คนอาภัพ คือคนเช่นไร ?

?
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
อาภัพ หมายถึง วาสนาน้อย มีหลายระดับ


เช่น อาภัพทางกาย เกิดมา ไม่สมประกอบไม่ครบ 32 ตาบอดหูหนวก

อาภัพ วาจา พูดอะไร ไปแม้ดีแค่ไหนคนก็ไม่เข้าใจ คนไม่ฟัง คนไม่ชอบ  หรือ พูดไม่เพราะเลย ชอบพูดดูผู้อื่น พูดนินทา เสียดสี ทิมแทงผู้อื่นจนเป็นนิสัย

อาภัพทางใจ คิดแต่ด้านลบ  คิดผิดศีลผิดธรรม จนปิดกั้นทางเจริญในความดี ถ้าอาภัพทางใจมากๆก็ปิดกั้นทางบรรลุธรรม

ดังนั้น วาสนาน้อย หรือ มาก อยู่ที่การกระทำ ทาง กาย วาจา ใจ ที่เกิดมาอาภัพเรื่องต่างๆก็มาจาก กรรม3ทางนี้ ไม่ว่า จะเป็น ร่างกาย ฐานะ รูปร่าง หน้าตา ผิวพรรณ วรรณะ คู่ครอง สติ ปัญญา วาจาคำพูด มาจากการกระทำในอดีตที่ผ่านมาทั้งนั้น คนที่เกิดมา รูปร่างหน้าตาฐานะดี อดีตเคยในทานรักษาศีลมา คนที่เกิดมาไม่ครบ32อดีตเคยทำผู้อื่นมา ให้กรรมผล ความบังเอิญมันไม่มีในโลกทุกสิ่งมีเหตุปัจจัย
ความคิดเห็นที่ 1
อภัพพบุคคล คือ บุคคลที่ไม่ควรบรรลุธรรม  อธิบายว่า แม้จะฟังพระธรรมมากสักเท่าไหร่

ก็ไม่สามารถบรรลุเป็นพระอริยบุคคลได้ รายละเอียดขอเชิญอ่านจากข้อความที่ยกมา

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้าที่ 1072

อภัพพสัตว์เป็นไฉน  ?

- สัตว์ทั้งหลาย  ผู้ประกอบด้วยธรรมเป็นเครื่องกั้น  คือ   กรรม กิเลส    วิบาก  เป็นผู้ไม่มีศรัทธา  ไม่มีฉันทะ    มีปัญญาทราม   ไม่อาจย่างเข้าสู่สัมมัตตนิยามในกุศลธรรมทั้งหลาย  เหล่านี้เป็นอภัพพสัตว์.

- ด้วยธรรมเป็นเครื่องกั้น  คือ  กรรม  ได้แก่   อนันตริยกรรม  ๕ อย่าง.
อนันตริยกรรม หมายถึง กรรมหนักที่สุด (ครุกรรม) ฝ่ายบาปอกุศล ซึ่งให้ผลทันที มี 5 อย่าง คือ
มาตุฆาต - ฆ่ามารดา
ปิตุฆาต - ฆ่าบิดา
อรหันตฆาต - ฆ่าพระอรหันต์
โลหิตุปบาท - ทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงพระโลหิตห้อ ขึ้นไป เช่น พระเทวทัตได้ทำร้ายพระพุทธองค์ ในสมัยพุทธกาล
สังฆเภท - ยุยงสงฆ์ให้แตกกัน ทำลายสงฆ์

- ประกอบแล้ว  คือ  มีความพร้อมแล้วด้วยธรรมอันเป็นเครื่องกั้น  คือ  กิเลส ได้แก่  นิยตมิจฉาทิฏฐิ.  
นิยต (เที่ยง ,แน่นอน , ดิ่งลง) + มิจฉา (ผิด) + ทิฏฐิ (ความเห็น) ความเห็นผิดที่ดิ่ง หมายถึง ความเห็นผิดที่มีโทษมาก แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้ เป็นเครื่องกั้นทั้งสวรรค์ และมรรคผลนิพพาน เป็นตอของวัฏฏะ คือไม่สามารถออกจากสังสารวัฏฏ์ได้ มี ๓ประเภท คือ ๑. อเหตุกทิฏฐิ  ๒. อกิริยทิฏฐิ ๓. นัตถิกทิฏฐิ

- อเหตุกทิฎฐิ  เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นเองเป็นเอง ไม่อาศัยเหตุปัจจัยให้เกิดให้มีขึ้น ไม่เชื่อในเหตุ  คลิก...อเหตุกทิฏฐิ

- นัตถิกทิฎฐิ เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ผลอันเนื่องมาแต่เหตุผลของการทำดีทำชั่ว  ไม่มีโลกนี้โลกหน้า สัตว์บุคคลไม่มี เป็นแต่ธาตุประชุมกันตายแล้วสูญไม่เกิดอีก  เชื่อว่าไม่มีอะไรทั้งนั้น คลิก... นัตถิกทิฏฐิ

- อกิริยทิฎฐิ เห็นว่าการกระทำใดๆ ไม่ชื่อว่าเป็นอันกระทำ ผลบาปบุญไม่มีแก่ผู้ทำกระทำแล้วก็เป็นอันแล้วกันไป ปฏิเสธการกระทำโดยประการทั้งปวง

ทั้งสองบทนี้ เพราะกั้นสวรรค์และมรรค.    แม้กรรมมีการประทุษร้ายภิกษุณีเป็นต้น  ท่านก็สงเคราะห์ด้วยธรรมเป็นเครื่องกั้น  คือ กรรมนั่นแหละ.


บทว่า   วิปากาวรเณน -  ด้วยธรรมเป็นเครื่องกั้น   คือ   วิบากได้แก่   อเหตุกปฏิสนธิ. เพราะการแทงตลอดอริยมรรค   ย่อมไม่มีแม้แก่ทุเหตุกะ.    ฉะนั้น  พึงทราบว่า   แม้ปฏิสนธิเป็นทุเหตุกะ  ก็เป็นธรรม  เครื่องกั้น  คือ  วิบากนั่นแหละ.  บทว่า  อสฺสทฺธา -  เป็นผู้ไม่มีศรัทธา  คือ    ไม่มีศรัทธาในพระพุทธเจ้าเป็นต้น. บทว่า  อจฺฉนฺทิกา - ไม่มีฉันทะ  คือ   ไม่มีฉันทะในกุศล  คือความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะทำ. บทว่า  ทุปฺปญฺญา -  มีปัญญาทราม  คือ  เสื่อมจากภวังคปัญญา.อนึ่ง   แม้เมื่อภวังคปัญญาบริบูรณ์  ภวังค์ของผู้ใด   ยังไม่เป็นบาทของโลกุตระ   แม้ผู้นั้นก็ยังชื่อว่าเป็นผู้ปัญญาอ่อนอยู่นั่นแหละ. บทว่า    อภพฺพา นิยามํ  โอกฺกมิตุ   กุสเลสุ   ธมฺเมสุ สมฺมตฺตํ-ไม่อาจย่างเข้าสู่สัมมัตตนิยามในกุศลธรรมทั้งหลาย  คือ   ไม่ย่างเข้าสู่อริยมรรค  กล่าวคือ  สัมมัตตนิยามในกุศลธรรมทั้งหลาย.   เพราะอริย-มรรคเป็นสภาวะโดยชอบ    จึงชื่อว่า  สัมมัตตะ.  อริยมรรคนั้นแหละเป็นสัมมัตตะในการให้ผลในลำดับ.  หรือว่า  ผู้ไม่มีศรัทธา   ไม่มีฉันทะมีปัญญาทราม  ไม่อาจย่าง  คือ  เข้าไปสู่สัมมัตตนิยามนั้น  เพราะตนเองเป็นผู้ไม่หวั่นเอง. บทมีอาทิว่า   น  กมฺมาวรเณน  พึงทราบโดยตรงกันข้ามกับบทดังกล่าวแล้วนั่นแหละ.
จบ  อรรถกถาอาสยานุสยญาณนิทเทส
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่