ทำไมถึงไม่ออกกฎหมายให้ตำรวจสามารถทั้งจำทั้งปรับพวกที่สั่งซื้ออาหารหรือสินค้าทางออนไลน์ แต่มายกเลิกสินค้าทีหลัง

จากกรณีที่มีเคสของ Grab food โดนลูกค้าที่สั่งอาหารทางออนไลน์เปลี่ยนใจไม่รับ order รายการอาหารที่ตัวเองได้สั่งซื้อไปแล้วนั้น ส่งผลให้ grab ผู้ทำหน้าที่ส่งอาหารต้องประสบความเดือดร้อน ต้องออกเงินรับผิดชอบรายการอาหารนั้นเองจากลูกค้าผู้มีนิสัยมักง่ายไม่มีความรับผิดชอบในการสั่งซื้ออาหารนั้นๆ
   เรื่องที่กล่าวมานี้ ควรหาทางแก้ปัญหา ควรหาทางทางออก เพื่อคุ้มครองผู้ให้บริการมากกว่านี้ เช่นว่า ออกกฎหมายให้ตำรวจสามารถปรับเงินลูกค้าผู้กระทำผิดได้
  หากใครก็ตามที่มีความผิดในการสั่งของทางออนไลน์อย่างที่ว่ามา ก็ต้องเสียค่าปรับให้ตำรวจตามที่กฎหมายระบุไว้

  ยกตัวอย่างว่า หากสั่งอาหารมามูลค่าไม่เกิน 1,000 บาท แล้วยกเลิกรายการอาหารไป ให้ตำรวจสามารถปรับเงินเป็นจำนวน 1,000 บาทได้
  หากรายการอาหารที่มีมูลค่ามากกว่า 1,000 บาท ให้ตำรวจสามารถปรับเงินแบบคูณ 2 จากราคาเมนูอาหารที่สั่งไป
  เช่น สั่งอาหารในราคา 1,100 บาท หากลูกค้าเทออเดอร์ ก็ปรับเงินจำนวน 2,200 บาท
  สั่งอาหารในราคา 1,500 บาท แต่ยกเลิกรายการ ก็สั่งปรับ 3,000 บาท
  หากมีบทลงโทษในลักษณะที่กล่าวมานี้ ก็จะทำให้มีผู้กระทำผิดน้อยลง คนจะมีความรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเองมากยิ่งขึ้น
  ทางผู้ให้บริการขนส่งของที่มาจากการซื้อทางออนไลน์ ซึ่งเป็นการประกอบอาชีพสุจริตก็จะทำงานได้ง่ายขึ้น มีกำลังใจขึ้น
   ถ้าว่ากันตามความเป็นจริง ไม่ควรลงโทษเฉพาะเรื่องของการสั่งอาหารอย่างเดียว ควรมีการลงโทษในการสั่งสินค้าทุกชนิดเมื่อผู้สั่งซื้อมาขอยกเลิกเมื่อสินค้าถึงปลายทางแล้ว
  สินค้าที่พนักงานขนส่งสินค้าโทรหาลูกค้าเพื่อบอกให้เตรียมเงินจ่ายแล้ว แต่ลูกค้าปฏิเสธ ก็ควรมีบทลงโทษเช่นเดียวกัน อาจจะให้ตำรวจปรับเงิน 10 เท่าจากค่าขนส่งก็ได้
  
    ผู้ประกอบการบางรายอาจจะคิดว่า ต้องเกรงใจลูกค้า ต้องยอมลูกค้า ลูกค้าคือพระเจ้า ซึ่งความคิดนี้ก็ใช้ได้อยู่นะ แต่ต้องทำความเข้าใจอย่างนึงคือคำว่า ลูกค้า คือ ผู้ที่สร้างผลประโยชน์ให้ร้านค้า จ่ายเงินให้ร้านค้า ส่วนผู้ที่ทำให้ร้านค้าเสียหาย อย่าไปเรียกว่า ลูกค้า เป็นเพียงผู้สร้างความเดือดร้อนเสียหายมากกว่า 

  ให้ดูว่า พวกขโมยของ 7-11 ยังไม่เรียกว่า ลูกค้าเลย ยังถูกตำรวจแจ้งจับ เพราะเป็นผู้สร้างความเสียหายในทรัพย์สินของร้านค้า
  การที่สั่งซื้อของทางออนไลน์ แล้วมาปฏิเสธภายหลัง ถึงแม้จะมีความผิดไม่เท่าขโมยของ 7-11 แต่ก็ถือว่ามีความผิด ควรแก่การหาบทลงโทษตามความเหมาะสมตามกรณีความผิดด้วย
   แต่ก็ต้องตั้งกฎลงโทษให้ตามความเหมาะสม เช่น grab ส่งช้าเกินกว่ากี่นาที ผู้ซื้อของถึงสามารถปฏิเสธได้โดยไม่มีความผิด
   ระบบติดตามของที่ส่งทางออนไลน์ก็ต้องมีความชัดเจน ของถึงสถานีปลายทางวันไหน ส่งได้ล่าช้ากี่วันดี อะไรทำนองนั้น

   บ้านเรานี้มีคนที่มีนิสัยขาดความรับผิดชอบเยอะ ก็สมควรที่จะมีบทลงโทษหลากหลายรูปแบบในเคสอื่นอีก เช่นว่า
  กรณีที่มีคนเอาหมา,แมวของตัวเองไปปล่อยทิ้งไว้วัด ทำให้วัดมีภาระต้องมารับผิดชอบในส่วนที่ไม่ควรจะรับ
   ในกรณีเช่นนี้ ควรมีกฎหมายให้ตำรวจสามารถปรับเงินพวกไร้ความรับผิดชอบเอาหมา,แมวทิ้งวัดได้ เช่น ถ้าเอามาหมามาปล่อยทิ้งวัด ก็ปรับตัวละ 5,000-10,000 บาท(น่าจะมีกฎหมายอย่างนี้มานานแล้วนะ)พร้อมนำหมา,แมวส่งกลับคืนเจ้าของผู้เอามาปล่อย
   เรื่องที่ว่านี้ หากมีกฎหมายออกมาจริง ทางวัดก็ควรแจ้งตำรวจ หากมีใครเอาหมามาปล่อยทิ้งวัด มีหลายคนบอกว่า วัดไม่สมควรฟ้องร้อง แจ้งความ ตรงนี้ก็ใช่อยู่  
  การที่วัดบอกกล่าวตำรวจนั้น ให้คิดในลักษณะที่ว่า วัดขอความช่วยเหลือจากตำรวจ ให้ตำรวจนำสัตว์เลั้ยงที่ไม่ใช่ของวัดกลับคืนสู่เจ้าของ วัดไม่ต้องการฟ้องร้องดำเนินคดีความกับใครแต่อย่างใด

  และอีกเคสหนึ่งที่เคยเป็นข่าวดัง คือ ไม่พกใบขับขี่ปรับ 50,000 บาท แต่เงื่อนไขนี้กลับถูกยกเลิกไป จะว่าไปนี่ก็เป็นบทลงโทษที่ดีนะ แต่ควรใช้ลงโทษตามความเหมาะสม ต้องดูเป็นเคสๆ อาจจะตั้งกฏอย่างนี้ก็ได้ ใน 1 ปีลืมพกใบขับขี่ได้ไม่เกินกี่ครั้ง
ลืมพกใบขับขี่รอบที่ 1 ของปี ปรับเงิน 1,000 บาท
ลืมพกใบขับขี่รอบที่ 2 ของปี ปรับเงิน 2,000  บาท
ลืมพกใบขับขี่รอบที่ 3 ของปี ปรับ 3,000 บาท
ลืมพกใบขับขี่รอบที่ 4 ของปี ปรับ 50,000 บาท
  พอเริ่มปีใหม่ ก็กลับมาลงโทษแบบนับหนึ่งใหม่
อย่างนี้จะดูดีกว่า มีการลงโทษเป็นขั้นๆไป ไม่ใช่ว่าเอะอะก็ปรับ 50,000 เลย อย่างนี้มันแรงไป คนก็จะต่อต้านกันเป็นจำนวนมาก
  
  สรุปว่า บ้านเรากับเรื่องตั้งกฎบทลงโทษผู้ขาดความรับผิดชอบ สามารถทำได้หลายข้ออยู่ ขอให้ตั้งกฎอยู่บนความเหมาะสม ส่งผลดีทั้งนั้นแหละ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่