
ตอน 2
อังกฤษเป็นอีกหนึ่งประเทศมหาอำนาจที่ก้าวเข้าสู่การล่าอาณานิคมกอบโกยผลโยชน์จากคาบสมุทรมลายู ขณะที่เวลานั้นท่าเรือสำคัญที่เป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนสินค้าพื้นเมือง โดยเฉพาะเครื่องเทศ อาทิ อบเชย กานพลู พริกไทย ฯลฯ ถูกยึดครองโดยมหาอำนาจทางทะเลอย่างสเปน ฮอลันดา โปรตุเกส กันอย่างคึกคัก จนแทบจะไม่เหลือที่ว่างให้กับอังกฤษที่เข้ามาทีหลัง อังกฤษตระหนักเป็นอย่างดีว่า การทำสงครามเพื่อแย่งชิงผลประโยชน์ในภูมิภาคนี้ ย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะกองกำลังทางทะเลของมหาอำนาจอื่นแข็งแกร่งกว่ามาก ในเมื่อไม่มีทางเลือกมากนัก อังกฤษคงต้องมองหาผลประโยชน์จากดินแดนที่ไกลออกไป น่าจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด อังกฤษหันมาให้ความสนใจการค้ากับจีน แต่ก็ต้องเจอกับปัญหาการเดินทางจากเมืองบอมเบย์ มัทราส ในอ่าวเบงกอลของอินเดียที่อังกฤษครอบครองอยู่ไปยังกวางตุ้งของจีน จะต้องแล่นเรืออ้อมแหลมมลายู ซึ่งเป็นการเดินเรือที่มีระยะทางไกลมาก หากไม่มีท่าเรือแวะพักระหว่างทาง คงจะเป็นเรื่องที่ยากลำบาก อย่างน้อยท่าเรือจะเป็นจุดขนถ่ายเพิ่มเติมเสบียงอาหาร ซ่อมบำรุง หรือจอดพักในช่วงฤดูมรสุม แต่การจะไปหาเช่าท่าเรือที่ถูกยึดครองอยู่แล้วในบริเวณแหลมมลายู หรือฝั่งอาเจะห์ ก็คงเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง ไหนจะต้องจ่ายค่าเช่าที่แพงระยับแล้ว ยังจะต้องคอยเฝ้าระวังปกป้องผลประโยชน์ของตนเองในดินแดนของผู้อื่นอีก ถือว่าเป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง แต่จนแล้วจนรอดอังกฤษก็ยังหาท่าเรือที่เหมาะสมไม่ได้เสียที สุดท้ายในเมื่อไม่มีทางเลือก อังกฤษจึงเริ่มหันมาให้ความสนใจดินแดนฝั่งตะวันตกของพม่า และฝั่งอันดามันของสยาม ถึงแม้ว่าภูมิศาสตร์การเดินเรือจะไม่เหมาะสมนัก แต่ก็ยังถือว่าปลอดภัยจากมหาอำนาจอื่น
กัปตันฟรานซิส ไลท์ (Captain Francis Light) เป็นชาวอังกฤษโดยกำเนิด เริ่มต้นวัยหนุ่มด้วยอาชีพรับราชการทหาร ต่อมาได้เลื่อนเป็นนักเรียนนายเรือประจำอยู่ในเรือ H.M.S. Arrogant ในราชนาวีอังกฤษ แต่ชีวิตทางราชการก็ไม่ยืนยาวนัก สุดท้ายก็ลาออกเมื่อมียศเพียงแค่นายเรือโท ต่อมาฟรานซิส ไลท์ ได้เดินทางมายังเมืองบอมเบย์ กัลกัตตา และเมืองมัทราชของอินเดีย และสมัครเข้าทำงานกับบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ โดยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกัปตันเรือคลิฟ ซึ่งมีเส้นทางเดินเรือไปมาระหว่างท่าเรือบริเวณชายฝั่งอินเดียไปยังคาบสมุทรมลายู จึงทำให้กัปตันไลท์รู้จักภูมิประเทศแถบนั้นเป็นอย่างดี และนอกจากจะเป็นกัปตันเรือแล้ว กัปตันไลท์ยังมีอาชีพเป็นพ่อค้า ขายสินค้านานาชนิด ถึงขนาดมีคลังสินค้าอยู่ที่ชายฝั่งรัฐเคดะห์อีกด้วย และด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้กัปตันไลท์มีความสนิทสนมกับสุลต่านเคดะห์เป็นอย่างดี
ในขณะที่อังกฤษยังคงมองหาท่าเรือที่เหมาะสมอยู่นั้น กัปตันไลท์ก็ได้ค้นพบเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่ง ในรัฐเคดะห์ ที่มีสภาพรกร้าง เงียบสงบ ไม่เป็นที่รู้จักมากนัก พื้นที่ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยต้นหมาก เกาะแห่งนี้มีชื่อว่า เกาะปีนัง กัปตันไลท์ไม่รอช้ารีบนำเสนอเกาะปีนังหรือเกาะหมากที่ค้นพบนี้กับบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษที่มัทราช และผู้สำเร็จราชการอังกฤษประจำอินเดียทันที ช่วงเวลานั้นอังกฤษคงจะพิจารณาเห็นว่าเกาะปีนังที่มีสภาพเป็นเกาะรกร้าง มีเพียงบ้านเรือนของชาวประมงพื้นเมือง ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ ที่เหมาะสมจะเป็นท่าเรือหรือจุดแวะพักได้เลย และการเช่าเกาะปีนังคงจะต้องใช้ทุนทรัพย์อย่างมหาศาลในการบุกเบิกพัฒนาพื้นที่ ประกอบกับอังกฤษกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาเช่าท่าเรือกับอาเจะห์ที่มีภูมิศาสตร์การเดินเรือเหมาะสมมากกว่า จึงได้ชะลอแผนเช่าเกาะปีนังเอาไว้ แต่สุดท้ายการเจรจากับอาเจะห์ก็ล้มเหลว
จนกระทั่วปี 1772 อังกฤษไม่มีทางเลือกอื่น จึงหันสนใจเกาะปีนังอย่างจริงจังอีกครั้ง จนได้มีการเจรจาอย่างเป็นทางการกับสุลต่านเคดะห์ หรือเป็นที่รู้จักในนามของพระยาไทรบุรี แต่การเจรจากลับไม่ง่ายอย่างที่คิด เนื่องจากสุลต่านเคดะห์เล็งเห็นประโยชน์จากกองเรือของอังกฤษ จึงได้กำหนดเงื่อนไขในสัญญาเช่าให้อังกฤษต้องให้ความคุ้มครองรัฐเคดะห์จากศัตรูที่เข้ามารุกราน ซึ่งในขณะนั้นบุกิสถือว่าเรืองอำนาจมาก หรือแม้แต่สยามเองก็ตาม เงื่อนไขดังกล่าวทำให้อังกฤษต้องคิดหนัก ผลประโยชน์ที่ได้จากการเช่าเกาะปีนังอาจไม่มากมายนัก แต่การลงนามในสัญญาสุ่มเสี่ยงที่จะนำอังกฤษเข้าสู่สงครามความขัดแย้งระหว่างรัฐ ซึ่งอาจลุกลามกลายเป็นสงครามกับมหาอำนาจอื่นได้ ดังนั้น เมื่อชั่งน้ำหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับผลประโยชน์ที่จะได้รับแล้ว ก็ทำให้อังกฤษปฏิเสธเงื่อนไขนี้ โดยอ้างถึงการยึดมั่นนโยบายที่ไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสงครามความขัดแย้ง หรือการเมืองของรัฐใด จึงทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่อาจบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ การเจรจาขอเช่าเกาะปีนังจึงล้มเหลวไปโดยปริยาย

เครื่องบินลำเล็กทะยานขึ้นจากรันเวย์อย่างช้าๆ ในวันที่สภาพอากาศสดใส ท้องฟ้าเปิด มองเห็นเมฆขาวเป็นกลุ่มก้อน ตัดกับสีฟ้าเข้มของท้องฟ้าที่สวยงาม ผมนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างพลางนึกว่าอีกไม่นานก็จะได้พบกับภาพ Kids on Bicycle อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ เวลาผ่านไปไม่ถึงสองชั่วโมงก็ได้ยินเสียงสุขุมนุ่มลึกของกัปตันประกาศว่า ขณะนี้เครื่องบินกำลังลดระดับลงสู่สนามบินนานาชาติปีนัง (Penang International Airport) และแจ้งเรื่องเวลาของปีนังที่จะเร็วกว่าประเทศไทยหนึ่งชั่วโมง เมื่อเครื่องบินลงจอดอย่างนุ่มนวลผู้โดยสารทุกคนก็เร่งรีบกันเดินออกเป็นภาพที่เห็นกันจนชินตา จากนั้นก็มาเข้าแถวผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองที่รวดเร็วทันใจ เพียงแค่การสแกนลายนิ้วมือเท่านั้น เอกสารอะไรก็ไม่ต้องกรอกให้เสียเวลา ทั้งสะดวก รวดเร็ว และน่าประทับใจอย่างยิ่ง
หลังจากผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้ว ก็เข้ามาสู่ขั้นตอนที่รีวิวในโลกโซเชียลบอกเอาไว้ว่า ลำดับต่อไปคุณต้องซื้อซิมการ์ดโทรศัพท์เพื่อใช้งานอินเทอร์เน็ตบอกยี่ห้อเสร็จสรรพ ซึ่งจะเห็นบูธเคาท์เตอร์ที่เรียงรายตรงทางเดินหลังจากเดินผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง เมื่อได้ซิมการ์ดเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องไปเอากระเป๋าที่สายพาน จากนั้นก็มองหาโบชัวร์แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร คาเฟ่ ที่เคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ซึ่งมองหาได้ไม่ยาก จะอยู่ใกล้กับประตูทางออกสนามบิน เสร็จแล้วจะต้องเดินไปทางไหน ขึ้นรถเมล์สายอะไร รีวิวบอกข้อมูลเอาไว้หมด ซึ่งเชื่อว่านักท่องเที่ยวมือใหม่นิยมอ่านรีวิวเหล่านี้ก่อนออกเดินทางกันทั้งนั้น ก็ถือว่าสะดวกมาก
เวลาผ่านไปจากแดดร่มลมตก เป็นบรรยากาศที่เริ่มจะค่ำมืดเต็มทน รถเมล์ที่จะไปยังจอร์จทาวน์ก็ยังไม่มาเสียที ขณะที่มีเรื่องบางอย่างที่น่ากังวลไม่แพ้เรื่องรถเมล์ ก็เห็นจะเป็นเรื่องกระเป๋าเป้ที่ใส่ของใช้มาจนแน่น หนักเสียจนแทบแบกไม่ไหว การเลือกเป้ดีๆ สักใบมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการจัดสิ่งของที่จำเป็นสำหรับการเดินทาง เพื่อไม่ให้น้ำหนักมากจนเกินไป สำหรับการเดินทางครั้งแรกของผมไม่มีประสบการณ์เรื่องเหล่านี้เลย เริ่มจากเป้ขนาดใหญ่ที่เป็นทั้งระบบล้อลาก และสามารถเปลี่ยนโหมดเป็นเป้สะพายหลังได้ คิดว่าน่าจะเป็นการเลือกที่ฉลาดแล้ว แต่ความจริงเป้สองระบบนี้ไม่เหมาะสมเอาเสียเลยสำหรับการเดินทางแบบแบ็คแพ็ค เพราะการถ่ายเทน้ำหนักเมื่อสะพายอยู่บนหลังทำได้แย่มาก ส่วนโหมดกระเป๋าล้อลากก็ใช้งานได้ลำบากเมื่อต้องเดินอยู่บนพื้นถนน ดีไม่ดีล้อจะพังเอาเสียก่อน กว่าจะรู้ก็สายไปเสียแล้ว
เวลาผ่านไปอีกพักใหญ่ รถเมล์สายที่ผมรอก็ยังไม่มาเสียที ไม่รู้ว่าดูข้อมูลผิดหรือเปล่า หรือว่ารถเมล์สายนี้ถูกยกเลิกไปแล้ว จนเมื่อมีรถเมล์สายหนึ่งเข้ามาจอดที่ป้าย ซึ่งดูจากข้อมูลก็ไปจอร์จทาวน์ได้เช่นเดียวกัน ผมตัดสินใจแบกเป้ขึ้นหลัง แล้วต่อแถวขึ้นรถเมล์ทันที ไม่ว่าจะรถสายไหนก็คงเหมือนๆ กันละมั้ง คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก
แล้วปัญหาเล็กๆ ก็เกิดขึ้นจนได้
คนขับถามผมทันทีว่า “ไปไหน” (ฟังไม่รู้เรื่อง แต่พอเดาได้)
“จอร์จทาวน์” ตอบอย่างมั่นใจ
คนขับส่ายหน้า ไม่ต้องเดาก็รู้ว่า รถเมล์สายนี้ไม่เข้าเมืองจอร์จทาวน์ และแสดงสีหน้าเบื่อหน่าย พร้อมทั้งสบสายตาเป็นเชิงให้โอกาสตอบใหม่อีกครั้ง
เอาล่ะซิ มืดแล้วด้วย เอาไงล่ะทีนี้ ข้างหลังก็มีนักท่องเที่ยวยืนต่อแถวรอขึ้นรถเมล์ยาวเหยียด
“แล้วอาคารคอมต้าล่ะ! ผ่านมั้ย”
คอมต้า (Komtar) เป็นอาคารสูงทรงกลมที่เป็นเหมือนศูนย์กลางของเกาะปีนัง และอยู่ใกล้กับเมืองจอร์จทาวน์ ถ้าได้ลงรถที่นั่น ก็เดินต่ออีกไม่ไกลก็ถึงโรงแรมแล้ว คนขับไม่รอช้ารีบฉีกตั๋วราคา 2.7 ริงกิต (RM) ให้ ส่วนผมก็หย่อนเงินลงกล่องทันที ก่อนที่จะถูกคนอื่นที่ต่อแถวอยู่ด้านหลังเหวี่ยงลงจากรถ ความจริงแล้วรถเมล์สายที่ผมรอนั้นยังไม่ได้ถูกยกเลิก แต่เนื่องจากช่วงนั้นอาจเป็นช่วงการจราจรติดขัด จึงทำให้รถเมล์ขาดช่วงเป็นเวลานานกว่าชั่วโมง สำหรับการขนส่งมวลชนภายในเกาะปีนังถือว่าสะดวกมาก แม้ว่าจะไม่มีรถไฟฟ้าเหมือนเมืองใหญ่อื่นๆ แต่รถเมล์ก็ถือว่าสะดวกและครอบคลุมทุกเส้นทางบนเกาะปีนัง และที่สำคัญราคาถูก สภาพของรถเมล์ก็ยอดเยี่ยม แอร์เย็นเฉียบ สะอาด นั่งสบาย แต่การขึ้นลงของรถเมล์ที่นี่ไม่เหมือนกับรถเมล์ของบ้านเรา ไม่ใช่ว่าจะเอาสภาพรถเมล์มาเปรียบเทียบ แต่เป็นระบบการบริหารจัดการ เพราะรถเมล์ที่นี่จะไม่มีพนักงานเก็บเงิน เมื่อขึ้นรถจะต้องขึ้นประตูหน้าเท่านั้น จากนั้นก็บอกจุดหมายปลายทาง พนักงานขับรถก็จะคำนวณราคาแล้วฉีกตั๋วให้ โดยผู้โดสารก็จะต้องเตรียมเงินให้พอดี ไม่มีการทอนเงิน ซึ่งส่วนใหญ่ผู้โดยสารที่ใช้รถเมล์เป็นประจำก็จะเตรียมเงินไว้พอดีกับราคาตั๋วอยู่แล้ว จากนั้นก็หย่อนเงินลงในกล่องเล็กๆ ด้านข้างของพนักงานขับรถ แล้วก็หาที่นั่งได้ตามอัธยาศัย ถือว่าเป็นการบริหารจัดการที่ยอดเยี่ยม
การศึกษาข้อมูลหลายๆ ด้านก่อนการเดินทาง ทำให้ผมคิดว่าได้รู้จักเกาะปีนังดีพอสมควรแล้ว แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเกาะปีนังที่แท้จริงกำลังรอผมอยู่ในค่ำคืนนี้!
ผมย้อนไปนึกถึงคำพูดของเพื่อนคนหนึ่งที่บอกเอาไว้ก่อนเดินทางว่า ไปปีนังจะพักโรงแรมแบบไหน ซึ่งผมก็ตอบอย่างไม่ต้องคิดเลยว่า มาเที่ยวเมืองเก่าทั้งที ก็ต้องพักโรงแรมเก่าโบราณ คลาสสิค ถึงจะได้บรรยากาศ
“แน่ใจนะว่าจะพักโรงแรมเก่า” เพื่อนถามย้ำเพื่อให้ผมได้ฉุดคิด
ซึ่งผมก็ตอบอย่างมั่นใจ “ต้องเป็นโรงแรมเก่าเท่านั้น” ความจริงเพื่อนของผมไม่ได้ถามเพื่ออยากได้คำตอบอะไรทั้งนั้น เพียงแต่คำถามนั้นได้สอดแทรกคำเตือนเอาไว้
และเป็นคำเตือน ที่ผมไม่อาจรับรู้ได้ จนกระทั่งเวลาค่ำคืนมาถึง!
โดย
กบในกะลาแก้ว
ตามภาพ ตามฝัน ไปปีนัง (ตอน 2)
ตอน 2
อังกฤษเป็นอีกหนึ่งประเทศมหาอำนาจที่ก้าวเข้าสู่การล่าอาณานิคมกอบโกยผลโยชน์จากคาบสมุทรมลายู ขณะที่เวลานั้นท่าเรือสำคัญที่เป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนสินค้าพื้นเมือง โดยเฉพาะเครื่องเทศ อาทิ อบเชย กานพลู พริกไทย ฯลฯ ถูกยึดครองโดยมหาอำนาจทางทะเลอย่างสเปน ฮอลันดา โปรตุเกส กันอย่างคึกคัก จนแทบจะไม่เหลือที่ว่างให้กับอังกฤษที่เข้ามาทีหลัง อังกฤษตระหนักเป็นอย่างดีว่า การทำสงครามเพื่อแย่งชิงผลประโยชน์ในภูมิภาคนี้ ย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะกองกำลังทางทะเลของมหาอำนาจอื่นแข็งแกร่งกว่ามาก ในเมื่อไม่มีทางเลือกมากนัก อังกฤษคงต้องมองหาผลประโยชน์จากดินแดนที่ไกลออกไป น่าจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด อังกฤษหันมาให้ความสนใจการค้ากับจีน แต่ก็ต้องเจอกับปัญหาการเดินทางจากเมืองบอมเบย์ มัทราส ในอ่าวเบงกอลของอินเดียที่อังกฤษครอบครองอยู่ไปยังกวางตุ้งของจีน จะต้องแล่นเรืออ้อมแหลมมลายู ซึ่งเป็นการเดินเรือที่มีระยะทางไกลมาก หากไม่มีท่าเรือแวะพักระหว่างทาง คงจะเป็นเรื่องที่ยากลำบาก อย่างน้อยท่าเรือจะเป็นจุดขนถ่ายเพิ่มเติมเสบียงอาหาร ซ่อมบำรุง หรือจอดพักในช่วงฤดูมรสุม แต่การจะไปหาเช่าท่าเรือที่ถูกยึดครองอยู่แล้วในบริเวณแหลมมลายู หรือฝั่งอาเจะห์ ก็คงเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง ไหนจะต้องจ่ายค่าเช่าที่แพงระยับแล้ว ยังจะต้องคอยเฝ้าระวังปกป้องผลประโยชน์ของตนเองในดินแดนของผู้อื่นอีก ถือว่าเป็นเรื่องที่สุ่มเสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง แต่จนแล้วจนรอดอังกฤษก็ยังหาท่าเรือที่เหมาะสมไม่ได้เสียที สุดท้ายในเมื่อไม่มีทางเลือก อังกฤษจึงเริ่มหันมาให้ความสนใจดินแดนฝั่งตะวันตกของพม่า และฝั่งอันดามันของสยาม ถึงแม้ว่าภูมิศาสตร์การเดินเรือจะไม่เหมาะสมนัก แต่ก็ยังถือว่าปลอดภัยจากมหาอำนาจอื่น
กัปตันฟรานซิส ไลท์ (Captain Francis Light) เป็นชาวอังกฤษโดยกำเนิด เริ่มต้นวัยหนุ่มด้วยอาชีพรับราชการทหาร ต่อมาได้เลื่อนเป็นนักเรียนนายเรือประจำอยู่ในเรือ H.M.S. Arrogant ในราชนาวีอังกฤษ แต่ชีวิตทางราชการก็ไม่ยืนยาวนัก สุดท้ายก็ลาออกเมื่อมียศเพียงแค่นายเรือโท ต่อมาฟรานซิส ไลท์ ได้เดินทางมายังเมืองบอมเบย์ กัลกัตตา และเมืองมัทราชของอินเดีย และสมัครเข้าทำงานกับบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ โดยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกัปตันเรือคลิฟ ซึ่งมีเส้นทางเดินเรือไปมาระหว่างท่าเรือบริเวณชายฝั่งอินเดียไปยังคาบสมุทรมลายู จึงทำให้กัปตันไลท์รู้จักภูมิประเทศแถบนั้นเป็นอย่างดี และนอกจากจะเป็นกัปตันเรือแล้ว กัปตันไลท์ยังมีอาชีพเป็นพ่อค้า ขายสินค้านานาชนิด ถึงขนาดมีคลังสินค้าอยู่ที่ชายฝั่งรัฐเคดะห์อีกด้วย และด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้กัปตันไลท์มีความสนิทสนมกับสุลต่านเคดะห์เป็นอย่างดี
ในขณะที่อังกฤษยังคงมองหาท่าเรือที่เหมาะสมอยู่นั้น กัปตันไลท์ก็ได้ค้นพบเกาะเล็กๆ แห่งหนึ่ง ในรัฐเคดะห์ ที่มีสภาพรกร้าง เงียบสงบ ไม่เป็นที่รู้จักมากนัก พื้นที่ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยต้นหมาก เกาะแห่งนี้มีชื่อว่า เกาะปีนัง กัปตันไลท์ไม่รอช้ารีบนำเสนอเกาะปีนังหรือเกาะหมากที่ค้นพบนี้กับบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษที่มัทราช และผู้สำเร็จราชการอังกฤษประจำอินเดียทันที ช่วงเวลานั้นอังกฤษคงจะพิจารณาเห็นว่าเกาะปีนังที่มีสภาพเป็นเกาะรกร้าง มีเพียงบ้านเรือนของชาวประมงพื้นเมือง ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกใดๆ ที่เหมาะสมจะเป็นท่าเรือหรือจุดแวะพักได้เลย และการเช่าเกาะปีนังคงจะต้องใช้ทุนทรัพย์อย่างมหาศาลในการบุกเบิกพัฒนาพื้นที่ ประกอบกับอังกฤษกำลังอยู่ระหว่างการเจรจาเช่าท่าเรือกับอาเจะห์ที่มีภูมิศาสตร์การเดินเรือเหมาะสมมากกว่า จึงได้ชะลอแผนเช่าเกาะปีนังเอาไว้ แต่สุดท้ายการเจรจากับอาเจะห์ก็ล้มเหลว
จนกระทั่วปี 1772 อังกฤษไม่มีทางเลือกอื่น จึงหันสนใจเกาะปีนังอย่างจริงจังอีกครั้ง จนได้มีการเจรจาอย่างเป็นทางการกับสุลต่านเคดะห์ หรือเป็นที่รู้จักในนามของพระยาไทรบุรี แต่การเจรจากลับไม่ง่ายอย่างที่คิด เนื่องจากสุลต่านเคดะห์เล็งเห็นประโยชน์จากกองเรือของอังกฤษ จึงได้กำหนดเงื่อนไขในสัญญาเช่าให้อังกฤษต้องให้ความคุ้มครองรัฐเคดะห์จากศัตรูที่เข้ามารุกราน ซึ่งในขณะนั้นบุกิสถือว่าเรืองอำนาจมาก หรือแม้แต่สยามเองก็ตาม เงื่อนไขดังกล่าวทำให้อังกฤษต้องคิดหนัก ผลประโยชน์ที่ได้จากการเช่าเกาะปีนังอาจไม่มากมายนัก แต่การลงนามในสัญญาสุ่มเสี่ยงที่จะนำอังกฤษเข้าสู่สงครามความขัดแย้งระหว่างรัฐ ซึ่งอาจลุกลามกลายเป็นสงครามกับมหาอำนาจอื่นได้ ดังนั้น เมื่อชั่งน้ำหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับผลประโยชน์ที่จะได้รับแล้ว ก็ทำให้อังกฤษปฏิเสธเงื่อนไขนี้ โดยอ้างถึงการยึดมั่นนโยบายที่ไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับสงครามความขัดแย้ง หรือการเมืองของรัฐใด จึงทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่อาจบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ การเจรจาขอเช่าเกาะปีนังจึงล้มเหลวไปโดยปริยาย
เครื่องบินลำเล็กทะยานขึ้นจากรันเวย์อย่างช้าๆ ในวันที่สภาพอากาศสดใส ท้องฟ้าเปิด มองเห็นเมฆขาวเป็นกลุ่มก้อน ตัดกับสีฟ้าเข้มของท้องฟ้าที่สวยงาม ผมนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างพลางนึกว่าอีกไม่นานก็จะได้พบกับภาพ Kids on Bicycle อย่างที่ตั้งใจเอาไว้ เวลาผ่านไปไม่ถึงสองชั่วโมงก็ได้ยินเสียงสุขุมนุ่มลึกของกัปตันประกาศว่า ขณะนี้เครื่องบินกำลังลดระดับลงสู่สนามบินนานาชาติปีนัง (Penang International Airport) และแจ้งเรื่องเวลาของปีนังที่จะเร็วกว่าประเทศไทยหนึ่งชั่วโมง เมื่อเครื่องบินลงจอดอย่างนุ่มนวลผู้โดยสารทุกคนก็เร่งรีบกันเดินออกเป็นภาพที่เห็นกันจนชินตา จากนั้นก็มาเข้าแถวผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองที่รวดเร็วทันใจ เพียงแค่การสแกนลายนิ้วมือเท่านั้น เอกสารอะไรก็ไม่ต้องกรอกให้เสียเวลา ทั้งสะดวก รวดเร็ว และน่าประทับใจอย่างยิ่ง
หลังจากผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองแล้ว ก็เข้ามาสู่ขั้นตอนที่รีวิวในโลกโซเชียลบอกเอาไว้ว่า ลำดับต่อไปคุณต้องซื้อซิมการ์ดโทรศัพท์เพื่อใช้งานอินเทอร์เน็ตบอกยี่ห้อเสร็จสรรพ ซึ่งจะเห็นบูธเคาท์เตอร์ที่เรียงรายตรงทางเดินหลังจากเดินผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง เมื่อได้ซิมการ์ดเรียบร้อยแล้ว ก็ต้องไปเอากระเป๋าที่สายพาน จากนั้นก็มองหาโบชัวร์แนะนำสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร คาเฟ่ ที่เคาท์เตอร์ประชาสัมพันธ์ซึ่งมองหาได้ไม่ยาก จะอยู่ใกล้กับประตูทางออกสนามบิน เสร็จแล้วจะต้องเดินไปทางไหน ขึ้นรถเมล์สายอะไร รีวิวบอกข้อมูลเอาไว้หมด ซึ่งเชื่อว่านักท่องเที่ยวมือใหม่นิยมอ่านรีวิวเหล่านี้ก่อนออกเดินทางกันทั้งนั้น ก็ถือว่าสะดวกมาก
เวลาผ่านไปจากแดดร่มลมตก เป็นบรรยากาศที่เริ่มจะค่ำมืดเต็มทน รถเมล์ที่จะไปยังจอร์จทาวน์ก็ยังไม่มาเสียที ขณะที่มีเรื่องบางอย่างที่น่ากังวลไม่แพ้เรื่องรถเมล์ ก็เห็นจะเป็นเรื่องกระเป๋าเป้ที่ใส่ของใช้มาจนแน่น หนักเสียจนแทบแบกไม่ไหว การเลือกเป้ดีๆ สักใบมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการจัดสิ่งของที่จำเป็นสำหรับการเดินทาง เพื่อไม่ให้น้ำหนักมากจนเกินไป สำหรับการเดินทางครั้งแรกของผมไม่มีประสบการณ์เรื่องเหล่านี้เลย เริ่มจากเป้ขนาดใหญ่ที่เป็นทั้งระบบล้อลาก และสามารถเปลี่ยนโหมดเป็นเป้สะพายหลังได้ คิดว่าน่าจะเป็นการเลือกที่ฉลาดแล้ว แต่ความจริงเป้สองระบบนี้ไม่เหมาะสมเอาเสียเลยสำหรับการเดินทางแบบแบ็คแพ็ค เพราะการถ่ายเทน้ำหนักเมื่อสะพายอยู่บนหลังทำได้แย่มาก ส่วนโหมดกระเป๋าล้อลากก็ใช้งานได้ลำบากเมื่อต้องเดินอยู่บนพื้นถนน ดีไม่ดีล้อจะพังเอาเสียก่อน กว่าจะรู้ก็สายไปเสียแล้ว
เวลาผ่านไปอีกพักใหญ่ รถเมล์สายที่ผมรอก็ยังไม่มาเสียที ไม่รู้ว่าดูข้อมูลผิดหรือเปล่า หรือว่ารถเมล์สายนี้ถูกยกเลิกไปแล้ว จนเมื่อมีรถเมล์สายหนึ่งเข้ามาจอดที่ป้าย ซึ่งดูจากข้อมูลก็ไปจอร์จทาวน์ได้เช่นเดียวกัน ผมตัดสินใจแบกเป้ขึ้นหลัง แล้วต่อแถวขึ้นรถเมล์ทันที ไม่ว่าจะรถสายไหนก็คงเหมือนๆ กันละมั้ง คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก
แล้วปัญหาเล็กๆ ก็เกิดขึ้นจนได้
คนขับถามผมทันทีว่า “ไปไหน” (ฟังไม่รู้เรื่อง แต่พอเดาได้)
“จอร์จทาวน์” ตอบอย่างมั่นใจ
คนขับส่ายหน้า ไม่ต้องเดาก็รู้ว่า รถเมล์สายนี้ไม่เข้าเมืองจอร์จทาวน์ และแสดงสีหน้าเบื่อหน่าย พร้อมทั้งสบสายตาเป็นเชิงให้โอกาสตอบใหม่อีกครั้ง
เอาล่ะซิ มืดแล้วด้วย เอาไงล่ะทีนี้ ข้างหลังก็มีนักท่องเที่ยวยืนต่อแถวรอขึ้นรถเมล์ยาวเหยียด
“แล้วอาคารคอมต้าล่ะ! ผ่านมั้ย”
คอมต้า (Komtar) เป็นอาคารสูงทรงกลมที่เป็นเหมือนศูนย์กลางของเกาะปีนัง และอยู่ใกล้กับเมืองจอร์จทาวน์ ถ้าได้ลงรถที่นั่น ก็เดินต่ออีกไม่ไกลก็ถึงโรงแรมแล้ว คนขับไม่รอช้ารีบฉีกตั๋วราคา 2.7 ริงกิต (RM) ให้ ส่วนผมก็หย่อนเงินลงกล่องทันที ก่อนที่จะถูกคนอื่นที่ต่อแถวอยู่ด้านหลังเหวี่ยงลงจากรถ ความจริงแล้วรถเมล์สายที่ผมรอนั้นยังไม่ได้ถูกยกเลิก แต่เนื่องจากช่วงนั้นอาจเป็นช่วงการจราจรติดขัด จึงทำให้รถเมล์ขาดช่วงเป็นเวลานานกว่าชั่วโมง สำหรับการขนส่งมวลชนภายในเกาะปีนังถือว่าสะดวกมาก แม้ว่าจะไม่มีรถไฟฟ้าเหมือนเมืองใหญ่อื่นๆ แต่รถเมล์ก็ถือว่าสะดวกและครอบคลุมทุกเส้นทางบนเกาะปีนัง และที่สำคัญราคาถูก สภาพของรถเมล์ก็ยอดเยี่ยม แอร์เย็นเฉียบ สะอาด นั่งสบาย แต่การขึ้นลงของรถเมล์ที่นี่ไม่เหมือนกับรถเมล์ของบ้านเรา ไม่ใช่ว่าจะเอาสภาพรถเมล์มาเปรียบเทียบ แต่เป็นระบบการบริหารจัดการ เพราะรถเมล์ที่นี่จะไม่มีพนักงานเก็บเงิน เมื่อขึ้นรถจะต้องขึ้นประตูหน้าเท่านั้น จากนั้นก็บอกจุดหมายปลายทาง พนักงานขับรถก็จะคำนวณราคาแล้วฉีกตั๋วให้ โดยผู้โดสารก็จะต้องเตรียมเงินให้พอดี ไม่มีการทอนเงิน ซึ่งส่วนใหญ่ผู้โดยสารที่ใช้รถเมล์เป็นประจำก็จะเตรียมเงินไว้พอดีกับราคาตั๋วอยู่แล้ว จากนั้นก็หย่อนเงินลงในกล่องเล็กๆ ด้านข้างของพนักงานขับรถ แล้วก็หาที่นั่งได้ตามอัธยาศัย ถือว่าเป็นการบริหารจัดการที่ยอดเยี่ยม
การศึกษาข้อมูลหลายๆ ด้านก่อนการเดินทาง ทำให้ผมคิดว่าได้รู้จักเกาะปีนังดีพอสมควรแล้ว แต่ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะเกาะปีนังที่แท้จริงกำลังรอผมอยู่ในค่ำคืนนี้!
ผมย้อนไปนึกถึงคำพูดของเพื่อนคนหนึ่งที่บอกเอาไว้ก่อนเดินทางว่า ไปปีนังจะพักโรงแรมแบบไหน ซึ่งผมก็ตอบอย่างไม่ต้องคิดเลยว่า มาเที่ยวเมืองเก่าทั้งที ก็ต้องพักโรงแรมเก่าโบราณ คลาสสิค ถึงจะได้บรรยากาศ
“แน่ใจนะว่าจะพักโรงแรมเก่า” เพื่อนถามย้ำเพื่อให้ผมได้ฉุดคิด
ซึ่งผมก็ตอบอย่างมั่นใจ “ต้องเป็นโรงแรมเก่าเท่านั้น” ความจริงเพื่อนของผมไม่ได้ถามเพื่ออยากได้คำตอบอะไรทั้งนั้น เพียงแต่คำถามนั้นได้สอดแทรกคำเตือนเอาไว้
และเป็นคำเตือน ที่ผมไม่อาจรับรู้ได้ จนกระทั่งเวลาค่ำคืนมาถึง!
โดย
กบในกะลาแก้ว