สวัสดีแฟนบอลทุกคนในพันทิปและจากช่องทางอื่น ๆ ด้วยครับ ในช่วงสองวีคเอนด์ที่ผ่านมา เราอาจได้มีโอกาสเห็นอาร์มสัญลักษณ์ใหม่ บนแขนเสื้อด้านขวาของนักเตะกัน ซึ่งมีลักษณะที่เป็นรูปศีรษะคนซ้อนกันสามหัว...
และมีคำว่า "
Heads Up"
แน่นอนว่า มันไม่ใช่สัญลักษณ์ของพรีเมียร์ลีก ในแบบที่เราเห็นกันปกติ และในเมื่อมันเป็นพื้นที่เดียวของสโมสรส่วนมากในลีก ที่จะยังติดอาร์มของลีกได้ (เพราะแขนซ้าย สโมสรส่วนมากเจียดไปให้สปอนเซอร์ใช้งานพื้นที่กันแล้ว) ทำไมพรีเมียร์ลีกถึงต้องให้ความสำคัญกับเจ้า Heads Up นี้มากขนาดนั้น? วันนี้เรามาหาคำตอบกัน...
แคมเปญจากราชวงศ์ หนึ่งในหลายแคมเปญดี ๆ ของพรีเมียร์ลีก
ในช่วง 2-3 ฤดูกาลที่ผ่านมา พรีเมียร์ลีกนั้น พยายามนำเสนอซึ่งแคมเปญในการรณรงค์ถึงปัญหาเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับทั้งวงการฟุตบอล และเรื่องทั่วไปในสังคม อาทิ แคมเปญ "Kick It Out" สำหรับการต่อต้านการเหยียดผิว, "Rainbow Laces" สำหรับ "This is everyone's game" ที่เป็นแคมเปญเพื่อความเท่าเทียมทางเพศ และรณรงค์เรื่องความเท่าเทียมของกลุ่มเพศทางเลือก (LGBTQ) หรือกระทั่งแคมเปญอื่น ๆ ที่เราจะได้มีโอกาสเห็นในส่วนของ "ทีมแฟนตาซี" อย่างเช่น Ocean Rescue ที่เป็นการต่อต้านการทิ้งพลาสติกและขยะลงในทะเล ของ Sky Sports ที่เป็นหนึ่งในช่องทีวีกีฬาที่ได้สิทธิ์ในการถ่ายทอดเกมพรีเมียร์ลีกบางส่วน
Kick It Out สำหรับต่อต้านการเหยียดผิว
Rainbow Laces สำหรับรณรงค์เรื่องความเท่าเทียมทางเพศ
Ocean Rescue แคมเปญของ Sky Sports
ทีนี้มาที่ Heads Up...
Heads Up เป็นชื่อโครงการที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างสมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือ FA (ที่แปลงตัวย่อ FA เป็นโควทเท่ ๆ สำหรับแคมเปญนี้ด้วยคือ For All หรือเพื่อทุกคนนั่นเอง) และโครงการ
Heads Together ที่ทรงดำเนินงานโดย
ดยุกและดัสเชสแห่งเคมบริดจ์ หรือเจ้าชายวิลเลียม กับเจ้าหญิงเคทฯ และ ดยุกแห่งซัสเซกซ์ หรือ เจ้าชายเฮนรี ตั้งแต่ปี 2016 ซึ่งเป็นโครงการที่เกิดขึ้นสำหรับรองรับปัญหาเรื่องสุขภาพจิตหรือ mental health โดยให้ผู้คนที่มีข่ายอาการปัญหาของสุขภาพจิตหรือภาวะจิตใจไม่มั่นคงในสหราชอาณาจักรนั้น ได้มีโอกาสมาพบปะสังสรรค์ พูดคุย ทำกิจกรรมและแชร์ประสบการณ์ในชีวิตร่วมกัน ซึ่งในส่วนของแคมเปญฟุตบอลนั้น ก็ได้ดยุคแห่งเคมบริดจ์ มาร่วมทำการพูดคุยถึงประสบการณ์ในเรื่องของความสนใจในฟุตบอล ซึ่งได้มีการโพสต์ลงในโซเชียลของพรีเมียร์ลีก ช่วงสองวีกเอนด์ที่ผ่านมา (ช่วงเบรกแรกของการหนีหนาว ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ และ 15 กุมภาพันธ์ นับว่าเป็นแมตช์วีกเดียวกันกับสัปดาห์ที่จบไป) รวมไปถึงเรื่องของสุขภาพจิตด้วย
สัญลักษณ์ของ Heads Together ที่คล้ายคลึงกับ Heads Up
เจ้าชายวิลเลียม เจ้าหญิงเคท และเจ้าชายแฮร์รี่ บุคคลสำคัญของโครงการนี้
วิดีโอที่ว่า อันนี้เป็นวิดีโอที่ลงในแชนแนลของ Heads Together

ความร่วมมือโดยเอฟเอ
---
ถ้าจำกันได้ เอฟเอนั้นเคย Tease ถึงแคมเปญนี้ ผ่านรายการ เอฟเอ คัพ ในเกมรอบสามมาแล้ว โดยทำการ "เว้นวรรค" เวลาเริ่มเกมจากเดิมดีเลย์มา 1 นาที เช่น เกมเตะสองทุ่ม ก็เริ่มเตะสองทุ่มหนึ่งนาที โดยหนึ่งนาทีนั้น เป็นการแสดงออกทางสัญลักษณ์เพื่อให้ผู้คนนั้น ใช้เวลาในการตระหนักถึงเรื่องสุขภาพจิต (
https://www.mirror.co.uk/sport/football/news/fa-cup-third-round-kick-21190009) จนมาในช่วงแมตช์วีกที่ผ่านมา ที่พรีเมียร์ลีก ทำอาร์มพิเศษขึ้น มาติดแทนที่สัญลักษณ์อาร์มของลีก ในด้านที่ไม่ใช่สปอนเซอร์แขนเสื้อคือด้านขวามือนั่นเอง
รวมไปถึงทีมในพรีเมียร์ลีก ก็ได้ร่วมแสดงการสนับสนุนแคมเปญนี้ โดยการโพสต์ข่าว โพสต์บทความของสโมสร หรือให้นักเตะของสโมสรออกมาพูดถึงเรื่องสุขภาพจิต โดยลงผ่านโซเชียลของสโมสร
(ตัวอย่างของ แมนฯ ยูไนเต็ด ภายใต้แคมเปญที่ใช้ชื่อที่ตั้งโดยสโมสรคือ
#allredallequal ซึ่งจริง ๆ มีมาตั้งแต่ช่วงกระแสเหยียดผิวนักเตะในทีมและเพื่อนร่วมลีกแล้ว)
และก็รวมไปถึงสโมสรในระดับล่าง ที่อยู่ในการดูแลของ EFL ด้วย
(ตัวอย่างของ
เลย์ตัน โอเรียนท์ ที่แม้อยู่ในลีกทูก็ร่วมแคมเปญนี้)
จริง ๆ สโมสรในระดับของ EFL ทั้งสามลีกคือ แชมป์เปียนชิพ ลีกวัน และลีกทูนั้น ก็มีแคมเปญเรื่องสุขภาพจิตของตัวเองอยู่แล้วครับ คือ "Mind" ซึ่งทำการรณรงค์ผ่านเบอร์นักเตะและฟอนต์ชื่อครับ โดยจะเห็นว่าตัวอักษรแรกนั้นจะเป็นลักษณะของความคิดที่ดูยุ่งเหยิงครับ
"ให้ความสำคัญกับสุขภาพจิต เหมือนกับเรื่องของฟุตบอล"
---
พระดำรัสหรือคำพูดจากดยุกแห่งเคมบริดจ์ ที่ได้ให้ไว้อย่างน่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือการที่ใช้การเชื่อมโยงกันระหว่างเรื่องของฟุตบอล และเรื่องของสุขภาพจิตได้แบบถูกจุด โดยเปรียบเรื่องของฟุตบอล เป็นสุขภาพกาย (physical health) ไป และอีกเรื่องก็คือสุขภาพจิต
พระองค์ตรัสว่า
"ลองคิดดูว่าถ้าเรานั้นพูดถึงเรื่องของสุขภาพจิตมากเท่าเรื่องของฟุตบอล...ผู้คนนั้นไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้มากนักในยุคนี้ และไม่ว่าทีมที่เราเชียร์คือทีมอะไร, แฟนบอลทุก ๆ คน, นักเตะ และผู้จัดการทีมนั้นต่างก็มีสิ่งนี้เหมือนกัน เราต่างมีสุขภาพจิตของตัวเอง ในแบบเดียวกันกับที่เรามีสุขภาพกายเหมือน ๆ กัน และเราต่างก็เผชิญหรือเลี่ยงผลกระทบกับชีวิตที่เกิดขึ้นจากมัน มันถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องพูดถึงการดูแลสุขภาพจิตเหมือนกับที่เราพยายามดูแลสุขภาพกายของเรา และก็เริ่มพูดคุยถึงเรื่องนี้กัน"
(เพื่อป้องกันการแปลผิด ขออนุญาตยกต้นฉบับมาด้วยแล้วกันครับ...
"Imagine if we talked about mental health as much as we talk about football...
"Many of us won’t go a day without talking about it. And whatever team we support, every single fan, player and manager has one thing in common – we all have mental health, in the same way that we all have physical health.
"And we will all face ups and downs in life which will affect it. It’s time we start taking our mental fitness as seriously as we do our physical fitness, and that starts with talking.")
ในส่วนของพรีเมียร์ลีกนั้น ไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องนี้แบบยกกรณีศึกษามาโดยตรง โดย ริชาร์ด มาสเตอร์ส ตัวแทนของลีกนั้น ได้พูดในแนวทางเดียวกันกับดยุกฯ ที่ต้องการให้ผู้คนในวงการฟุตบอล "ร่วมกันตระหนักถึงปัญหานี้" และเป็นแบบอย่างของการให้ความสำคัญในเรื่องของสุขภาพจิต
("...All our clubs, their staff, managers and players are backing this campaign to help remove stigma and encourage fans to talk openly about their own mental health...)
ถึงตรงนี้ แฟนบอลหลาย ๆ คนอาจหลงลืมไปบ้างว่า เรื่องสุขภาพจิตกับวงการฟุตบอลนั้น สัมพันธ์กันและใกล้ชิดกันเกินกว่าคาดคิด...แต่ถ้าลองนึกถึงกรณีศึกษาที่ผ่านมาดู ก็นับว่ามีตัวอย่างไม่น้อย สำหรับเจ้าปัญหาสุขภาพจิตนี้ ที่เกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อคนในวงการลูกหนัง
เอาเฉพาะในพรีเมียร์ลีก
เอมมานูเอล เอบูเอ้ เคยค้าแข้งในอังกฤษ และเคยมีปัญหาเรื่องสุขภาพจิต
แดนนี่ โรส เคยมีปัญหาเรื่องความเครียด
อารอน เลนน่อน ครั้งนึงเคยมีคนพบที่ข้างถนนด้วยสภาพที่ดูไม่จืด เขาไม่ได้บาดเจ็บทางกาย แต่จิตใจของเขานั้นกำลังประสบปัญหาบางอย่าง
และที่ลืมไม่ลง...
แกรี่ สปีด ตำนานของลีก ที่จบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย เพราะปัญหาทางจิตใจ ที่ตอนนั้นยังเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก และคำว่า "สุขภาพจิต" นั้นยังไม่เป็นที่คุ้นกันเท่าทุกวันนี้ด้วยซ้ำ
อย่างที่ดยุกฯ ได้กล่าวไว้ คนเรามีสุขภาพจิตเหมือนกับสุขภาพกายกันหมดทุกคน และสุขภาพของเรานั้นจะมีปัญหาได้ ถ้าเราไม่ดูแลรักษามันให้ดี หรือพยายามที่จะบำรุงดูแลมัน
มันอาจยากกว่าการวิ่งในสวนสาธารณะ หรือการไปฟิตเนส ซึ่งเป็นวิธีแบบการดูแลสุขภาพกาย ที่เราทำเป็นกิจวัตรได้
เพราะสุขภาพจิตนั้น เป็นสิ่งที่คาดเดายากพอ ๆ กัน หรืออาจมากกว่า เพราะมันสังเกตได้ยากกว่าการดูแลร่างกายของเราที่เราสามารถเห็นจากภายนอกได้ แต่นี่เป็นเรื่องภายในใจ ที่เราต้องพยายามดูแลมันไว้ ให้มันอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ดี ไม่มีความเครียด ไม่มีเรื่องรุมเร้า หรือปัญหาที่ทำให้เราตกอยู่ในสถานการณ์คับขันจากภาวะทางจิตใจได้
เราอาจไม่ต้องตระหนกตื่นตูมไปตลอด 24 ชั่วโมงว่า "เราจะเครียดเกินไปมั้ย" "เราจะมีจิตใจที่รุมเร้าจนทำให้มืดแปดด้าน หาที่พึ่งไม่ได้หรือเปล่า"
แต่แค่เรา ลองคิดดูว่า วันนี้เราตระหนักถึงเรื่องสุขภาพจิตเราพอรึยัง และกล้า ที่จะเปิดอกเปิดใจ หาใครสักคนร่วมพูดคุยเรื่องนี้ไปด้วยกัน
ฟุตบอล อยู่กับชีวิตเราอย่างน้อย 90 นาทีต่อสัปดาห์ฉันใด สุขภาพจิตเรานั้นไซร้อยู่กับเรานานกว่า อย่าลืมใส่ใจดูแลกันบ่อย ๆ นะครับ
เขียน: Charlie (ผมเอง) และ
ทีมงานเพจสุสานแห่งอังกฤษ
ข้อมูลสังเขปเพิ่มเติม
: คำค้นหา "football and mental health"
:
https://en.wikipedia.org/wiki/Mental_health_in_association_football
:
https://www.goal.com/en-us/news/what-is-heads-up-premier-league-clubs-fa-mental-health/rgyn1o3w92vt1hzpu33q4fh8k
พิสูจน์อักษรล่าสุด: 2020.02.19 - 21.44 ICT
เป็นกำลังใจให้ผู้ที่มีปัญหาโรคซึมเศร้า และสภาวะทางจิตใจทุกคนครับ
(ภาพโดย
ITV ที่ถ่ายเพื่อโปรโมทช่วงเกมเอฟเอ คัพ รอบสาม ที่ผ่านมา)
ถึงเวลา "Heads Up" กลับมาใส่ใจ "สุขภาพจิต" ที่สำคัญไม่แพ้ "สุขภาพกาย"
และมีคำว่า "Heads Up"
แน่นอนว่า มันไม่ใช่สัญลักษณ์ของพรีเมียร์ลีก ในแบบที่เราเห็นกันปกติ และในเมื่อมันเป็นพื้นที่เดียวของสโมสรส่วนมากในลีก ที่จะยังติดอาร์มของลีกได้ (เพราะแขนซ้าย สโมสรส่วนมากเจียดไปให้สปอนเซอร์ใช้งานพื้นที่กันแล้ว) ทำไมพรีเมียร์ลีกถึงต้องให้ความสำคัญกับเจ้า Heads Up นี้มากขนาดนั้น? วันนี้เรามาหาคำตอบกัน...
ในช่วง 2-3 ฤดูกาลที่ผ่านมา พรีเมียร์ลีกนั้น พยายามนำเสนอซึ่งแคมเปญในการรณรงค์ถึงปัญหาเรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับทั้งวงการฟุตบอล และเรื่องทั่วไปในสังคม อาทิ แคมเปญ "Kick It Out" สำหรับการต่อต้านการเหยียดผิว, "Rainbow Laces" สำหรับ "This is everyone's game" ที่เป็นแคมเปญเพื่อความเท่าเทียมทางเพศ และรณรงค์เรื่องความเท่าเทียมของกลุ่มเพศทางเลือก (LGBTQ) หรือกระทั่งแคมเปญอื่น ๆ ที่เราจะได้มีโอกาสเห็นในส่วนของ "ทีมแฟนตาซี" อย่างเช่น Ocean Rescue ที่เป็นการต่อต้านการทิ้งพลาสติกและขยะลงในทะเล ของ Sky Sports ที่เป็นหนึ่งในช่องทีวีกีฬาที่ได้สิทธิ์ในการถ่ายทอดเกมพรีเมียร์ลีกบางส่วน
ทีนี้มาที่ Heads Up...
Heads Up เป็นชื่อโครงการที่เกิดขึ้นจากความร่วมมือระหว่างสมาคมฟุตบอลอังกฤษ หรือ FA (ที่แปลงตัวย่อ FA เป็นโควทเท่ ๆ สำหรับแคมเปญนี้ด้วยคือ For All หรือเพื่อทุกคนนั่นเอง) และโครงการ Heads Together ที่ทรงดำเนินงานโดย ดยุกและดัสเชสแห่งเคมบริดจ์ หรือเจ้าชายวิลเลียม กับเจ้าหญิงเคทฯ และ ดยุกแห่งซัสเซกซ์ หรือ เจ้าชายเฮนรี ตั้งแต่ปี 2016 ซึ่งเป็นโครงการที่เกิดขึ้นสำหรับรองรับปัญหาเรื่องสุขภาพจิตหรือ mental health โดยให้ผู้คนที่มีข่ายอาการปัญหาของสุขภาพจิตหรือภาวะจิตใจไม่มั่นคงในสหราชอาณาจักรนั้น ได้มีโอกาสมาพบปะสังสรรค์ พูดคุย ทำกิจกรรมและแชร์ประสบการณ์ในชีวิตร่วมกัน ซึ่งในส่วนของแคมเปญฟุตบอลนั้น ก็ได้ดยุคแห่งเคมบริดจ์ มาร่วมทำการพูดคุยถึงประสบการณ์ในเรื่องของความสนใจในฟุตบอล ซึ่งได้มีการโพสต์ลงในโซเชียลของพรีเมียร์ลีก ช่วงสองวีกเอนด์ที่ผ่านมา (ช่วงเบรกแรกของการหนีหนาว ในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ และ 15 กุมภาพันธ์ นับว่าเป็นแมตช์วีกเดียวกันกับสัปดาห์ที่จบไป) รวมไปถึงเรื่องของสุขภาพจิตด้วย
---
ถ้าจำกันได้ เอฟเอนั้นเคย Tease ถึงแคมเปญนี้ ผ่านรายการ เอฟเอ คัพ ในเกมรอบสามมาแล้ว โดยทำการ "เว้นวรรค" เวลาเริ่มเกมจากเดิมดีเลย์มา 1 นาที เช่น เกมเตะสองทุ่ม ก็เริ่มเตะสองทุ่มหนึ่งนาที โดยหนึ่งนาทีนั้น เป็นการแสดงออกทางสัญลักษณ์เพื่อให้ผู้คนนั้น ใช้เวลาในการตระหนักถึงเรื่องสุขภาพจิต (https://www.mirror.co.uk/sport/football/news/fa-cup-third-round-kick-21190009) จนมาในช่วงแมตช์วีกที่ผ่านมา ที่พรีเมียร์ลีก ทำอาร์มพิเศษขึ้น มาติดแทนที่สัญลักษณ์อาร์มของลีก ในด้านที่ไม่ใช่สปอนเซอร์แขนเสื้อคือด้านขวามือนั่นเอง
(ตัวอย่างของ เลย์ตัน โอเรียนท์ ที่แม้อยู่ในลีกทูก็ร่วมแคมเปญนี้)
"ให้ความสำคัญกับสุขภาพจิต เหมือนกับเรื่องของฟุตบอล"
---
พระดำรัสหรือคำพูดจากดยุกแห่งเคมบริดจ์ ที่ได้ให้ไว้อย่างน่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ คือการที่ใช้การเชื่อมโยงกันระหว่างเรื่องของฟุตบอล และเรื่องของสุขภาพจิตได้แบบถูกจุด โดยเปรียบเรื่องของฟุตบอล เป็นสุขภาพกาย (physical health) ไป และอีกเรื่องก็คือสุขภาพจิต
พระองค์ตรัสว่า "ลองคิดดูว่าถ้าเรานั้นพูดถึงเรื่องของสุขภาพจิตมากเท่าเรื่องของฟุตบอล...ผู้คนนั้นไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องนี้มากนักในยุคนี้ และไม่ว่าทีมที่เราเชียร์คือทีมอะไร, แฟนบอลทุก ๆ คน, นักเตะ และผู้จัดการทีมนั้นต่างก็มีสิ่งนี้เหมือนกัน เราต่างมีสุขภาพจิตของตัวเอง ในแบบเดียวกันกับที่เรามีสุขภาพกายเหมือน ๆ กัน และเราต่างก็เผชิญหรือเลี่ยงผลกระทบกับชีวิตที่เกิดขึ้นจากมัน มันถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องพูดถึงการดูแลสุขภาพจิตเหมือนกับที่เราพยายามดูแลสุขภาพกายของเรา และก็เริ่มพูดคุยถึงเรื่องนี้กัน"
(เพื่อป้องกันการแปลผิด ขออนุญาตยกต้นฉบับมาด้วยแล้วกันครับ...
"Imagine if we talked about mental health as much as we talk about football...
"Many of us won’t go a day without talking about it. And whatever team we support, every single fan, player and manager has one thing in common – we all have mental health, in the same way that we all have physical health.
"And we will all face ups and downs in life which will affect it. It’s time we start taking our mental fitness as seriously as we do our physical fitness, and that starts with talking.")
ในส่วนของพรีเมียร์ลีกนั้น ไม่ได้มีการพูดถึงเรื่องนี้แบบยกกรณีศึกษามาโดยตรง โดย ริชาร์ด มาสเตอร์ส ตัวแทนของลีกนั้น ได้พูดในแนวทางเดียวกันกับดยุกฯ ที่ต้องการให้ผู้คนในวงการฟุตบอล "ร่วมกันตระหนักถึงปัญหานี้" และเป็นแบบอย่างของการให้ความสำคัญในเรื่องของสุขภาพจิต ("...All our clubs, their staff, managers and players are backing this campaign to help remove stigma and encourage fans to talk openly about their own mental health...)
ถึงตรงนี้ แฟนบอลหลาย ๆ คนอาจหลงลืมไปบ้างว่า เรื่องสุขภาพจิตกับวงการฟุตบอลนั้น สัมพันธ์กันและใกล้ชิดกันเกินกว่าคาดคิด...แต่ถ้าลองนึกถึงกรณีศึกษาที่ผ่านมาดู ก็นับว่ามีตัวอย่างไม่น้อย สำหรับเจ้าปัญหาสุขภาพจิตนี้ ที่เกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อคนในวงการลูกหนัง
เอาเฉพาะในพรีเมียร์ลีก
เอมมานูเอล เอบูเอ้ เคยค้าแข้งในอังกฤษ และเคยมีปัญหาเรื่องสุขภาพจิต
แดนนี่ โรส เคยมีปัญหาเรื่องความเครียด
อารอน เลนน่อน ครั้งนึงเคยมีคนพบที่ข้างถนนด้วยสภาพที่ดูไม่จืด เขาไม่ได้บาดเจ็บทางกาย แต่จิตใจของเขานั้นกำลังประสบปัญหาบางอย่าง
และที่ลืมไม่ลง...แกรี่ สปีด ตำนานของลีก ที่จบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย เพราะปัญหาทางจิตใจ ที่ตอนนั้นยังเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก และคำว่า "สุขภาพจิต" นั้นยังไม่เป็นที่คุ้นกันเท่าทุกวันนี้ด้วยซ้ำ
มันอาจยากกว่าการวิ่งในสวนสาธารณะ หรือการไปฟิตเนส ซึ่งเป็นวิธีแบบการดูแลสุขภาพกาย ที่เราทำเป็นกิจวัตรได้
เพราะสุขภาพจิตนั้น เป็นสิ่งที่คาดเดายากพอ ๆ กัน หรืออาจมากกว่า เพราะมันสังเกตได้ยากกว่าการดูแลร่างกายของเราที่เราสามารถเห็นจากภายนอกได้ แต่นี่เป็นเรื่องภายในใจ ที่เราต้องพยายามดูแลมันไว้ ให้มันอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ดี ไม่มีความเครียด ไม่มีเรื่องรุมเร้า หรือปัญหาที่ทำให้เราตกอยู่ในสถานการณ์คับขันจากภาวะทางจิตใจได้
เราอาจไม่ต้องตระหนกตื่นตูมไปตลอด 24 ชั่วโมงว่า "เราจะเครียดเกินไปมั้ย" "เราจะมีจิตใจที่รุมเร้าจนทำให้มืดแปดด้าน หาที่พึ่งไม่ได้หรือเปล่า"
แต่แค่เรา ลองคิดดูว่า วันนี้เราตระหนักถึงเรื่องสุขภาพจิตเราพอรึยัง และกล้า ที่จะเปิดอกเปิดใจ หาใครสักคนร่วมพูดคุยเรื่องนี้ไปด้วยกัน
ฟุตบอล อยู่กับชีวิตเราอย่างน้อย 90 นาทีต่อสัปดาห์ฉันใด สุขภาพจิตเรานั้นไซร้อยู่กับเรานานกว่า อย่าลืมใส่ใจดูแลกันบ่อย ๆ นะครับ
เขียน: Charlie (ผมเอง) และทีมงานเพจสุสานแห่งอังกฤษ
ข้อมูลสังเขปเพิ่มเติม
: คำค้นหา "football and mental health"
: https://en.wikipedia.org/wiki/Mental_health_in_association_football
: https://www.goal.com/en-us/news/what-is-heads-up-premier-league-clubs-fa-mental-health/rgyn1o3w92vt1hzpu33q4fh8k
พิสูจน์อักษรล่าสุด: 2020.02.19 - 21.44 ICT
เป็นกำลังใจให้ผู้ที่มีปัญหาโรคซึมเศร้า และสภาวะทางจิตใจทุกคนครับ
(ภาพโดย ITV ที่ถ่ายเพื่อโปรโมทช่วงเกมเอฟเอ คัพ รอบสาม ที่ผ่านมา)