เราได้พูดกันในโพสก่อนหน้าแล้วถึงผลกระทบของไวร้ส Covid-19 ต่อตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity Market) หลายคนคงสงสัยว่า ในช่วงปี 2020 ควรกอดเงินสดหรือลงทุนดี และถ้าลงทุน ตลาดไหนในโลกที่น่าสนใจ เรามาเช็คโอกาสและความเสี่ยงในแต่ละตลาด สรุปเป็นข้อๆ ดังนี้

* ตลาดหุ้นอเมริกา
.
ตลาดหุ้นอเมริกา ถึงแม้แนวโน้มจะดูเป็นขาขึ้นเสียเป็นส่วนใหญ่ ก็อย่าได้ชะล่าใจนัก เพราะเศรษฐกิจอเมริกาก่อนถึงฤดูเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน อาจจะออกหัวหรือก้อยก็ได้ อเมริกาคงยากที่จะผงาดเดี่ยวหากเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว
.
มาตรการอัดฉีดของธนาคารกลางสหรัฐทําให้สินทรัพย์ส่วนใหญ่มีราคาเกินกว่ามูลค่าจริง
.
นอกนั้นยังมีสงครามการค้าที่ยืดเยื้อระหว่างอเมริกากับจีนนานถึง 18 เดือน และการที่อเมริกาขู่ที่จะเก็บภาษีนําเข้าจากยุโรป อาจทําให้เศรษฐกิจของอเมริกาไม่ได้เสถียรมากเหมือนที่คาดการณ์ไว้
.
* ตลาดหุ้นยุโรป
.
ตั้งอยู่ในทางสายกลาง ไม่พุ่งทะยานเหมือนตลาดหุ้นอเมริกา หรือดูหวั่นๆ เหมือนตลาดหุ้นเอเชีย เราจะมาดูกราฟ MSCI Europe ซึ่งถือเป็นมาตรฐานในการวัดผลตอบแทนของนักลงทุนในโซนนั้นๆ

ดูจากกราฟ 41% ของนําหนัก MSCI Europe มาจาก UK and Swiss ซึ่งเป็น non-Eurozone
.
ตลาดหุ้นยุโรปหากดูในภาพรวม ถึงจะไม่หวือหวา แต่ก็มีความเสี่ยงหลักๆ คือ
.
1. การเปลี่ยนนโยบายการเงิน จากการเปลี่ยนผู้นําหน้าใหม่ของทั้ง ECB และ Bank of England
.
2. การหยุดการอัดฉีด Quantitative Easing (QE) อาจจะเร็วกว่าญี่ปุ่นหรือสหรัฐอเมริกา
.
EU: European Central Bank (ECB) ได้คง negative interest rate มาตั้งแต่กันยายนปีที่แล้ว เราว่าคงเป็นไปได้ยากที่จะลดดอกเบี้ยลงอีก เพราะจะทําให้ผู้ฝากเงินในแบงก์ (pensioners) ไม่พอใจ
.
UK: เราต้องจับตาดูการต่อรองของ Brexit ระหว่าง UK กับ EU ว่าจะราบรื่นขนาดไหน หากไม่มีข้อตกลงจนถึงสิ้นปี จะเป็นผลเสียต่อเศรษฐกิจอังกฤษ Bank of England ถึงแม้อยากจะทํา QE เพิ่มก็อาจทําไม่ได้ เพราะอาจจะส่งผลเสียต่อค่าเงินเฟ้อและค่าเงินปอนด์ที่ร่วงจาก Brexit อยู่แล้ว
.
* ตลาดหุ้นเกิดใหม่
.
ทําไมเรายังไม่ควรถอดใจกับตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging markets) เลยสักทีเดียว

.
ประเทศในกลุ่มนี้ ยังคงมีพื้นที่เพียงพอให้ ธนาคารกลางในประเทศเหล่านั้นใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (Monetary Easing) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่นี่ก็เป็นจุดที่ต้องระวังความสมดุล เพราะการลดดอกเบี้ยจะส่งผลให้ความดึงดูดที่จะถือครองเงินตราของประเทศนั้นๆ ลดลง
.

อย่าลืมว่าตลาดหุ้นเกิดใหม่มีประเทศหลายประเทศที่เป็นผู้ผลิตของสินค้าโภคภัณฑ์ (commodity) ซึ่งเมื่อต้นทุนการผลิตลดลงจากค่าเงินที่ลดลง ก็จะเร่งการผลิตมากขึ้น ซึ่งนั่นจะเร่งทําให้ราคาของ commodity ลดลงมากขึ้นตามไปด้วย
.
หากชอบบทความนี้ ช่วยกดไลค์และแชร์ด้วยครับ (Facebook: @BarracudaStocks)
.
เราจะนําข่าวสาร ข้อมูลที่ดีมานําเสนอในครั้งต่อไป
.
#Global
#fundflow
#เงินลงทุน
#EmergingMarkets
.
อ้างอิง
.
https://www.ecb.europa.eu/…/key_ecb_inte…/html/index.en.html
.
https://www.cnbc.com/…/barclays-shifts-faith-from-us-to-eur…
ตลาดหุ้นโลก (โอกาสและความเสี่ยง)ในปี 2020
* ตลาดหุ้นอเมริกา
.
ตลาดหุ้นอเมริกา ถึงแม้แนวโน้มจะดูเป็นขาขึ้นเสียเป็นส่วนใหญ่ ก็อย่าได้ชะล่าใจนัก เพราะเศรษฐกิจอเมริกาก่อนถึงฤดูเลือกตั้งในเดือนพฤศจิกายน อาจจะออกหัวหรือก้อยก็ได้ อเมริกาคงยากที่จะผงาดเดี่ยวหากเศรษฐกิจทั่วโลกชะลอตัว
.
มาตรการอัดฉีดของธนาคารกลางสหรัฐทําให้สินทรัพย์ส่วนใหญ่มีราคาเกินกว่ามูลค่าจริง
.
นอกนั้นยังมีสงครามการค้าที่ยืดเยื้อระหว่างอเมริกากับจีนนานถึง 18 เดือน และการที่อเมริกาขู่ที่จะเก็บภาษีนําเข้าจากยุโรป อาจทําให้เศรษฐกิจของอเมริกาไม่ได้เสถียรมากเหมือนที่คาดการณ์ไว้
.
* ตลาดหุ้นยุโรป
.
ตั้งอยู่ในทางสายกลาง ไม่พุ่งทะยานเหมือนตลาดหุ้นอเมริกา หรือดูหวั่นๆ เหมือนตลาดหุ้นเอเชีย เราจะมาดูกราฟ MSCI Europe ซึ่งถือเป็นมาตรฐานในการวัดผลตอบแทนของนักลงทุนในโซนนั้นๆ
ดูจากกราฟ 41% ของนําหนัก MSCI Europe มาจาก UK and Swiss ซึ่งเป็น non-Eurozone
.
ตลาดหุ้นยุโรปหากดูในภาพรวม ถึงจะไม่หวือหวา แต่ก็มีความเสี่ยงหลักๆ คือ
.
1. การเปลี่ยนนโยบายการเงิน จากการเปลี่ยนผู้นําหน้าใหม่ของทั้ง ECB และ Bank of England
.
2. การหยุดการอัดฉีด Quantitative Easing (QE) อาจจะเร็วกว่าญี่ปุ่นหรือสหรัฐอเมริกา
.
EU: European Central Bank (ECB) ได้คง negative interest rate มาตั้งแต่กันยายนปีที่แล้ว เราว่าคงเป็นไปได้ยากที่จะลดดอกเบี้ยลงอีก เพราะจะทําให้ผู้ฝากเงินในแบงก์ (pensioners) ไม่พอใจ
.
UK: เราต้องจับตาดูการต่อรองของ Brexit ระหว่าง UK กับ EU ว่าจะราบรื่นขนาดไหน หากไม่มีข้อตกลงจนถึงสิ้นปี จะเป็นผลเสียต่อเศรษฐกิจอังกฤษ Bank of England ถึงแม้อยากจะทํา QE เพิ่มก็อาจทําไม่ได้ เพราะอาจจะส่งผลเสียต่อค่าเงินเฟ้อและค่าเงินปอนด์ที่ร่วงจาก Brexit อยู่แล้ว
.
* ตลาดหุ้นเกิดใหม่
.
ทําไมเรายังไม่ควรถอดใจกับตลาดหุ้นเกิดใหม่ (Emerging markets) เลยสักทีเดียว
.
ประเทศในกลุ่มนี้ ยังคงมีพื้นที่เพียงพอให้ ธนาคารกลางในประเทศเหล่านั้นใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (Monetary Easing) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่นี่ก็เป็นจุดที่ต้องระวังความสมดุล เพราะการลดดอกเบี้ยจะส่งผลให้ความดึงดูดที่จะถือครองเงินตราของประเทศนั้นๆ ลดลง
.
อย่าลืมว่าตลาดหุ้นเกิดใหม่มีประเทศหลายประเทศที่เป็นผู้ผลิตของสินค้าโภคภัณฑ์ (commodity) ซึ่งเมื่อต้นทุนการผลิตลดลงจากค่าเงินที่ลดลง ก็จะเร่งการผลิตมากขึ้น ซึ่งนั่นจะเร่งทําให้ราคาของ commodity ลดลงมากขึ้นตามไปด้วย
.
หากชอบบทความนี้ ช่วยกดไลค์และแชร์ด้วยครับ (Facebook: @BarracudaStocks)
.
เราจะนําข่าวสาร ข้อมูลที่ดีมานําเสนอในครั้งต่อไป
.
#Global
#fundflow
#เงินลงทุน
#EmergingMarkets
.
อ้างอิง
.
https://www.ecb.europa.eu/…/key_ecb_inte…/html/index.en.html
.
https://www.cnbc.com/…/barclays-shifts-faith-from-us-to-eur…