นกอินทรีทะเลจับค้างคาวโยนลงทะเลซ้ำๆ
ย้อนเวลากลับไปในปี 2017 ในระหว่างที่ทีมนักนิเวศวิทยาการอนุรักษ์ ซึ่งนำทีมโดยคุณ Sheema Abdul Aziz ได้ทำการได้เดินทางไปสำรวจ “ค้างคาวแม่ไก่” (Pteropus hypomelanus) บนเกาะ Tioman ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของประเทศมาเลเซีย พวกเขาได้พบกับเรื่องราวสุดแปลกเรื่องหนึ่ง
เมื่อในระหว่างที่ทีมงานนั่งพักอยู่ในร้านกาแฟริมหาด พวกเขาได้สังเกตเห็น นกอินทรีทะเลปากขาว (Haliaeetus leucogaster) ตัวหนึ่งบินโฉบเอาค้างคาวแม่ไก่ไปจากต้นไม้ และบินนำมันไปทิ้งในทะเล
เรื่องที่เกิดขึ้นนี้สร้างนับว่าเป็นพฤติกรรมที่ค่อนข้างแปลก ดังนั้นทีมวิจัยจึงตัดสินใจจับภาพเรื่องที่เกิดขึ้นเอาไว้ ในขณะที่เฝ้ามองเจ้าค้างคาวค่อยๆ ว่ายน้ำทะเลกลับมายังชายฝั่ง (นักนิเวศวิทยาการโดยมากจะไม่เข้าไปรบกวนการล่ากันเองตามธรรมชาติของสัตว์ป่า)
ในตอนแรกที่เห็นเรื่องที่เกิดขึ้น ทีมนักวิจัยได้สันนิษฐานเอาไว้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นอุบัติเหตุซึ่งเกิดขึ้นจากความไม่ชำนาญของนกอินทรีทะเลปากขาวที่ทำเหยื่อตกน้ำเฉยๆ แต่พวกเขาก็ต้องรู้สึกทึ่งเป็นอย่างมากหลังจากนั้น
หลังจากราวๆ 20 นาที เมื่อค้างคาวแม่ไก่สามารถว่ายน้ำกลับถึงฝั่งได้ ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง นกอินทรีทะเลปากขาวที่อยู่แถวนั้นกลับบินโฉบเจ้าค้างคาวกลับไปปล่อยในทะเลอีกครั้ง
เรื่องราวที่เกิดขึ้นดำเนินไปอีกสักพักใหญ่ๆ ก่อนที่เจ้าค้างคาวจะว่ายน้ำกลับมายังฝั่งได้ในสภาพใกล้ตายเต็มทน และมีรูอยู่บนปีก ซึ่งนับว่าน่าเสียดายมากที่ในตอนนั้น เรือของทีมวิจัยถึงกำหนดการที่จะออกจากฝั่งพอดี ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ทราบชะตากรรมหลังจากนั้นของเจ้าค้างคาวอย่างที่ควร
เธอได้ทำวิจัยเกี่ยวกับสิ่งที่เห็น โดยงานวิจัยชิ้นใหม่นี้ ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Bat Research & Conservation และไม่เพียงแต่จะเป็นการอธิบายสิ่งที่ Aziz พบเท่านั้น แต่มันยังมีการกล่าวถึงเหตุผลที่น่าจะเป็นไปได้ เกี่ยวกับพฤติกรรมเช่นนี้ของนกอินทรีทะเลปากขาวด้วย
Aziz และเพื่อนร่วมงานก็ตั้งข้อสันนิษฐานว่ามันจะเป็นไปได้ไหม ที่การกระทำของนกอินทรีทะเลจะเป็นเพียงหนึ่งในวิธีการล่าเหยื่ออย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น เพราะในบรรดาสัตว์ นกอินทรีทะเลปากขาวถือว่าเป็นสัตว์ที่มีการล่าเหยื่อแบบไม่สิ้นเปลืองพลังงานสูง ดังนั้นมันจึงมีความเป็นไปได้ที่ว่าการกระทำเหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นเพื่อให้ค้างคาวแม่ไก่ซึ่งตัวค่อนข้างใหญ่หมดแรง และไม่อาจขัดขืนได้ในตอนที่ถูกกินจริงๆ ไม่ใช่การรังแกอย่างไร้เหตุผล
ด้วยความที่ทีมนักวิจัยไม่ได้มีโอกาสยืนยันว่าสุดท้ายแล้วค้างคาวแม่ไก่ถูกกินหรือไม่ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถฟันธงได้ว่าแนวคิดของพวกเขาถูกต้อง
ที่มา gizmodo และ Journal of Bat Research & Conservation
Cr.
https://www.catdumb.tv/eagle-torturing-bat-by-dropping-it-in-the-ocean-378/ By เหมียวศรัทธา
ไขปริศนาภาพฟลามิงโกเจาะหัวกันเอง
สำหรับคนที่ติดตามข่าวในวงการวิทยาศาสตร์ในช่วงนี้ เชื่อว่าบางคนอาจจะมีโอกาสได้เห็นภาพ หรือวิดีโอแปลกๆ ของนกฟลามิงโกสองตัวที่ดูเหมือนจะกำลังเฉาะหัวกันเองในระหว่างการให้อาหารลูกผ่านตากันมาบ้าง เพราะภาพดังกล่าวนี้ ในปัจจุบันกำลังเป็นที่กล่าวถึงอย่างมากในโลกโซเชียลของต่างประเทศเลย
แท้จริงแล้วไม่ใช่ภาพของนกที่กำลังทำร้ายนกอีกตัวในระหว่างการให้อาหารลูก หรือภาพของนกฟลามิงโกที่เฉาะหัวนกอีกตัวเพื่อเอาเลือดมาให้ลูกนกกินอย่างที่หลายๆ คนอาจจะคิด แต่กลับกันมันเป็นภาพของนกสองตัวที่กำลังพยายามให้อาหารลูกนกอยู่
โดยของเหลวสีแดงที่เราเห็นกันนั้น ไม่ใช่เลือด แต่มันเป็นน้ำนมพืชสีแดง ที่เกิดจากต่อมแบบพิเศษในคอของนกฟลามิงโก ซึ่งตามปกตินกฟลามิงโกจะป้อนน้ำดังกล่าวให้ลูกนกโดยตรงผ่านจะงอยปากของมัน
อย่างไรก็ตามในกรณีของภาพนี้ ดูเหมือนว่าลูกนกฟลามิงโกจะได้รับการป้อนอาหารจากนกอีกตัวอยู่แล้ว ดังนั้นด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างนกฟลามิงโกตัวด้านบนจึงตัดสินใจที่จะไม่รอให้ถึงคิวป้อนนมของตัวเองและคายนมออกมาบนหัวนกฟลามิงโกอีกตัวเพื่อให้น้ำนมไหลตามหัวของมันไปยังปากลูกนกเสียเลย
ภาพวิดีโอนกฟลามิงโกให้อาหารลูกนกจาก Science Channel
(
https://www.facebook.com/ScienceChannel/videos/281265562849697/)
ที่มา reddit และ Science Channel
Cr.
https://www.catdumb.tv/flamingo-is-not-bludgeoning-the-head-of-another-378/ By เหมียวศรัทธา
มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพียงสองชนิดที่ชอบกินพริก
ผลการศึกษาใหม่ล่าสุดพบว่า กระแตจีนเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพียงชนิดเดียว (ไม่นับรวมมนุษย์) ที่ชื่นชอบรสชาติเผ็ดร้อนเป็นชีวิตจิตใจ
ทีมนักวิทยาศาสตร์ของจีนพบการกลายพันธุ์ของตัวรับ TRPV1 ในเซลล์ประสาทรับความรู้สึกที่ทำหน้าที่ระมัดระวังความเผ็ดร้อน หรือความเป็นกรด ปกติแล้วตัวรับเหล่านี้พบได้ทั่วไปในลิ้นและคอของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เพื่อช่วยกระตุ้นเตือนสมองไม่ให้สัมผัสกับอาหารที่มีสารแคปไซซิน (Capsaicin) มากเกินไป ทว่าการกลายพันธุ์ได้ส่งผลให้การรับรู้ความรู้สึกเผ็ดร้อนจากสารแคปไซซินในพริกลดน้อยลง นั่นหมายความว่ากระแตเหล่านี้จะไม่รู้สึกเผ็ดร้อนเท่าไหร่ เมื่อพวกมันเคี้ยวกินพริก
Yalan Han นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันวิทยาศาสตร์จีน พร้อมด้วยทีมวิจัยทราบมาว่า บรรดากระแตจีนนั้นชื่นชอบการแทะกินผลของต้นพริกท้องถิ่น ซึ่งพบได้ทั่วไปในระบบนิเวศแบบป่าฝนทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน
ในการศึกษาวิจัย ทีมวิจัยใช้กระแตป่าจำนวน 5 ตัว และหนูป่าอีก 6 ตัว พร้อมด้วยพริกไทยสกุล Piper boehmeriaefolium พริกท้องถิ่นของจีนในการทดลอง พวกเขาสกัดเอาสารแคปไซซิลออกจากพริกไทย และฉีดให้แก่สัตว์ทั้งสองกลุ่ม จากนั้นพวกเขาวัดความเจ็บปวดจากความเผ็ดร้อนที่เกิดขึ้น โดยดูว่าทั้งหนูและกระแตเลียบริเวณแผลที่ถูกฉีดบ่อยแค่ไหน ซึ่งผลการทดลองเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ นั่นคือหนูเลียมากกว่ากระแต
หลังจากนั้นสัตว์ที่เข้าร่วมการทดลองทั้งหมดถูกวางยาให้เสียชีวิต นักวิทยาศาสตร์ตัดหัวของพวกมัน ผ่าเอาสมองออกมาตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ โดยระหว่างหนูและกระแตนั้น พวกเขาพบว่าในกระแตมีกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่ช่วยให้กระแตสามารถกินพริกได้ โดยไม่รู้สึกเผ็ดร้อน ผลการค้นพบล่าสุดนี้ถูกเผยแพร่ลงในวารสาร PLOS Biology
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า การกลายพันธุ์ของยีนช่วยให้พวกมันสามารถกินผลพริกได้ โดยไม่ต้องรู้สึกทรมาน ปกติแล้วพืชจะมีวิวัฒนาการปรับเปลี่ยนเคมีในผลของมันเอง เพื่อป้องกันการถูกกินจากสัตว์ และดูเหมือนว่าสัตว์วิวัฒนาการตอบสนองให้พวกมันสามารถรับมือกับสารเคมีในพืชด้วยเช่นกัน
เรื่อง Richie Hertzberg
Cr.
https://ngthai.com/animals/12472/two-mammals-like-spicy-food/ NGThai
“ลูกวัว” เกิดในวันวาเลนไทน์ พร้อมด้วย “รูปหัวใจ” กลางหน้าผาก
ที่ฟาร์มแห่งหนึ่งในประเทศไอร์แลนด์ ได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ในวันแห่งความรัก ซึ่งมันยังพกพาเอาความน่ารักติดหน้าผากมาด้วย
ณ ฟาร์ม Parkshaw ในเมือง Antrim พวกเขาได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ กับโชคชะตาที่ดูเหมือนว่ามันถูกลิขิตให้เกิดมาในวันวาเลนไทน์โดยเฉพาะ สังเกตได้จากลวดลายบนหน้าผากของมัน สมาชิกใหม่ที่ว่านี้ก็คือ “ลูกวัว” ที่มีรูปหัวใจติดอยู่กลางหน้าผาก เขาตั้งชื่อเจ้าลูกวัวตัวนี้ว่า Be My Valentine
เรียบเรียงโดย #เหมียวตะปู
ที่มา: BelfastLive , Unilad , LadBible
Cr.
https://www.catdumb.tv/be-my-valentine-cow-339/ By เหมียวตะปู
ภาพรางวัลช่างภาพสัตว์ป่าแห่งปี 2019
Yongqing Bao ช่างภาพชาวจีนคว้างรางวัลชนะเลิศภาพประกวดช่างภาพสัตว์ป่าแห่งปี (Wildlife Photographer of the Year) ประจำปี 2019 ด้วยผลงานภาพกระรอกท่าทางตกใจเมื่อพบจิ้งจอกทิเบตกำลังจ้องจู่โจมระยะประชิด ด้วยท่าทางสุดตลกของเจ้ากระรอก
ซึ่งภาพดังกล่าวนาย Bao บันทึกได้ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขตเทือกเขาฉีเหลียน ระหว่างมณฑลชิงไห่กับมณฑลกานซูทางตอนเหนือของจีน เมื่อช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา
การประกวดช่างภาพสัตว์ป่าแห่งนี้ นั้นเป็นการประกวดภาพถ่ายของบรรดาสัตว์ป่าที่จัดขึ้นทุกปีโดย พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางธรรมชาติแห่งลอนดอน (London's Natural History Museum) ประเทศอังกฤษ
เจ้าของผลงานภาพถ่ายได้เล่าถึงช่วงเวลาลั่นชัตเตอร์ช็อตเด็ดนี้ว่า เขากำลังเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของเจ้ากระรอกมาร์ม็อตตัวหนึ่งกับสุนัขจิ้งจอกทิเบตที่กำลังแอบติดตามเหยื่อโดยที่เจ้ากระรอกมาร์ม็อตตัวนั้นไม่ทันรู้ตัว กระทั่งมันหันมาเจอกับสุนัขจิ้งจอก จึงกลายเป็นท่าทางตกใจสุดฮาที่เขาเก็บภาพไว้ได้ ก่อนที่กระรอกมาร์ม็อตจะมุดลงรูหนีไป รอดตัวเกือบตกเป็นอาหารของเจ้าจิ้งจอกไปได้อย่างหวุดหวิด
Roz Kidman Cox ประธานกรรมการผู้ตัดสินกล่าวว่า "ภาพนี้เป็นจังหวะที่สมบูรณ์อย่างมาก การแสดงออกด้วยท่าทางของกระรอกทำให้พวกเราทึ่งมาก"
"ภาพถ่ายจากที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบตนับเป็นภาพที่หาได้ยาก ภาพนี้แสดงให้เห็นความทรงพลังระหว่างจิ้งจอกกับกระรอกมาร์ม็อต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อาหารตามธรรมชาติ ยิ่งทำให้ภาพนี้มีความพิเศษ"
Cr.
https://www.posttoday.com/world/603703
ที่มาของคำว่า "น้ำตาจระเข้"
คำว่า น้ำตาจระเข้ หรือที่แปลมาจากวลีในภาษาอังกฤษว่า "crocodile tears" นั้น มาจากการที่พบว่า เมื่อจระเข้งับเหยื่อ มันจะมีน้ำตาไหลออกมาด้วย ทำให้คนเข้าใจผิด คิดว่าจระเข้กำลังสงสารเหยื่อ แต่มันจำใจต้องกินเหยื่อนั้น เพื่อให้ตัวเองอยู่รอด
ถึงแม้ว่า จระเข้จะมีต่อมน้ำตา (lachrymal glands) ที่ทำหน้าที่สร้างน้ำตา ออกมาหล่อลื่นดวงตา เหมือนกับของคน แต่การที่มันมีน้ำตาออกมาระหว่างที่งับเหยื่อนั้น ไม่ใช่เพราะความสงสาร แต่เกิดจากกระดูกขากรรไกรไปบีบต่อมน้ำตาของมัน ทำให้น้ำตาไหลออกมาอย่างอัตโนมัตินั่นเอง
ภาพผีเสื้อรุมตอม ดื่มน้ำตาจระเข้
นักวิทยาศาสตร์รู้สึกทึ่งไปตามๆกัน เมื่อสังเกตพบแมลงอย่างผีเสื้อและผึ้งบินมาตอมกินน้ำตาของจระเข้เคย์แมนยักษ์ ตัวใหญ่เท่าเรือสำปั้น ขณะสัตว์ยักษ์อันน่าหวั่นหวาดนอนผึ่งแดดอยู่อย่างนิ่งเฉย
วารสารสมาคมนิเวศวิทยาแห่งอเมริกา เปิดเผย ยังมีผู้สังเกตพบเหตุการณ์แบบนี้อีกหลายครั้งในดินแดนประเทศคอสตาริกา และเอกวาดอร์ ของอเมริกาใต้ รวมกระทั่งรายงานการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ของผึ้งมาดูดกินน้ำตาคน ในประเทศไทย
จากการศึกษาเพียงเบื้องต้น นักธรรมชาติวิทยาเชื่อว่าการที่แมลงเหล่านั้นทำไปเพื่อหาเกลือแร่และโปรตีน ซึ่งหายากในธรรมชาติเช่นนั้นกิน โดยทั่วไปแล้วในที่อันเป็นที่ดอนมักจะหาเกลือแร่และวิตามินได้ยาก เป็นเรื่องที่เคยเกิดมาแล้ว ยามขาดแคลนเข้าจริงๆพวกสัตว์มักจะแสวงหาสิ่งเหล่านี้เอาตามเหงื่อ น้ำตา ปัสสาวะ และแม้กระทั่งโลหิตของสัตว์อื่น หมือนอย่างที่มีนักชีววิทยาเคยเห็นผึ้งดูดกินน้ำตาเต่าในวนอุทยานยาซูนิแห่งชาติของเอกวาดอร์มาแล้ว
พวกเขากล่าวว่า จะต้องพยายามหาข้อมูลในเรื่องนี้ให้มากขึ้น เพื่อศึกษาหาเหตุผลที่แท้จริงสิ่งเหล่านี้ในเวลาต่อไป.
ขอขอบคุณที่มา
http://animalsfocus.blogspot.com/search/label/
ข้อมูล จาก
https://www.zcooby.com/crocodile-tears/
ภาพประกอบ จาก
http://www.newsrealblog.com/…/u…/2010/09/crocodile_tears.jpg
Cr.
https://www.thairath.co.th/content/421034 / ไทยรัฐออนไลน์
Cr.
https://ja-jp.facebook.com/OhISeebyAjarnJess/posts/815926505557071 / อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)
สัตว์เหล่านี้มีความแปลก
ย้อนเวลากลับไปในปี 2017 ในระหว่างที่ทีมนักนิเวศวิทยาการอนุรักษ์ ซึ่งนำทีมโดยคุณ Sheema Abdul Aziz ได้ทำการได้เดินทางไปสำรวจ “ค้างคาวแม่ไก่” (Pteropus hypomelanus) บนเกาะ Tioman ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของประเทศมาเลเซีย พวกเขาได้พบกับเรื่องราวสุดแปลกเรื่องหนึ่ง
เมื่อในระหว่างที่ทีมงานนั่งพักอยู่ในร้านกาแฟริมหาด พวกเขาได้สังเกตเห็น นกอินทรีทะเลปากขาว (Haliaeetus leucogaster) ตัวหนึ่งบินโฉบเอาค้างคาวแม่ไก่ไปจากต้นไม้ และบินนำมันไปทิ้งในทะเล
เรื่องที่เกิดขึ้นนี้สร้างนับว่าเป็นพฤติกรรมที่ค่อนข้างแปลก ดังนั้นทีมวิจัยจึงตัดสินใจจับภาพเรื่องที่เกิดขึ้นเอาไว้ ในขณะที่เฝ้ามองเจ้าค้างคาวค่อยๆ ว่ายน้ำทะเลกลับมายังชายฝั่ง (นักนิเวศวิทยาการโดยมากจะไม่เข้าไปรบกวนการล่ากันเองตามธรรมชาติของสัตว์ป่า)
ในตอนแรกที่เห็นเรื่องที่เกิดขึ้น ทีมนักวิจัยได้สันนิษฐานเอาไว้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นอุบัติเหตุซึ่งเกิดขึ้นจากความไม่ชำนาญของนกอินทรีทะเลปากขาวที่ทำเหยื่อตกน้ำเฉยๆ แต่พวกเขาก็ต้องรู้สึกทึ่งเป็นอย่างมากหลังจากนั้น
หลังจากราวๆ 20 นาที เมื่อค้างคาวแม่ไก่สามารถว่ายน้ำกลับถึงฝั่งได้ ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง นกอินทรีทะเลปากขาวที่อยู่แถวนั้นกลับบินโฉบเจ้าค้างคาวกลับไปปล่อยในทะเลอีกครั้ง
เรื่องราวที่เกิดขึ้นดำเนินไปอีกสักพักใหญ่ๆ ก่อนที่เจ้าค้างคาวจะว่ายน้ำกลับมายังฝั่งได้ในสภาพใกล้ตายเต็มทน และมีรูอยู่บนปีก ซึ่งนับว่าน่าเสียดายมากที่ในตอนนั้น เรือของทีมวิจัยถึงกำหนดการที่จะออกจากฝั่งพอดี ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ทราบชะตากรรมหลังจากนั้นของเจ้าค้างคาวอย่างที่ควร
เธอได้ทำวิจัยเกี่ยวกับสิ่งที่เห็น โดยงานวิจัยชิ้นใหม่นี้ ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Bat Research & Conservation และไม่เพียงแต่จะเป็นการอธิบายสิ่งที่ Aziz พบเท่านั้น แต่มันยังมีการกล่าวถึงเหตุผลที่น่าจะเป็นไปได้ เกี่ยวกับพฤติกรรมเช่นนี้ของนกอินทรีทะเลปากขาวด้วย
Aziz และเพื่อนร่วมงานก็ตั้งข้อสันนิษฐานว่ามันจะเป็นไปได้ไหม ที่การกระทำของนกอินทรีทะเลจะเป็นเพียงหนึ่งในวิธีการล่าเหยื่ออย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น เพราะในบรรดาสัตว์ นกอินทรีทะเลปากขาวถือว่าเป็นสัตว์ที่มีการล่าเหยื่อแบบไม่สิ้นเปลืองพลังงานสูง ดังนั้นมันจึงมีความเป็นไปได้ที่ว่าการกระทำเหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นเพื่อให้ค้างคาวแม่ไก่ซึ่งตัวค่อนข้างใหญ่หมดแรง และไม่อาจขัดขืนได้ในตอนที่ถูกกินจริงๆ ไม่ใช่การรังแกอย่างไร้เหตุผล
ด้วยความที่ทีมนักวิจัยไม่ได้มีโอกาสยืนยันว่าสุดท้ายแล้วค้างคาวแม่ไก่ถูกกินหรือไม่ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถฟันธงได้ว่าแนวคิดของพวกเขาถูกต้อง
ที่มา gizmodo และ Journal of Bat Research & Conservation
Cr.https://www.catdumb.tv/eagle-torturing-bat-by-dropping-it-in-the-ocean-378/ By เหมียวศรัทธา
ไขปริศนาภาพฟลามิงโกเจาะหัวกันเอง
สำหรับคนที่ติดตามข่าวในวงการวิทยาศาสตร์ในช่วงนี้ เชื่อว่าบางคนอาจจะมีโอกาสได้เห็นภาพ หรือวิดีโอแปลกๆ ของนกฟลามิงโกสองตัวที่ดูเหมือนจะกำลังเฉาะหัวกันเองในระหว่างการให้อาหารลูกผ่านตากันมาบ้าง เพราะภาพดังกล่าวนี้ ในปัจจุบันกำลังเป็นที่กล่าวถึงอย่างมากในโลกโซเชียลของต่างประเทศเลย
แท้จริงแล้วไม่ใช่ภาพของนกที่กำลังทำร้ายนกอีกตัวในระหว่างการให้อาหารลูก หรือภาพของนกฟลามิงโกที่เฉาะหัวนกอีกตัวเพื่อเอาเลือดมาให้ลูกนกกินอย่างที่หลายๆ คนอาจจะคิด แต่กลับกันมันเป็นภาพของนกสองตัวที่กำลังพยายามให้อาหารลูกนกอยู่
โดยของเหลวสีแดงที่เราเห็นกันนั้น ไม่ใช่เลือด แต่มันเป็นน้ำนมพืชสีแดง ที่เกิดจากต่อมแบบพิเศษในคอของนกฟลามิงโก ซึ่งตามปกตินกฟลามิงโกจะป้อนน้ำดังกล่าวให้ลูกนกโดยตรงผ่านจะงอยปากของมัน
อย่างไรก็ตามในกรณีของภาพนี้ ดูเหมือนว่าลูกนกฟลามิงโกจะได้รับการป้อนอาหารจากนกอีกตัวอยู่แล้ว ดังนั้นด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างนกฟลามิงโกตัวด้านบนจึงตัดสินใจที่จะไม่รอให้ถึงคิวป้อนนมของตัวเองและคายนมออกมาบนหัวนกฟลามิงโกอีกตัวเพื่อให้น้ำนมไหลตามหัวของมันไปยังปากลูกนกเสียเลย
ภาพวิดีโอนกฟลามิงโกให้อาหารลูกนกจาก Science Channel
(https://www.facebook.com/ScienceChannel/videos/281265562849697/)
ที่มา reddit และ Science Channel
Cr.https://www.catdumb.tv/flamingo-is-not-bludgeoning-the-head-of-another-378/ By เหมียวศรัทธา
มีสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพียงสองชนิดที่ชอบกินพริก
ผลการศึกษาใหม่ล่าสุดพบว่า กระแตจีนเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพียงชนิดเดียว (ไม่นับรวมมนุษย์) ที่ชื่นชอบรสชาติเผ็ดร้อนเป็นชีวิตจิตใจ
ทีมนักวิทยาศาสตร์ของจีนพบการกลายพันธุ์ของตัวรับ TRPV1 ในเซลล์ประสาทรับความรู้สึกที่ทำหน้าที่ระมัดระวังความเผ็ดร้อน หรือความเป็นกรด ปกติแล้วตัวรับเหล่านี้พบได้ทั่วไปในลิ้นและคอของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เพื่อช่วยกระตุ้นเตือนสมองไม่ให้สัมผัสกับอาหารที่มีสารแคปไซซิน (Capsaicin) มากเกินไป ทว่าการกลายพันธุ์ได้ส่งผลให้การรับรู้ความรู้สึกเผ็ดร้อนจากสารแคปไซซินในพริกลดน้อยลง นั่นหมายความว่ากระแตเหล่านี้จะไม่รู้สึกเผ็ดร้อนเท่าไหร่ เมื่อพวกมันเคี้ยวกินพริก
Yalan Han นักวิทยาศาสตร์จากสถาบันวิทยาศาสตร์จีน พร้อมด้วยทีมวิจัยทราบมาว่า บรรดากระแตจีนนั้นชื่นชอบการแทะกินผลของต้นพริกท้องถิ่น ซึ่งพบได้ทั่วไปในระบบนิเวศแบบป่าฝนทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน
ในการศึกษาวิจัย ทีมวิจัยใช้กระแตป่าจำนวน 5 ตัว และหนูป่าอีก 6 ตัว พร้อมด้วยพริกไทยสกุล Piper boehmeriaefolium พริกท้องถิ่นของจีนในการทดลอง พวกเขาสกัดเอาสารแคปไซซิลออกจากพริกไทย และฉีดให้แก่สัตว์ทั้งสองกลุ่ม จากนั้นพวกเขาวัดความเจ็บปวดจากความเผ็ดร้อนที่เกิดขึ้น โดยดูว่าทั้งหนูและกระแตเลียบริเวณแผลที่ถูกฉีดบ่อยแค่ไหน ซึ่งผลการทดลองเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ นั่นคือหนูเลียมากกว่ากระแต
หลังจากนั้นสัตว์ที่เข้าร่วมการทดลองทั้งหมดถูกวางยาให้เสียชีวิต นักวิทยาศาสตร์ตัดหัวของพวกมัน ผ่าเอาสมองออกมาตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ โดยระหว่างหนูและกระแตนั้น พวกเขาพบว่าในกระแตมีกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่ช่วยให้กระแตสามารถกินพริกได้ โดยไม่รู้สึกเผ็ดร้อน ผลการค้นพบล่าสุดนี้ถูกเผยแพร่ลงในวารสาร PLOS Biology
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่า การกลายพันธุ์ของยีนช่วยให้พวกมันสามารถกินผลพริกได้ โดยไม่ต้องรู้สึกทรมาน ปกติแล้วพืชจะมีวิวัฒนาการปรับเปลี่ยนเคมีในผลของมันเอง เพื่อป้องกันการถูกกินจากสัตว์ และดูเหมือนว่าสัตว์วิวัฒนาการตอบสนองให้พวกมันสามารถรับมือกับสารเคมีในพืชด้วยเช่นกัน
เรื่อง Richie Hertzberg
Cr.https://ngthai.com/animals/12472/two-mammals-like-spicy-food/ NGThai
“ลูกวัว” เกิดในวันวาเลนไทน์ พร้อมด้วย “รูปหัวใจ” กลางหน้าผาก
ที่ฟาร์มแห่งหนึ่งในประเทศไอร์แลนด์ ได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ในวันแห่งความรัก ซึ่งมันยังพกพาเอาความน่ารักติดหน้าผากมาด้วย
ณ ฟาร์ม Parkshaw ในเมือง Antrim พวกเขาได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ กับโชคชะตาที่ดูเหมือนว่ามันถูกลิขิตให้เกิดมาในวันวาเลนไทน์โดยเฉพาะ สังเกตได้จากลวดลายบนหน้าผากของมัน สมาชิกใหม่ที่ว่านี้ก็คือ “ลูกวัว” ที่มีรูปหัวใจติดอยู่กลางหน้าผาก เขาตั้งชื่อเจ้าลูกวัวตัวนี้ว่า Be My Valentine
เรียบเรียงโดย #เหมียวตะปู
ที่มา: BelfastLive , Unilad , LadBible
Cr.https://www.catdumb.tv/be-my-valentine-cow-339/ By เหมียวตะปู
ภาพรางวัลช่างภาพสัตว์ป่าแห่งปี 2019
Yongqing Bao ช่างภาพชาวจีนคว้างรางวัลชนะเลิศภาพประกวดช่างภาพสัตว์ป่าแห่งปี (Wildlife Photographer of the Year) ประจำปี 2019 ด้วยผลงานภาพกระรอกท่าทางตกใจเมื่อพบจิ้งจอกทิเบตกำลังจ้องจู่โจมระยะประชิด ด้วยท่าทางสุดตลกของเจ้ากระรอก
ซึ่งภาพดังกล่าวนาย Bao บันทึกได้ที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขตเทือกเขาฉีเหลียน ระหว่างมณฑลชิงไห่กับมณฑลกานซูทางตอนเหนือของจีน เมื่อช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา
การประกวดช่างภาพสัตว์ป่าแห่งนี้ นั้นเป็นการประกวดภาพถ่ายของบรรดาสัตว์ป่าที่จัดขึ้นทุกปีโดย พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ทางธรรมชาติแห่งลอนดอน (London's Natural History Museum) ประเทศอังกฤษ
เจ้าของผลงานภาพถ่ายได้เล่าถึงช่วงเวลาลั่นชัตเตอร์ช็อตเด็ดนี้ว่า เขากำลังเฝ้าสังเกตพฤติกรรมของเจ้ากระรอกมาร์ม็อตตัวหนึ่งกับสุนัขจิ้งจอกทิเบตที่กำลังแอบติดตามเหยื่อโดยที่เจ้ากระรอกมาร์ม็อตตัวนั้นไม่ทันรู้ตัว กระทั่งมันหันมาเจอกับสุนัขจิ้งจอก จึงกลายเป็นท่าทางตกใจสุดฮาที่เขาเก็บภาพไว้ได้ ก่อนที่กระรอกมาร์ม็อตจะมุดลงรูหนีไป รอดตัวเกือบตกเป็นอาหารของเจ้าจิ้งจอกไปได้อย่างหวุดหวิด
Roz Kidman Cox ประธานกรรมการผู้ตัดสินกล่าวว่า "ภาพนี้เป็นจังหวะที่สมบูรณ์อย่างมาก การแสดงออกด้วยท่าทางของกระรอกทำให้พวกเราทึ่งมาก"
"ภาพถ่ายจากที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบตนับเป็นภาพที่หาได้ยาก ภาพนี้แสดงให้เห็นความทรงพลังระหว่างจิ้งจอกกับกระรอกมาร์ม็อต ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อาหารตามธรรมชาติ ยิ่งทำให้ภาพนี้มีความพิเศษ"
Cr.https://www.posttoday.com/world/603703
ที่มาของคำว่า "น้ำตาจระเข้"
คำว่า น้ำตาจระเข้ หรือที่แปลมาจากวลีในภาษาอังกฤษว่า "crocodile tears" นั้น มาจากการที่พบว่า เมื่อจระเข้งับเหยื่อ มันจะมีน้ำตาไหลออกมาด้วย ทำให้คนเข้าใจผิด คิดว่าจระเข้กำลังสงสารเหยื่อ แต่มันจำใจต้องกินเหยื่อนั้น เพื่อให้ตัวเองอยู่รอด
ถึงแม้ว่า จระเข้จะมีต่อมน้ำตา (lachrymal glands) ที่ทำหน้าที่สร้างน้ำตา ออกมาหล่อลื่นดวงตา เหมือนกับของคน แต่การที่มันมีน้ำตาออกมาระหว่างที่งับเหยื่อนั้น ไม่ใช่เพราะความสงสาร แต่เกิดจากกระดูกขากรรไกรไปบีบต่อมน้ำตาของมัน ทำให้น้ำตาไหลออกมาอย่างอัตโนมัตินั่นเอง
ภาพผีเสื้อรุมตอม ดื่มน้ำตาจระเข้
นักวิทยาศาสตร์รู้สึกทึ่งไปตามๆกัน เมื่อสังเกตพบแมลงอย่างผีเสื้อและผึ้งบินมาตอมกินน้ำตาของจระเข้เคย์แมนยักษ์ ตัวใหญ่เท่าเรือสำปั้น ขณะสัตว์ยักษ์อันน่าหวั่นหวาดนอนผึ่งแดดอยู่อย่างนิ่งเฉย
วารสารสมาคมนิเวศวิทยาแห่งอเมริกา เปิดเผย ยังมีผู้สังเกตพบเหตุการณ์แบบนี้อีกหลายครั้งในดินแดนประเทศคอสตาริกา และเอกวาดอร์ ของอเมริกาใต้ รวมกระทั่งรายงานการศึกษาทางวิทยาศาสตร์ของผึ้งมาดูดกินน้ำตาคน ในประเทศไทย
จากการศึกษาเพียงเบื้องต้น นักธรรมชาติวิทยาเชื่อว่าการที่แมลงเหล่านั้นทำไปเพื่อหาเกลือแร่และโปรตีน ซึ่งหายากในธรรมชาติเช่นนั้นกิน โดยทั่วไปแล้วในที่อันเป็นที่ดอนมักจะหาเกลือแร่และวิตามินได้ยาก เป็นเรื่องที่เคยเกิดมาแล้ว ยามขาดแคลนเข้าจริงๆพวกสัตว์มักจะแสวงหาสิ่งเหล่านี้เอาตามเหงื่อ น้ำตา ปัสสาวะ และแม้กระทั่งโลหิตของสัตว์อื่น หมือนอย่างที่มีนักชีววิทยาเคยเห็นผึ้งดูดกินน้ำตาเต่าในวนอุทยานยาซูนิแห่งชาติของเอกวาดอร์มาแล้ว
พวกเขากล่าวว่า จะต้องพยายามหาข้อมูลในเรื่องนี้ให้มากขึ้น เพื่อศึกษาหาเหตุผลที่แท้จริงสิ่งเหล่านี้ในเวลาต่อไป.
ขอขอบคุณที่มา http://animalsfocus.blogspot.com/search/label/
ข้อมูล จาก https://www.zcooby.com/crocodile-tears/
ภาพประกอบ จาก http://www.newsrealblog.com/…/u…/2010/09/crocodile_tears.jpg
Cr.https://www.thairath.co.th/content/421034 / ไทยรัฐออนไลน์
Cr.https://ja-jp.facebook.com/OhISeebyAjarnJess/posts/815926505557071 / อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง by อาจารย์เจษฎ์
(ขอขอบคุณที่มาของข้อมูลทั้งหมดและขออนุญาตนำมา)