยแลนด์ไม่รู้ตัวเลยว่าบริษัทกำลังจะปิด ก็จัดงานโชว์รุ่นใหม่ก่อน
หน้าเปิดขายมาเกือบปี พอเปิดขายไป ก็เพิ่งโดนคำสั่งฟ้าผ่าให้ปิดบริษัท
แบบนี้ก็ต้องเท่ากับว่า ผู้บริโภคซวยเองรึเปล่า?
จริงๆ แล้ว Chevrolet ก็ไม่ได้เจ๊งไปซะทั้งหมด จริงอยู่ที่ไทยจะเจ๊ง
แต่บริษัทแม่ก็หอบเงินจากที่ขายโรงงานไปทำอย่างอื่น (สมมติ) เช่นการเปิดโรงงานรถไฟฟ้าในอเมริกา
แน่นอนว่ามีความสามารถที่จะชดเชยอะไรได้ เพราะไม่ใช่ว่าปิดตัวแล้วกลายเป็นบริษัทติดหนี้
ล้มละลายซะที่ไหน
จริงๆ การขายโละสต็อกเพื่อปิดบริษัทมันก็ทำได้ไม่ผิด
แต่จังหวะที่พอดีกันขนาดที่ว่าขายมา 1-2 เดือน คนยังเพิ่งเห็นรีวิวยูทูปด้วยซ้ำ
แล้วมาชิงปิดตัวเสียดื้อๆ มันเป็นสิ่งที่โหดร้าย (หรือจะสอนว่าโลกนี้มันก็โหดร้ายแบบนี้แหล่ะ)
Chevrolet ไทยจริงๆ ก็มีสิทธิ์ที่จะไม่รับผิดชอบใดๆ
แต่อย่างที่ได้อธิบายไป คนซื้อที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่โหดร้ายแบบนี้ จะต้องจำไว้เลย
ว่าบริษัทไหนขายรถไม่ดี ระวังอย่าไปซื้อ เพราะบริษัทนั้นอาจจะใกล้ปิดตัว
ซึ่งมันไม่เป็นผลดีต่อบรรยากาศของตลาดรถในประเทศเลย
คิดดูว่า ต่อไปนี้คนที่คิดเยอะ ก็ต้องยึดหลักว่าไม่ว่ายังไงก็ต้องซื้อเจ้าตลาด
ค่ายรองๆ ก็ขายไปกันแบบเงียบๆ แบบเจียมเนื้อเจียมตัว (เช่น Suzuki)
ถ้ามีผู้บริหารที่รู้แกวตั้งแต่แรก แต่ยังจัดกิจกรรมการเปิดตัวรถแบบนี้ได้หน้าตาเฉย
และมาตัดราคา 50% แบบนี้ ผู้บริหารที่ทำแบบนี้ ส่วนตัวผมว่า เลวร้ายมากๆ
หนำซ้ำ ยังมาตัดราคา 50% อยู่รุ่นเดียวอีก หากมองในฝั่งผู้บริโภค กับสินค้าระดับราคานี้
และกับบริษัทระดับโลกแบบนี้ มันโคดไม่แฟร์อย่างมาก
ทำไมถ้าบริษัทจะเจ๊ง จะต้องดึงเอาคนซื้อให้เจ๊งตามไปด้วย
ทำไมไม่เจ๊งไปคนเดียว จริงไหม? แล้วคนที่ต้องเสียเงินไปครึ่งล้านเขาก็เสียหาย
กันมากกว่าที่บริษัทระดับโลกเสียหาย เพราะมันเป็นชีวิตของคน ผมไม่อยากมองนะ
ว่าคนที่ซื้อ Captiva จะรวย และคงไม่เดือดร้อนเท่าไหร่
สิ่งที่ Chevrolet ควรทำแต่แรก ถ้ารู้ว่าจะเลิกกิจการ ก็ควรขายราคา 50%
ตั้งแต่แรก หรือถ้าเพิ่งรู้ คนกลุ่มแรกที่ต้องซื้อราคาเต็มไปก็ควรได้รับเงินส่วนต่างคืน
เชฟอาจจะต้องควักเงิน 4-5 ร้อยล้าน มันก็ควรนะ เพิ่งกี่เดือนมาเอง
แต่บริษัทระดับโลกขนาดนี้ จะไม่รู้มาก่อนเลยหรือ? ว่าตัวเองจะปิดตัว
อย่างน้อยก็ต้องผู้บริหารรู้