เรื่องของเราคือ ช่วงต้นปีเราตกงานค่ะ เพื่อนเราก็เลยชักชวนเรามาทำงานซึ่งเป็นผู้ช่วยเลขาของคนสองคนค่ะ
โดยมีเจ้านายสามคน คนแรกเป็นเลขาของคุณหนูซึ่งเป็นลูกของเจ้าของบริษัทซึ่งฝรั่งซึ่งเป็นทั้ง Founder , Ceo และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทใหญ่ที่มีธุรกิจในต่างประเทศ คนที่สองเป็นคุณหนูที่ว่านี่ล่ะค่ะ
เรายอมรับไม่เคยทำงานเป็นเลขามาก่อน แต่เนื่องจากเลขางานเยอะ เพราะแกทำควบคุมตำแหน่งอะไรอีกซักอย่าง คุณแม่เจ้าของก็เลยจ้างผู้ช่วยเลขาด้วยเงินส่วนตัว (ไม่ใช่เงินบริษัท) มาเป็นผู้ช่วย ซึ่งเราตอบรับในทันทีเพราะตอนนั้นเราตกงานค่ะ แม้เราป่วยด้วย แต่เรายอมรับก็เกร๊งๆเพราะไม่เคยทำงานเป็นลูกน้องใครแบบใกล้ชิดแบบนี้
ตอนแรกปรับตัวเยอะมาก เพราะเลขาเป็นคนเนี๊ยบมาก (อายุจะสามสิบ จบปริญญาโทจากอังกฤษและอายุน้อยกว่าเรา) เป็นคนสวยแบบ Working Woman บางครั้งแอบเยอะ จำจี้เราตั้งแต่การแต่งตัว เวลา อาหารการกิน ตอนแรกเราทำตัวไม่ถูก และถูกบังคับให้ยกมือไหว้คนที่อายุเด็กกว่า ... เหมือนไม่ได้บังคับตรงๆ แต่เหมือนโดนกดดันจากคนอื่นที่เป็นลูกน้องเลขาคนนี้ ซึ่งแกจะถือว่าแกเหนือกว่าตลอด แต่ไม่ปิดกั้นความเห็นนะคะ เราเสนอได้ แต่ถ้ามาที่แก แกจะตัดจบเอง บางครั้งต้องเข้าไปพัวพันงานในบริษัท ทั้งที่เรามองว่างานเราไม่น่าจะเกี่ยวกับบริษัทโดยตรง และน่าจะเป็นงานของคุณหนูเอง (คนสัมภาษณ์บอกประมาณนี้) นี้คือปัญหาแรกคือปรับตัวกับเจ้านายตัวเองไม่ได้ ในตอนแรก แกสอนไปด่าไป แอบเครียด ว่าเราจบป.ตรีต้องมาโดนเด็กด่า แต่ออกก็ไม่ได้ ้เพราะกลัวไม่มีอะไรกิน ต้องเลี้ยงแม่ และงานนี้เงินดีมาก เทียบกับเพื่อนเรา แต่ตอนหลังเครียดมากจนต้องหาหมอบ้าง แม้จะเข้าใจกันและดีขึ้นบ้าง แต่ก็ยังไม่โอเคอยู่
ซึ่งพอทำมาได้สองเดือน เนื้องานเปลี่ยนไป (เหมือนตอนแรกคือฝึกงาน) คือ แกเริ่มให้เราไปหาสิ่งของให้คุณหนูค่ะ (เป็นงานหลักที่จริงๆต้องทำ) ซึ่งเราไม่รู้จักคุณหนูคนนี้เลยในตอนแรก สิ่งที่โดนไปหาเรียกว่าเป็นของที่คุณหนูชอบหรือสนใจ ตอนแรกเลยคือ เสื้อผ้า , เครื่องแต่งตัว ซึ่งเราได้รับการบอกกล่าวมาตอนแรก ให้แค่ไปเอาของให้หน่อย ซึ่งน้องเลขาจะจ่ายเงินไว้แล้ว เป็นของแบรนเนมส์ โดยไม่ต้องใช้สมองคิด หลังๆเลขาพาเรามาเจอคุณหนูที่ว่านี่ล่ะค่ะ อายุแค่ยี่สิบปลายๆ หน้าตาดี จบการศึกษากฎหมายปริญญาโทที่อังกฤษและอเมริกา ทำงานรับราชการนะคะ แต่คุณหนูตรงข้ามกับน้องเลขามากค่ะ คือน้องจะใจดี ขี้เล่น อะไรก็ได้ สุภาพ และฉลาดมากๆๆ ซึ่งพี่เลขาแกจะเกรงใจคุณหนูมากๆๆๆๆๆ (ก.ไก่ล้านตัว) ตั้งแต่นั้นเนื้องานเราเปลี่ยนไปทันที คือเหมือนเป็นสไตล์ลิสให้คุณหนู (คุณหนูสวยมาก) และเหมือนเป็นคนหาของให้แกน่ะค่ะ
ซึ่งจากเราไม่รู้จักของแบรนเนมส์เลย กลายเป็นรู้จักหมดเลย คุณหนูจะชอบซื้อของแบรนเนมส์ ไล่ตั้งแต่นาฬิกา , ปากกา , เสื้อผ้า , ตำราเรียน , แผ่นเกมส์ และแม้กระทั่งโมเดลการ์ตูนก็มีค่ะ เรากลายเป็นต้องคิดเองและมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ค่ะ เช่น ต้องรู้ว่านาฬิกาแบรนนี้มีรุ่นอะไรบ้าง สีอะไร ผลิตปีไหน , ปากกายี่ห้อนี้เป็นมีรุ่นอะไรบ้างที่เป็นหมึกแห่ง หมึกซึม ซึ่งนาฬิกากับปากกาของที่ใช้มีตั้งแต่ราคาสองพันไปจนหลักแสน (นาฬิกาถ้าแพงมากๆถึงหลักล้านเลขาจะพาไปดูเองที่ต่างประเทศค่ะ) เลยค่ะ แล้วสิ่งที่หนักใจคือ คุณหนูชอบถามว่าเราชอบอันไหน ซึ่งเราจะตอบไม่ถูก แล้วเลขามักจะด่าเราตลอดเลย โดยเรื่องที่เป็นปัญหาจะเป็นปากกากับเสื้อผ้าค่ะ คุณหนูชอบสะสมปากกา แกจะใช้ให้เราไปหาปากกา ซึ่งของที่แกสะสมต้องมีสองด้าม เพราะใช้ด้ามหนึ่ง ด้ามหนึ่งเก็บ เราเหนื่อยมาก คือเวลาหาปากกาจะต้องนั่งรถไปแต่ห้าง (เราไม่ขับรถค่ะ) เพื่อเช็คดูว่าที่ห้างนี้ สาขานี้มีปากการุ่นไหนบ้าง มีรุ่นที่หาอยู่มั้ย มีสีอะไร คุณสมบัติมีอะไรบ้าง ต่างกันยังไง ถ้าเราถามไม่ละเอียดหรือที่เลขาชอบเรียกว่าไม่มีไหวพริบ ก็จะโดนน้องเลขาใช้ให้ไปถามอีกรอบในวันนั้น ซึ่งมันเหนื่อยมาก ถ้าร้านไม่มี ต้องนั่งเช็คแต่หน้าเว็บกับผู้ขายออนไลน์ สั่งปากกา ทำเรื่องศุลกากร จิปาถะ ถ้าสั่งพัสดุมาผิด ก็โดนอีกว่าเราสั่งยังไง อะไรแบบนี้ นี่คือเรื่องปวดหัวหนักๆ จำได้ว่าไปต่างประเทศด้วยกัน คุณหนูไปเที่ยวที่เยอรมันพกเราไปด้วย เราไม่ได้เที่ยวนะคะ ไปนั่งหาร้านปากกา หาให้คุณลูกไม่พอ ต้องหาให้คุณแม่แกด้วยค่ะ
แต่ที่หนักกว่าปากกาคือเรื่องเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย เราเหมือนจะกลายเป็นสไตลิสค่ะ ต้องมาดูจำว่าคุณหนูมีสัดส่วนแบบไหน อะไรแบบนี้ (คุณหนูจะตัวสูงร้อยเจ็ดสิบนิดๆ หน้าอกใหญ่มาก เอวเล็ก ซึ่งหาเสื้อผ้ามาให้ยาก เพราะส่วนใหญ่ใส่แล้วหลวมโคร่งๆ) อะไรแบบนี้ ใส่รองเท้าเบอร์นี้ ไหล่กว้างเท่านี้ ใส่เสื้อผ้าทรงนี้ไม่ได้ แว่นตาต้องเลือกเข้ากับสีตาคุณหนู ใช้เครื่องสำอางแบรนนี้ บลาๆๆ ซึ่งคุณหนูแกไม่ค่อยว่างมาด้วย เราก็ต้องซื้อไป ถ้าซื้อไม่ผิด ไม่โดนว่า งานจะง่ายถ้ามีคนจัดเสื้อผ้าหรือมีคุณเลขาหรือคุณหนูไปด้วยจะดี แต่ถ้าไม่มีแล้วซื้อผิด โดนเลขาเอ็ด แต่ถ้าคุณหนูอยู่ด้วยจะไม่ด่า ทำให้เราเหนื่อยมากเลยค่ะ และที่โจทย์ยากๆบ้าๆบอๆก็เช่นว่า ไปหาเสื้อผ้าทีเข้ากันมาให้หน่อย คุณหนูจะมาอาบน้ำที่บริษัท คือ....เราก็ไม่ใช่ผู้หญิงแต่งตัว? เราก็ซื้อของถูกไปก็โดนว่า เฮ้อ
เราทำแบบนี้จนคนขายปากกาหลายคน คนขายเสื้อผ้า นาฬิกาจำได้เราเลย ๕๕๕ นึกว่าเรารวยมาก เพราะเราซื้อบ่อยมาก แต่ยังค่ะ ที่บ่นมา ยังไม่หมด ที่เราเจอมาหนักสุดคือหนังสือค่ะ เพราะคุณหนูไม่ได้อ่านหนังสือภาษาไทยค่ะ อ่านแต่หนังสือภาษาต่างประเทศ และความสนใจหลากหลายมาก แต่โดยรวมคือสิทธิมนุษยชน กฎหมาย เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์หรือปรัชญา ซึ่งจะมีร้านประจำที่ต้องไปเอา ถ้ามีหนังสือไหนที่เค้าให้ลิสมาเอา อันนี้ง่ายค่ะ แต่อันไหน ให้เรามาดูไม่ให้ธง เราต้องมานั่งอ่านเองว่าหนังสือเล่มนี้ มันเกี่ยวกับอะไร โดยสอนให้ดูโดยเลขาคือให้ดูย่อด้านหลังปก อ้างอิงท้ายเล่ม ชื่อสำนักพิมพ์ (ที่จะชอบซื้อคือ OXFORD , Routledge , EDGAR , Cambridge) ทำนองนี้ ถ้าเราบอกเอาเล่มนี้มั้ย แล้วเลขาจะถามว่าเล่มนี้มันเกี่ยวกับอะไรล่ะ ถ้าเราตอบไปแล้วผิด แล้วซื้อไปจะโดนดุค่ะ ซึ่งเซ็งมาก ซึ่งในตอนแรกเลขาไม่ยอมให้ไลน์คุณหนู ตอนหลังเราไลน์คุณหนูมาโชคดีมาก ถ่ายส่งไปให้แก ก็จะตอบให้ค่ะ ว่าดีมั้ยเล่มนี้ เอามั้ย ซึ่งเลขาจะไม่กล้าว่าเรา ถ้าเราดูผิด นอกจากนี้ยังต้องมานั่งสั่งหนังสือในเว็บราวกับเป็นบรรณารักษ์เลยค่ะ
ที่พูดมาทั้งหมดทั้งมวลยังไม่รวมถึงชีวิตส่วนตัวอื่นๆ เช่น คุณหนูเป็นคนนอกดึก ตื่นสายในวันหยุด จะโทรหาไม่ได้ในตอนเช้า เรื่องผู้ชายที่เข้ามาจีบหาคุณหนูอีกนะคะ ไม่หวั่นไม่ไหว เราต้องคอยดูว่าจะ Treat เพื่อนคุณหนูยังไง มีหลายระดับ ซึ่งเราวางตัวลำบากมากๆเลยค่ะ เวลาไปกินข้าวด้วยกันยังเกรงว่าต้องทำตัวให้ดูดีไม่ให้แขกคุณหนูดูถูกอีก แถมยังต้องจำว่าคุณหนูชอบกินอะไร ไม่กินอะไร เวลาหาร้านให้ต้องจำว่าชอบเข้าร้านไหน เวลาพาเข้าไปกินหรือซื้อไปให้ต้องซื้อให้ถูก ...
ตอนหลังเลยนั่งคิดว่าจะไปต่อดีมั้ย เพราะเราต้องมานอนบ้านเพื่อนกลัวไปทำงานไม่ทัน เพราะไกลด้วย เราขับรถไม่เก่ง และมองว่างานไม่มั่นคง ว่าจะช่วยใช้หนี้ให้แม่ค่าบ้านกับค่าป่วยแล้วก็จะลาออก แต่ใจจริงแอบห่วงคุณหนูที่สุด แกใจดีกับเรามาก และแกก็ไม่เคยว่าเราเลย (แถมยังชอบให้เงินพิเศษมาอีก) แถมที่เราซาบซึ้งคือแม่เราป่วย แกเป็นคนขับรถพาไปโรงบาลเองเลย แถมออกค่าใช้จ่ายให้ด้วย แต่ที่ปัญหาคือมันงานจุกจิก และตัวเลขาเองค่ะ แกไม่ค่อยแคร์เราเลย
ขอคำแนะนำ ทำงานเป็นผู้ช่วยเลขาคนที่อายุน้อยกว่าหน่อยค่ะ
โดยมีเจ้านายสามคน คนแรกเป็นเลขาของคุณหนูซึ่งเป็นลูกของเจ้าของบริษัทซึ่งฝรั่งซึ่งเป็นทั้ง Founder , Ceo และเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่บริษัทใหญ่ที่มีธุรกิจในต่างประเทศ คนที่สองเป็นคุณหนูที่ว่านี่ล่ะค่ะ
เรายอมรับไม่เคยทำงานเป็นเลขามาก่อน แต่เนื่องจากเลขางานเยอะ เพราะแกทำควบคุมตำแหน่งอะไรอีกซักอย่าง คุณแม่เจ้าของก็เลยจ้างผู้ช่วยเลขาด้วยเงินส่วนตัว (ไม่ใช่เงินบริษัท) มาเป็นผู้ช่วย ซึ่งเราตอบรับในทันทีเพราะตอนนั้นเราตกงานค่ะ แม้เราป่วยด้วย แต่เรายอมรับก็เกร๊งๆเพราะไม่เคยทำงานเป็นลูกน้องใครแบบใกล้ชิดแบบนี้
ตอนแรกปรับตัวเยอะมาก เพราะเลขาเป็นคนเนี๊ยบมาก (อายุจะสามสิบ จบปริญญาโทจากอังกฤษและอายุน้อยกว่าเรา) เป็นคนสวยแบบ Working Woman บางครั้งแอบเยอะ จำจี้เราตั้งแต่การแต่งตัว เวลา อาหารการกิน ตอนแรกเราทำตัวไม่ถูก และถูกบังคับให้ยกมือไหว้คนที่อายุเด็กกว่า ... เหมือนไม่ได้บังคับตรงๆ แต่เหมือนโดนกดดันจากคนอื่นที่เป็นลูกน้องเลขาคนนี้ ซึ่งแกจะถือว่าแกเหนือกว่าตลอด แต่ไม่ปิดกั้นความเห็นนะคะ เราเสนอได้ แต่ถ้ามาที่แก แกจะตัดจบเอง บางครั้งต้องเข้าไปพัวพันงานในบริษัท ทั้งที่เรามองว่างานเราไม่น่าจะเกี่ยวกับบริษัทโดยตรง และน่าจะเป็นงานของคุณหนูเอง (คนสัมภาษณ์บอกประมาณนี้) นี้คือปัญหาแรกคือปรับตัวกับเจ้านายตัวเองไม่ได้ ในตอนแรก แกสอนไปด่าไป แอบเครียด ว่าเราจบป.ตรีต้องมาโดนเด็กด่า แต่ออกก็ไม่ได้ ้เพราะกลัวไม่มีอะไรกิน ต้องเลี้ยงแม่ และงานนี้เงินดีมาก เทียบกับเพื่อนเรา แต่ตอนหลังเครียดมากจนต้องหาหมอบ้าง แม้จะเข้าใจกันและดีขึ้นบ้าง แต่ก็ยังไม่โอเคอยู่
ซึ่งพอทำมาได้สองเดือน เนื้องานเปลี่ยนไป (เหมือนตอนแรกคือฝึกงาน) คือ แกเริ่มให้เราไปหาสิ่งของให้คุณหนูค่ะ (เป็นงานหลักที่จริงๆต้องทำ) ซึ่งเราไม่รู้จักคุณหนูคนนี้เลยในตอนแรก สิ่งที่โดนไปหาเรียกว่าเป็นของที่คุณหนูชอบหรือสนใจ ตอนแรกเลยคือ เสื้อผ้า , เครื่องแต่งตัว ซึ่งเราได้รับการบอกกล่าวมาตอนแรก ให้แค่ไปเอาของให้หน่อย ซึ่งน้องเลขาจะจ่ายเงินไว้แล้ว เป็นของแบรนเนมส์ โดยไม่ต้องใช้สมองคิด หลังๆเลขาพาเรามาเจอคุณหนูที่ว่านี่ล่ะค่ะ อายุแค่ยี่สิบปลายๆ หน้าตาดี จบการศึกษากฎหมายปริญญาโทที่อังกฤษและอเมริกา ทำงานรับราชการนะคะ แต่คุณหนูตรงข้ามกับน้องเลขามากค่ะ คือน้องจะใจดี ขี้เล่น อะไรก็ได้ สุภาพ และฉลาดมากๆๆ ซึ่งพี่เลขาแกจะเกรงใจคุณหนูมากๆๆๆๆๆ (ก.ไก่ล้านตัว) ตั้งแต่นั้นเนื้องานเราเปลี่ยนไปทันที คือเหมือนเป็นสไตล์ลิสให้คุณหนู (คุณหนูสวยมาก) และเหมือนเป็นคนหาของให้แกน่ะค่ะ
ซึ่งจากเราไม่รู้จักของแบรนเนมส์เลย กลายเป็นรู้จักหมดเลย คุณหนูจะชอบซื้อของแบรนเนมส์ ไล่ตั้งแต่นาฬิกา , ปากกา , เสื้อผ้า , ตำราเรียน , แผ่นเกมส์ และแม้กระทั่งโมเดลการ์ตูนก็มีค่ะ เรากลายเป็นต้องคิดเองและมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ค่ะ เช่น ต้องรู้ว่านาฬิกาแบรนนี้มีรุ่นอะไรบ้าง สีอะไร ผลิตปีไหน , ปากกายี่ห้อนี้เป็นมีรุ่นอะไรบ้างที่เป็นหมึกแห่ง หมึกซึม ซึ่งนาฬิกากับปากกาของที่ใช้มีตั้งแต่ราคาสองพันไปจนหลักแสน (นาฬิกาถ้าแพงมากๆถึงหลักล้านเลขาจะพาไปดูเองที่ต่างประเทศค่ะ) เลยค่ะ แล้วสิ่งที่หนักใจคือ คุณหนูชอบถามว่าเราชอบอันไหน ซึ่งเราจะตอบไม่ถูก แล้วเลขามักจะด่าเราตลอดเลย โดยเรื่องที่เป็นปัญหาจะเป็นปากกากับเสื้อผ้าค่ะ คุณหนูชอบสะสมปากกา แกจะใช้ให้เราไปหาปากกา ซึ่งของที่แกสะสมต้องมีสองด้าม เพราะใช้ด้ามหนึ่ง ด้ามหนึ่งเก็บ เราเหนื่อยมาก คือเวลาหาปากกาจะต้องนั่งรถไปแต่ห้าง (เราไม่ขับรถค่ะ) เพื่อเช็คดูว่าที่ห้างนี้ สาขานี้มีปากการุ่นไหนบ้าง มีรุ่นที่หาอยู่มั้ย มีสีอะไร คุณสมบัติมีอะไรบ้าง ต่างกันยังไง ถ้าเราถามไม่ละเอียดหรือที่เลขาชอบเรียกว่าไม่มีไหวพริบ ก็จะโดนน้องเลขาใช้ให้ไปถามอีกรอบในวันนั้น ซึ่งมันเหนื่อยมาก ถ้าร้านไม่มี ต้องนั่งเช็คแต่หน้าเว็บกับผู้ขายออนไลน์ สั่งปากกา ทำเรื่องศุลกากร จิปาถะ ถ้าสั่งพัสดุมาผิด ก็โดนอีกว่าเราสั่งยังไง อะไรแบบนี้ นี่คือเรื่องปวดหัวหนักๆ จำได้ว่าไปต่างประเทศด้วยกัน คุณหนูไปเที่ยวที่เยอรมันพกเราไปด้วย เราไม่ได้เที่ยวนะคะ ไปนั่งหาร้านปากกา หาให้คุณลูกไม่พอ ต้องหาให้คุณแม่แกด้วยค่ะ
แต่ที่หนักกว่าปากกาคือเรื่องเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย เราเหมือนจะกลายเป็นสไตลิสค่ะ ต้องมาดูจำว่าคุณหนูมีสัดส่วนแบบไหน อะไรแบบนี้ (คุณหนูจะตัวสูงร้อยเจ็ดสิบนิดๆ หน้าอกใหญ่มาก เอวเล็ก ซึ่งหาเสื้อผ้ามาให้ยาก เพราะส่วนใหญ่ใส่แล้วหลวมโคร่งๆ) อะไรแบบนี้ ใส่รองเท้าเบอร์นี้ ไหล่กว้างเท่านี้ ใส่เสื้อผ้าทรงนี้ไม่ได้ แว่นตาต้องเลือกเข้ากับสีตาคุณหนู ใช้เครื่องสำอางแบรนนี้ บลาๆๆ ซึ่งคุณหนูแกไม่ค่อยว่างมาด้วย เราก็ต้องซื้อไป ถ้าซื้อไม่ผิด ไม่โดนว่า งานจะง่ายถ้ามีคนจัดเสื้อผ้าหรือมีคุณเลขาหรือคุณหนูไปด้วยจะดี แต่ถ้าไม่มีแล้วซื้อผิด โดนเลขาเอ็ด แต่ถ้าคุณหนูอยู่ด้วยจะไม่ด่า ทำให้เราเหนื่อยมากเลยค่ะ และที่โจทย์ยากๆบ้าๆบอๆก็เช่นว่า ไปหาเสื้อผ้าทีเข้ากันมาให้หน่อย คุณหนูจะมาอาบน้ำที่บริษัท คือ....เราก็ไม่ใช่ผู้หญิงแต่งตัว? เราก็ซื้อของถูกไปก็โดนว่า เฮ้อ
เราทำแบบนี้จนคนขายปากกาหลายคน คนขายเสื้อผ้า นาฬิกาจำได้เราเลย ๕๕๕ นึกว่าเรารวยมาก เพราะเราซื้อบ่อยมาก แต่ยังค่ะ ที่บ่นมา ยังไม่หมด ที่เราเจอมาหนักสุดคือหนังสือค่ะ เพราะคุณหนูไม่ได้อ่านหนังสือภาษาไทยค่ะ อ่านแต่หนังสือภาษาต่างประเทศ และความสนใจหลากหลายมาก แต่โดยรวมคือสิทธิมนุษยชน กฎหมาย เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์หรือปรัชญา ซึ่งจะมีร้านประจำที่ต้องไปเอา ถ้ามีหนังสือไหนที่เค้าให้ลิสมาเอา อันนี้ง่ายค่ะ แต่อันไหน ให้เรามาดูไม่ให้ธง เราต้องมานั่งอ่านเองว่าหนังสือเล่มนี้ มันเกี่ยวกับอะไร โดยสอนให้ดูโดยเลขาคือให้ดูย่อด้านหลังปก อ้างอิงท้ายเล่ม ชื่อสำนักพิมพ์ (ที่จะชอบซื้อคือ OXFORD , Routledge , EDGAR , Cambridge) ทำนองนี้ ถ้าเราบอกเอาเล่มนี้มั้ย แล้วเลขาจะถามว่าเล่มนี้มันเกี่ยวกับอะไรล่ะ ถ้าเราตอบไปแล้วผิด แล้วซื้อไปจะโดนดุค่ะ ซึ่งเซ็งมาก ซึ่งในตอนแรกเลขาไม่ยอมให้ไลน์คุณหนู ตอนหลังเราไลน์คุณหนูมาโชคดีมาก ถ่ายส่งไปให้แก ก็จะตอบให้ค่ะ ว่าดีมั้ยเล่มนี้ เอามั้ย ซึ่งเลขาจะไม่กล้าว่าเรา ถ้าเราดูผิด นอกจากนี้ยังต้องมานั่งสั่งหนังสือในเว็บราวกับเป็นบรรณารักษ์เลยค่ะ
ที่พูดมาทั้งหมดทั้งมวลยังไม่รวมถึงชีวิตส่วนตัวอื่นๆ เช่น คุณหนูเป็นคนนอกดึก ตื่นสายในวันหยุด จะโทรหาไม่ได้ในตอนเช้า เรื่องผู้ชายที่เข้ามาจีบหาคุณหนูอีกนะคะ ไม่หวั่นไม่ไหว เราต้องคอยดูว่าจะ Treat เพื่อนคุณหนูยังไง มีหลายระดับ ซึ่งเราวางตัวลำบากมากๆเลยค่ะ เวลาไปกินข้าวด้วยกันยังเกรงว่าต้องทำตัวให้ดูดีไม่ให้แขกคุณหนูดูถูกอีก แถมยังต้องจำว่าคุณหนูชอบกินอะไร ไม่กินอะไร เวลาหาร้านให้ต้องจำว่าชอบเข้าร้านไหน เวลาพาเข้าไปกินหรือซื้อไปให้ต้องซื้อให้ถูก ...
ตอนหลังเลยนั่งคิดว่าจะไปต่อดีมั้ย เพราะเราต้องมานอนบ้านเพื่อนกลัวไปทำงานไม่ทัน เพราะไกลด้วย เราขับรถไม่เก่ง และมองว่างานไม่มั่นคง ว่าจะช่วยใช้หนี้ให้แม่ค่าบ้านกับค่าป่วยแล้วก็จะลาออก แต่ใจจริงแอบห่วงคุณหนูที่สุด แกใจดีกับเรามาก และแกก็ไม่เคยว่าเราเลย (แถมยังชอบให้เงินพิเศษมาอีก) แถมที่เราซาบซึ้งคือแม่เราป่วย แกเป็นคนขับรถพาไปโรงบาลเองเลย แถมออกค่าใช้จ่ายให้ด้วย แต่ที่ปัญหาคือมันงานจุกจิก และตัวเลขาเองค่ะ แกไม่ค่อยแคร์เราเลย