ประสบการณ์หนีเที่ยวคนเดียว + ขึ้นเครื่องบินครั้งแรก

วันนี้จะมาเล่าเรื่องที่เรา (หนี) ไปเที่ยวกระบี่เมื่อหลายปีที่แล้ว พอดีเพิ่งเปิดเจอไฟล์ที่บันทึกไว้เลยเอามาลงกระทู้ค่ะ เริ่มแรกด้วยความอัดอั้นตันใจ ไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลยตั้งแต่เรียนจบมา ทำแต่งานๆๆอย่างเดียว เลยกดจองทริปไปแบบมือลั่น แล้วบอกที่บ้านว่าจะเข้ากทม.สักสองสามวันไปหาเพื่อน วางแผนการร้ายซะอย่างดิบดี พอถึงวันที่ 21 ม.ค. 2016 เราก็ออกเดินทาง

                เริ่มจากเดินทางโดยรถตู้หน้าค่ายทหารแถววัดโสธรที่ฉะเชิงเทรา ไปลงฟิวเจอร์ปาร์ครังสิต รถตู้จอดได้แต่เลนนอก เพราะเลนในจอดกันเต็ม ตอนนั้นฝนเพิ่งเริ่มตก ออกมาอย่างเปียก แล้วเราก็วิ่งขึ้นแท็กซี่ที่จอดรออยู่ บอกพี่เขาไปสนามบินดอนเมือง พอไปถึงที่สนามบินก็ไม่รู้ว่าเขาต้องจอดตรงไหนกัน พอเห็นป้ายอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ ก็เลยบอกพี่จอดตรงนี้แหละ เพิ่งมาครั้งแรก 55

                พอเข้าไปข้างในก็เดินตามคนอื่นขึ้นไปชั้นบน ปรากฏว่า… คนเยอะมากกกก เยอะแบบเยอะจริงๆ คิดว่าเลยปีใหม่มาแล้วและไม่ใช่วันหยุดเสาร์อาทิตย์คนน่าจะน้อย แต่เปล่า สงสัยยังอยู่ในช่วงไฮซีซั่น ทัวร์จีนนี่อยู่กันเต็ม Air Asea มีฝรั่งบ้าง นอกนั้นเป็นคนไทย ของเราสายการบิน LionAir ดีที่เราปริ้นท์ตั๋วจากอินเทอร์เน็ตมาแล้ว เลยเดินเข้า Gate ไปเลย ทางเข้ามีตรวจกระเป๋าด้วยเครื่องแสกน เราก็ทำตามคนข้างหน้า คือเอากระเป๋าใส่ตะกร้า และเอาลงสายพานเข้าเครื่องสแกน แต่เราดันเอาเป้กับกระเป๋าสะพายใส่รวมไว้ในตะกร้าเดียว พนักงานบอกให้แยกเป็น 2 ตะกร้า ใส่กระเป๋าคนละตะกร้า หน้าแตก! = = ถัดไปก็ต้องตรวจบัตรประชาชน วีซ่า ตั๋ว เดินต่อแถวกันเป็นรูปตัว S วนไปวนมา อยากบอกว่าข้างในแอร์หนาวมาก ดันลืมเอาเสื้อกันหนาวมาอีก และไม่คิดว่าจะหนาวขนาดนี้

                พอเข้าไปใน Gate ได้ก็เดินดูไปภายในเรื่อยๆ (บ้านนอกเข้ากรุง 555) มีที่นั่งรอ เซเว่น ห้องน้ำ เดินเลี้ยวไปตามป้ายบอก ในตั๋วเป็น Gate 34 เดินผ่านร้าน Booths เลยแวะเข้าไปซื้อครีมกันแดดแบบกันน้ำ กับกาวิสค่อน เป็นโรคกระเพาะค่ะ - - แถมด้วยสมัครสมาชิกฟรีด้วย เสร็จแล้วก็เดินไปเข้าห้องน้ำ เดินต่อไปเรื่อยๆ จนถึง Gate 34 ข้างในคนเยอะอีกเช่นเคย นั่งพักอยู่แป๊ปนึง แล้วก็ถ่ายรูป โดนฝรั่งมองแปลกๆ สงสัยเขาคงคิดว่าจะถ่ายรูปในสนามบินทำไม ต้องถ่ายตอนไปเที่ยวสิ ก็นะมาเที่ยวคนเดียวครั้งแรก ขึ้นเครื่องบินก็ครั้งแรก ขอเห่อหน่อยละกัน นั่งอยู่สักพักก็เริ่มหิว เลยเดินกลับไปซื้ออะไรกินที่เซเว่น เดินเข้าไปข้างใน รู้สึกเหมือนว่าเซเว่นจะถล่ม คนแบบแน่นเอียด เราก็แทรกตัวเข้าไปซื้อขนมปังกับน้ำมาได้ รอดตาย

                แล้วก็เดินกลับมานั่งกินที่ Gate 34 เหมือนเดิน เห็นนักบิน 3 คนยืนคุยกันอยู่เป็นภาษาอังกฤษ มีฝรั่ง 1 ไทย 2 คน ฝรั่งมีอายุกันแล้ว แต่คนไทยยังหนุ่มอยู่ แต่สูงน้อยกว่า เลยต้องเงยหน้าคุย ก็นะปกติของคนเอเชียอ่ะเนอะ แล้วเราก็เดินไปนั่งกินตรงที่นั่ง แล้วก็รออีกสักพักใหญ่ คนก็เริ่มทยอยมากันเพียบ มายืนรอกันอยู่หน้าเคาน์เตอร์ เราก็สงสัย เริ่มกระวนกระวาย เลยเดินไปถามพนักงานว่าตั๋วถูกไหม พนักงานคนนั้นเป็นนักศึกษาน่าจะมาทำงาน part-time เขาพยักหน้าและบอกถูก ดูเขาหน้าเครียดๆ สงสัยเพราะคนมายืนออกันเต็ม
เราได้ที่นั่ง 11A เลยได้เรียกให้เข้าคิวก่อน พนักงานตรวจตั๋วเราหน้าเคานเตอร์ แล้วเราก็เดินเข้าไปข้างในตามทางเพื่อขึ้นเครื่องบิน พอเข้าไปในตัวเครื่องก็รู้สึกว่า…เล็ก ไม่เห็นเหมือนในหนังเลย (ก็มันชั้น economy ไงจะเอาไรมาก) แต่ที่สำคัญคือแอร์หนาวกว่าใน Gate ซะอีก เลยเดินไปขอผ้าห่มจากแอร์โฮสเตสใส่ชุดจีนสีแดงสวย แต่เขาบอกว่าไม่มี ร้องไห้...TT  เราได้นั่งแถว A ติดริมหน้าต่าง เลยได้เห็นวิวข้างนอก ถือว่าโชคดีนะสำหรับการขึ้นเครื่องบินครั้งแรก

                ผู้โดยสารคนอื่นเริ่มทยอยกันเข้ามาจนครบ ฝรั่งจะมาช้ากว่า คงเพราะต้องตรวจวีซ่าด้วย คนไทยตรวจบัตรประชาชนอย่างเดียว ฝรั่งเลยดูหงุดหงิดกัน ท่าจะรอนาน คือแบบเขายืนเข้าคิวกันก่อนคนเอเชีย แต่ได้ขึ้นทีหลังสุด ระหว่างนั่งรอเราก็เอาคู่มือที่เสียบอยู่หลังพนักผิงเบาะข้างหน้ามาอ่าน แล้วก็พยายามจะรัดเข็มขัด แต่ไม่สำเร็จ - - สักพักแถวที่เรานั่งอยู่ก็มีคนมานั่งจนครบ 3 คน เป็นผู้หญิงหมด คนใกล้เราเป็นนักศึกษา ท่าทางจะขึ้นบ่อย นั่งเสร็จก็หลับเลย (ตอนขึ้นรถตู้ก็เจอนักศึกษา เห็นแล้วอยากกลับไปเรียนใหม่ ว่าไปนั่น) อีกคนเป็นผู้หญิงวัยทำงาน 2 คนนี้เหมือนกันอยู่อย่างคือหลับตลอดทาง เราคงตื่นเต้นมากไปสินะ - -

                แล้วก็มีประกาศจากกัปตันว่าเครื่องจะขึ้นบินแล้ว ให้คาดเข็มขัดนิรภัย เราก็ดูคนข้างๆ คาดเสร็จอย่างเร็ว เราคิดในใจ ทำไมเขาดูทำง่ายจัง เลยคาดตาม พอล้อเลื่อนก็ได้เวลาเครื่องขึ้น เครื่องบินวิ่งไปตามรันเวย์ เร่งความเร็วขึ้นเรื่อยๆ ตอนนั้นเริ่มกลัว แต่พอเครื่องบินลอยอยู่บนฟ้าแล้วเราก็รู้สึกเหมือนตัวลอยอยู่ในอากาศไปด้วย พอได้มองวิวจากข้างนอกหน้าต่างบานเล็กๆ นั่นแล้วมันสุดยอดจริงๆ เห็นตึกอาคารเต็มพื้นดิน ค่อยๆ เยอะขึ้นและเล็กลงเรื่อยๆ มีเมฆขาวๆ เป็นฉาก มันสวยมาก

พอเครื่องจะลดระดับเพื่อรักษาเพดานบิน ก็ปวดหัว หน้ามืด เหมือนจะเป็นลม รู้สึกตัวหนักๆ มือไม่มีแรง ยกขึ้นมาก็หล่นไปอยู่บนที่วางแขน พอเหลือบมองคนข้างๆ ก็เห็นว่ากุบขมับ ส่วนอีกคนหลับตาแบบคิ้วขมวด แสดงว่าเราไม่ได้เป็นอยู่คนเดียว สงสัยคงเป็นเพราะความดันอากาศเปลี่ยนมั่ง (มั่ว) แถมมีเสียงเด็กๆ ร้องไห้กันจ้าละวั่น อยู่เบาะหน้าคนหนึ่ง ข้างหน้าทางขวาคนหนึ่ง ข้างหลังอีกคน ยิ่งปวดหัวเข้าไปใหญ่ แต่ก็เข้าใจนะ ขนาดเรายังกลัวเลย แล้วเด็กทารกจะเหลือเหรอ เพราะอยู่ๆ ก็รู้สึกร่างกายมันเปลี่ยนไปแบบกะทันหัน พอร่างกายเริ่มชิน ก็เริ่มหายมึน แต่รู้สึกเหมือนตัวจะเบาขึ้น พอมองวิวด้านนอกหน้าต่างก็เห็นสีขาวจางๆ ของกลุ่มเมฆ ด้านล่างเป็นสีน้ำเงินเข้มของน้ำทะเล เป็นภาพที่น่าประทับใจมาก

สักพักแอร์ก็มาแจกขนมกับน้ำ ขนมเป็นโอริโอ้ เรากินเรียบ เพราะหิวมาก 2 คนด้านข้างไม่กินไม่ทำอะไรทั้งนั้นหลับลูกเดียว ส่วนเราหลับๆ ตื่นๆ ตลอดทาง เห็นแอร์แอบชำเหลืองมอง แถวนี้หลับทุกคน 55 สักพักเราได้กลิ่นอันหอมฉุย… มันคือมาม่า!! ณ จุดๆ นั้น คือแบบ โ-ค-ต-ร อยากกิน กลิ่นแบบหอมหวนรัญจวนใจมาก ( ว่าไปนั่น - -a ) อยู่ในเครื่อง กลิ่นมันก็ไม่ไปไหนไม่ได้ เข้าจมูกอย่างเดียว เราก็ได้แต่คิดในใจว่า ‘อดทนไว้ ใกล้ถึงแล้ว’ ท่องคาถา?

และพอเริ่มเห็นเกาะ กัปตันก็ประกาศว่า… ตอนนี้ยังลงจอดไม่ได้ ต้องบินวนรอบๆ ไปก่อน โอ้แม่เจ้า! คิดซะว่าพาชมวิวก็แล้วกัน จริงๆ เวลาเดินทางก็ประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า แต่เราหนาวแล้วก็รู้สึกอึดอัดเหมือนหายใจไม่ค่อยออก คงเพราะอยู่บนเครื่องบินด้วย ตอนเครื่องบินร่อนลงก็แอบเสียวอยู่เหมือนกัน แบบท้องมันรู้สึกโหวงๆ แล้วพอได้ยินเสียงล้อขูดไปกับพื้นรันเวย์ ก็รู้ว่าถึงพื้นดินแล้ว เย้! และแล้วก็ถึงสนามบินกระบี่เป็นที่เรียบร้อย

พอลงมาจากเครื่อง ก็รู้สึกว่า…..ทำไมสนามบินเล็กจัง 55 ( ถ้าเทียบกับดอนเมือง ) แล้วเราก็เดินงงๆ ตามคนข้างหน้าเข้าไปในอาคารผู้โดยสาร เดินต่อมาถึงที่จุดคนรอรับ รู้สึกเหมือนในหนังที่มีคนมายืนชูป้ายชื่อรอ เราก็เดินๆ หาชื่อตัวเอง พอเจอก็เห็นว่าเขาเขียนนามสกุลผิด 55 (ประจำ) คนถือป้ายรอเราเป็นพนักงานขับรถตู้พาไปส่งที่โรงแรม เข้าทักว่ามาคนเดียวเหรอ เราก็แค่พยักหน้าตอบรับไป กำลังมึน พี่เขาบอกโทรไปไม่รับ เราก็บอกเพิ่งเปิดมือถือ เครื่องลงดีเลนิดหน่อย และขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน พี่เขาพยักหน้าหงึกงัก เหมือนพี่เข้าจะรอนาน ประมาณว่าเอาเลยตามสบาย

เราก็รีบเดินไปเข้าห้องน้ำ เสร็จแล้วก็เดินตามพี่เขาออกไปข้างนอก พี่บอกให้ยืนรอตรงนี้ เดี๋ยวจะเอารถมารับ ตอนนั้นประมาณ 6 โมงเย็น แต่แดดเปรี้ยงมาก ส่องเข้าตาพอดี - - ข้างๆ เรามีกรุ๊ปทัวร์จีนกำลังรอรถตู้อยู่เหมือนกัน ดูวุ่นวายมาก ส่วนเราก็ดูงงๆ กับชีวิต รอสักแป๊ป พี่เขาก็มา สรุปว่ารถตู้ทั้งคันมีเรานั่งคนเดียวจ้า อ๋อรวมพี่คนขับเป็นสองคน (รอบพิเศษเหรอเนี่ย o.o) พี่เขาก็พามาส่งโรงแรมที่อยู่ในตัวเมือง ด้านนอกเป็นตึกแถว 2 คูหา เราก็แจ้งชื่อกับพนักงาน รับการ์ด ขึ้นลิฟต์ เดินไปหาห้องตามเลขการ์ดในมือ พอเปิดเข้าไปก็ได้กลิ่น…เหม็นอับ - - เลยเปิดผ้าม่านหน้าต่างออกหมด พอวางของเสร็จแล้วก็เดินไปชมวิวนอกระเบียง เห็นแต่ตึก 55 จัดของอะไรนิดหน่อยก็ลงไปข้างล่าง หาข้าวกิน แถวนั้นมีร้านข้าวอยู่พอดี 
เข้าไปในร้านข้าว ในใจคิดว่ามาทะเล ก็ต้องกินอาหารทะเลสิ เลยสั่งข้าวผัดทะเลรวมมิตร แต่ว่ากุ้งดันเป็นกุ้งแม่น้ำ ( เสียใจ) ระหว่างกินข้าวที่ร้านก็เปิดทีวีช่อง 3 เปาปุ่นจิ้นมาพอดี ช่วงนั้นกำลังติดอยู่ เลยดูไปกินไปจนจบตอน ใช้เวลากินข้าว 1 ชั่วโมง แถมกินไม่หมดอีกต่างหาก กินไปได้ครึ่งจาน เลยขอห่อกลับไปด้วย ซื้อน้ำดื่มขวดใหญ่อีก1 ขวด กลับขึ้นห้อง จริงๆ ก็อยากไปเดินเล่นแถวนั่นอยู่เหมือนกัน แต่มันมืดแล้ว และมาคนเดียว เลยคิดว่าไปกบดานในห้องน่าจะดีกว่า พอถึงห้องก็วางของ เปิดทีวี ไปนั่งอืดนอนอืดอยู่บนเตียง ความรู้สึกตอนนั้นคืออิ่มมาก อยากนอน แต่ก็จุก เลยลุกมากินยากาวิสค่อนแบบซองที่ซื้อมา พออาหารเริ่มย่อยก็ไปอาบน้ำ ถ่ายรูปห้องลงมือถือ เล่นเน็ต ดูทีวี พอได้ทีแล้วก็นอน (นี่คือมาเที่ยวจริงเหรอ นึกว่ามาทำกิจกรรมหลังอาหารเย็นที่บ้านซะอีก - -" ) จำได้ว่าตอนนอนหนาวมาก เราเป็นคนขี้หนาว เลยหลับๆ ตื่นๆ ทั้งคืน ตื่นมาก็ปิดแอร์ พอเริ่มร้อน ตื่นมาอีกทีก็เปิดแอร์ อยู่อย่างนี้ตลอดจนเช้า คงเปลืองไฟเขาน่าดู
ตื่นเช้ามาอาบน้ำแต่งตัวจัดของ ( ยังนอนไม่อิ่ม) เสร็จแล้วลงไปกินข้าว ตอนนั้นรู้สึกว่าเช้าเกิน กินอะไรไม่ค่อยลง (มีปัญหาเรื่องกระเพาะและลำไส้ = = ) แต่ก็เดินลงไปห้องอาหารที่อยู่ชั้นใต้ดิน ( ติดกับที่จอดรถ ) เพราะถ้าไม่กินข้าวเช้าก็ไม่มีแรง ที่สำคัญที่สุดคือเสียดายตังค์ 55 เพราะเขาให้ฟรีอาหารเช้า 1 มื้อนั่นเอง อาหารเช้าเป็นบุฟเฟ่ต์ เรากินโจ๊ก ไข่ดาว แฮม ไส้กรอก นม น้ำส้ม น้ำเปล่า คืออยากกินมากกว่านี้ แต่เช้าไปเลยกินไม่ลง (นี่เรียกว่ากินไม่ค่อยลงแน่เหรอ) มองไปรอบๆ มีแต่ฝรั่งประมาณ 3 โต๊ะ จีน 1 โต๊ะ ไทย 2 โต๊ะ (รวมเราด้วย) โต๊ะที่เป็นคนไทยแต่งตัวเหมือนจะไปทำงาน คงมางานสัมมนาอะไรสักอย่าง แต่ทุกคนแอบชำเหลืองมองมาที่เรา เพราะเรามาคนเดียว อย่างน้อยๆ เขาก็มากัน 2 คน รู้สึกเกร็งอย่างบอกไม่ถูก มีแต่คนมอง ก็เลยรีบกินรีบไป เสียดายถ้านั่งชิวๆ คงกินได้เยอะกว่านี้ (แหะๆ) พอกินเสร็จก็ขึ้นไปชั้น 1 รอรถของบริษัททัวร์มารับ

                ตอนที่นั่งรอ คนอื่นๆ เป็นชาวต่างชาติกันหมด มีแต่ฝรั่ง มีเราคนไทย แถมมาคนเดียวโด่เด่ เรารอจนฝรั่งหายหมด คือรถของบริษัททัวร์อื่นมารับกันไปหมดแล้ว เหลือเราคนเดียว - - ประมาณ 8.30 น. รถของบริษัทเราก็มา ไม่ใช่รถตู้ แต่เป็นคล้ายๆ รถซูบารุ สงสัยกลัวเปียกตอนขากลับ แต่ถ้าราคานี้ก็โอเค (2,990 ทัวร์พร้อมที่พัก ไม่รวมค่าตั๋วเครื่องบินอีก 2,145 บาท) บนรถมีคู่รักชาวไทยนั่งอยู่ก่อน ผู้หญิงผมยาวถักเปีย ใส่ชุดว่ายน้ำลายสีฟ้า สวยดี เป็นเสื้อแขนยาวขาสั้น ส่วนเราใส่ไว้ข้างใน และใส่เดรส แถมเสื้อคลุมทับอีกที หลายชั้นได้อีก - - เรามองหน้าเขา เขามองหน้าเรา ทักทายกันนิดหน่อย และรถก็ไปจอดกับคันอื่นๆ ที่อยู่แถวริมทะเล มีร้านค้าและโรงแรมตลอดทาง เราเลยแวะเข้าห้องน้ำที่เบอร์เกอร์คิง แถมไม่ซื้อเบอร์เกอร์ด้วย :p ตอนเข้าห้องน้ำมีฝรั่งคนหนึ่งยืนรออยู่ก่อน รออยู่นานมาก คนในห้องน้ำก็ไม่ออกมาซะที ฝรั่งเคาะเรียกแล้วถามว่า You’re OK? ก็ไม่มีใครตอบ สรุปว่าห้องล็อคอยู่ ต้องไปขอกุญแจที่พนักงาน ( กรรม - -“ ) เข้าห้องน้ำเสร็จก็ออกมายืนรอข้างนอก มีคนอื่นๆ มาเพิ่มบ้าง แต่ยังไม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่